จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
มีนาคม 29, 2024, 07:47:19 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานนิทานและวรรณกรรมพื้นบ้าน บนถนนพระร่วง คำว่าตำนานหมายถึงเรื่องแสดงกิจการอ  (อ่าน 5304 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1410


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: สิงหาคม 11, 2014, 09:37:32 pm »

ตำนานนิทานและวรรณกรรมพื้นบ้าน
บนถนนพระร่วง

      คำว่าตำนานหมายถึงเรื่องแสดงกิจการอันมีมาแล้วแต่ปางหลังหรือเรื่องราวนมนานที่เล่าสืบต่อกันมาไม่ได้ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่  และไม่ทราบระยะเวลาว่านานเท่าใด  มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นอุทาหรณ์สั่งสอนให้นำเป็นแบบอย่างหรือมุ่งเพื่อความบันเทิง  เช่น  ตำนานขอมดำดิน  ตำนานพรานกระต่าย  เป็นต้น
      เรื่องของตำนานถ้าศึกษากันให้ลึกซึ้งจริงจังแล้ว ตำนานหาใช่เพียงปรัมปราคติที่ไร้สาระไม่  หากแต่เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยข้อมูลเบื้องต้นของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น  เป็นหลักฐานเบื้องต้นที่มีคุณค่ามีความหมายเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์  และเป็นส่วนหนึ่งแห่งวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของชนกลุ่มหนึ่ง  การศึกษาตำนานจะมีประโยชน์ต่อการสืบค้นหาต้นเค้าทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและทำให้เกิดความภูมิใจในประวัติความเป็นมาและเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่น
      ถนนพระร่วงเป็นเส้นทางหรือถนนที่สร้างขึ้นเชื่อมระหว่างกำแพงเพชร  สุโขทัย และศรีสัชนาลัย  ซึ่งเป็นเมืองลูกหลวงสมัยนั้น  เป็นเส้นทางโบราณที่ทอดยาวจากแม่น้ำปิงจังหวัดกำแพงเพชร  ผ่านเมืองต่าง ๆ ในจังหวัดกำแพงเพชร  เมืองเพชร (คีรีมาศ)  ในจังหวัดสุโขทัยและต่อไปจนจรดลำน้ำน่านที่เมืองศรีสัชนาลัยรวมระยะทางประมาณ  123 กิโลเมตร  ตลอดสองข้างทางถนนพระร่วง  จะมีทั้งโบราณสถาน  โบราณวัตถุต่าง ๆ  ปรากฏให้เห็นพร้อมทั้งเรื่องราวตำนานต่าง ๆ ที่ได้รับฟังจากคำบอกเล่าของชาวบ้านทั้งสองฝั่งถนน
      ในวันที่  2  เมษายน  2545  เวลา  09.00  น.  คณะสำรวจอันประกอบด้วยว่าที่ร้อยตรีพิทยา  คำเด่นงาม  อดีตนักโบราณคดี 8 วิทยากรพิเศษและหัวหน้าคณะนายสันติ  อภัยราช  อาจารย์  3  ระดับ  8  รองประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัด  หัวหน้าคณะวิจัยสำรวจ  พร้อมด้วยคณะสำรวจทั้งหมดได้มาประชุมร่วมกันวางแผนการสำรวจเส้นทางถนนพระร่วง ณ ที่ทำการอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร  และหลังจากที่ได้รับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยจึงได้เริ่มออกเดินทางจากประตูสพานโคมไปตามถนนสายกำแพงเพชรสุโขทัยไปทางวัดอาวาสน้อย ผ่านสถานีวิทยุ อสมท. บ่อสามแสนและเลี้ยวขาวเข้าถนนข้างโรงเรียนบ่อสามแสนเดินไปตามทางถนนพระร่วงและในที่สุดพวกคณะสำรวจก็ได้เดินทางมาถึงบริเวณที่เรียกว่าจรเข้ปูน  ข้าพเจ้าจึงนึกถึงเรื่องตำนานของจรเข้ปูนขึ้นมาได้  จึงได้เล่าให้เพื่อน ๆ คณะสำรวจฟังดังนี้





ตำนานจระเข้ปูน

      จระเข้ปูนมีลักษณะเป็นหินศิลาแลงมองเป็นรูปคล้ายจระเข้ขนาดใหญ่  ยาวประมาณ  9 เมตร  หันศรีษะไปทางทิศเหนือส่วนตรงกลางลำตัวกว้างประมาณ  10  นิ้ว  อยู่ชิดกับของทางเดิน (ถนน)  ซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า ?จระเข้ปูน? เป็นที่มาของตำนาน ?จระเข้ปูน? 
      กล่าวกันว่าในสมัยที่กรุงสุโขทัยยังเจริญรุ่งเรืองอยู่  ราวประมาณ พ.ศ. 1420 มีเมืองแห่งหนึ่งชื่อเมือง ?พราน?  เป็นเมืองใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง  มีวังอันเป็นที่ประทับของพระร่วมองค์หนึ่งชื่อ พระมหาพุทธสาคร  วันหนึ่งพระมหาพุทธสาครได้เสด็จมาที่วังแห่งนี้เพื่อพักผ่อน  ขณะนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพญานาคตนหนึ่ง  กำลังคาบสาวงามนางหนึ่งเลื้อยผ่านหน้าไป  พระองค์จึงได้ติดตามไปจนกระทั่งถึงภูเขาลูกหนึ่ง  พญานาคได้กลืนหญิงสาวลงไปในท้อง  พระมหาพุทธสาครได้เสด็จตามมาทันพอดี  จึงได้ใช้มนต์สะกดพญานาคไว้  แล้วจึงได้ล้วงหญิงสาวออกมาจากคอพญานาค  ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นางทอง  หรือนางสาวทอง  (เพราะยังเป็นโสด)  ส่วนเขาบริเวณนั้นก็ชื่อว่า ?เขานางทอง? 
      เนื่องจากนางทองเป็นหญิงสาวสวยงามมาก  เป็นที่พอพระทัยของพระมหาพุทธสาคร  จึงได้รับการอภิเษกเป็นมเหสี  ใช้ชีวิตร่วมกับพระร่วงปกครองเมืองพานให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก  (บริเวณวังที่ประทับนี้เองซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ  300 ไร่  ชาวบ้านเรียกกันว่า  บ้านวังพานเก่า  ในช่วงที่มีความเจริญมีวัดตั้งอยู่  ปัจจุบันทางพิพิธภัณฑ์ได้มากันเขตไว้เป็นที่สาธารณะ  บริเวณนี้ชาวบ้านเคยไถนาแล้วพบซากวังเก่า ๆ มากมายและที่สำคัญได้พบ  ?พระอู่ทอง?  และ ?พระวังพาน?)
      ในบริเวณวังที่ประทับของพระมหาพุทธสาครมีบึงน้ำขนาดใหญ่ลึกมากมีถ้ำอยู่ใต้น้ำ  เป็นที่อยู่ของพญาจระเข้ยักษ์  ทุกครั้งที่นางทองออกมาอาบน้ำในบึงแห่งนี้  จระเข้จะลอยมาแอบมองด้วยจิตเสน่ห์หา  วันหนึ่งขณะที่นางทองอาบน้ำอยู่พญาจระเข้ได้ตรงลี่เข้าไปหานางทองแล้วคาบหนีออกจากบึง  เมื่อพระมหาพุทธสาครทราบเรื่องจึงโกรธมากรีบเสด็จติดตามโดยด่วน  และทันที่บริเวณใกล้เมืองกำแพงเพชร  เข้าช่วยนางทองออกมาได้  ด้วยความโกรธจึงได้สาบให้พญาจระเข้ยักษ์เป็นหินอยู่ตรงนั้น
      ปัจจุบันบริเวณที่จระเข้ถูกสาปมองไม่ค่อยจะออกแล้วว่ามีร่องลอยของจระเข้หินอยู่เพราะชาวบ้านได้ขุดดินใช้พื้นที่ทำการเกษตรและค้นหาสมบัติบริเวณส่วนหัว  ลำตัว  และอื่น ๆ ของพญาจระเข้  อย่างไรก็ตามหลังจากมีแนวความคิดที่จะฟื้นฟูถนนพระร่วงบริเวณจระเข้หิน  (หรือจระเข้ปูนตามที่ชาวบ้านนิยมเรียกกัน)  จึงได้ถูกกล่าวถึงขึ้นมาอีก
      หลังจากได้รับประทานอาหารว่างกันจนอิ่มหายเหนื่อยแล้วคณะสำรวจจึงได้เดินทางต่อไปตามเส้นทางถนนพระร่วง  เดินต่อมาได้สักพักใหญ่ ๆ จึงได้พูดกันถึงวิหารวังโพ  ตลอดจนเมืองพลับพลา  ซึ่งเป็นเมืองที่เราไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ตรงไหนแน่  แต่มีตำนานเกี่ยวกับเมืองพลับพลาดังต่อไปนี้

ตำนานเมืองพลับพลา

      กล่าวกันว่าบริเวณเมืองพลับพลานี้ครั้งหนึ่งได้มีผู้เดินทางไปตามถนนพระร่วงเช่นเดียวกับคณะสำรวจชุดนี้นั่นแหละ  ได้พบกับชีปะขาวผู้หนึ่งยืนอยู่บริเวณนั้น  ชาวบ้านเข้าไปถามก็ไม่ยอมพูดด้วย  แม้จะซักถามหลายครั้งหลายครา  ชาวบ้านผู้นั้นจึงได้นำเรื่องไปบอกพระยาพานซึ่งเป็นเจ้าเมืองบางพานในสมัยนั้น  พระยาพานจึงได้เดินทางตามแนวถนนพระร่วงมาหาชีปะขาวด้วยตนเอง  ชีปะขาวจึงยอมพูดว่าอยากจะเข้าเฝ้าพระเจ้าศรีธรรมาโศก  เจ้าเมืองกำแพงเพชร  เพราะมีข่าวที่สำคัญเกี่ยวกับเมืองกำแพงเพชรที่จะทูลให้ทราบ  พระยาพานจึงรีบไปเข้าเฝ้าพระเจ้าศรีธรรมโศกเพื่อบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น  พระเจ้าศรีธรรมโศกจึงมีรับสั่งให้ปลูกพลับพลาขึ้นที่กลางป่าริมถนนพระร่วงที่ชีปะขาวยืนอยู่นั้น  แล้วจึงเสด็จออกไปเชิญชีปะขาวผู้นั้นขึ้นมาบนพลับพลา  และถามว่าเป็นผู้ใด  และมีข่าวสำคัญอะไรมาบอก  ชีปะขาวบอกว่าตนคือองค์อมรินทร์ทราธิราช  การที่มานี้มีข่าวมาบอกเกี่ยวกับเมืองกำแพงเพชรจะเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยกันอย่างหนัก  ให้รีบสร้างเทวรูปพระเป็นเจ้าทั้ง  3  อันได้แก่  พระอิศวร  พระนารายณ์  พระพรหม  ขึ้นประดิษฐานไว้ที่อันควร  เมื่อกล่าวจบชีปะขาวก็อันตรธานหายไปทันที  พระเจ้าศรีธรรมาโศกพอรู้ว่าองค์สมเด็จพระอมรินทราธิราชได้จำแลงพระองค์ลงมาบอกข่าวสำคัญเช่นนั้น  ก็รีบเสด็จกลับเข้าไปในเมืองกำแพงเพชรและทำตามที่ชีปะขาวบอกไว้ทุกประการ
      ต่อมาเมื่อเกิดเจ็บไข้ขึ้นจริง ๆ ดังคำทำนาย  จึงได้ใช้น้ำมนต์สรงเทวรูปเป็นยารักษาโรคได้  ส่วนตำบลที่ปลูกพลับพลาก็เลยถูกเรียกว่าเมืองพลับพลาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ขณะที่เล่าเรื่องนี้พวกเราในคณะสำรวจยังไม่สามารถตั้งสมมติฐานได้ว่าเมืองพลับพลามีจริงหรือไม่และอยู่ตรงไหนกันแน่  เพราะไม่มีหลักฐานใด ๆ ปรากฏเลย  ส่วนพระเจ้าทั้ง  3  ที่พระเจ้าศรีธรรมโศกสร้างไว้ปัจจุบันเหลือเพียงพระอิศวรเท่านั้น 
      คณะสำรวจได้เดินเท้าสำรวจบนเส้นทางถนนพระร่วงต่อไป  โดยเข้าสู่บ้านดงขวัญ  ลัดเลาะไปเรื่อย ๆ จนถึงบ้านวังพาน  ตลอดเส้นทางจะพบเห็นซากวัตถุโบราณต่าง ๆ  เป็นระยะ ๆ และจากการที่ได้พูดคุยกับชาวบ้านไปเรื่อย ๆ จึงได้ทราบตำนานเกี่ยวกับพระร่วงโดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับการที่พระร่วงใช้อิทธิฤทธิ์สร้างถนนพระร่วงและการวิ่งเล่นว่าวของพระร่วงในหมู่บ้านต่าง ๆ  หลายแห่งมีลักษณะเรื่องราวคล้าย ๆ กัน ต่างกันแต่ละสถานที่เท่านั้น  จึงยกยอดไปเล่าเสียที่เดียวเลยก็คืออำเภอพรานกระต่าย ๆ
      สำหรับหมู่บ้านวังพานนี้  คณะสำรวจได้เดินทางบนถนนลูกรังที่สมบูรณ์ดีมาก  เพราะเส้นทางถนนพระร่วงบางแห่งจะทับกับเส้นทางถนนสายที่สร้างขึ้นใหม่ซึ่งเป็นลูกรัง  เป็นเส้นทางคมนาคมของชาวบ้าน  โดยเส้นทางจะผ่านเขานางพันและมีแยกไปเขานางทองไปทับกับถนนเส้นพรานกระต่ายวังพาน  ส่วนทางเขานางพันจะผ่านหมู่บ้านวังพาน  บ้านวังพานเก่า  ไล่คดเคี้ยวมาทางเหนือ  จรดถนนสายพรานกระต่ายเขา คีรีส  เรื่อยมาจนถึงวัดพรานกระต่ายใต้ซึ่งปัจจุบันไม่มีวัดแล้ว  ผ่านไปจนเกือบถึงวัดไตรภูมิ  และวัดพรานกระต่ายเหนือ (วัดเค่าและร้างไปแล้ว)  ในที่สุดบนเส้นทางถนนพระร่วงช่วงนี้มีสถานที่สำคัญหลายแห่งที่ประกอบกันเป็นตำนานเล่าสืบทอดกันมาเช่นบริเวณเขานางทอง (ปัจจุบันเป็นวัดชื่อวัดเขานางทองมีพระจำพรรษาอยู่จำนวนหนึ่ง)  นางทองนี้เชื่อกันว่าเป็นชื่อมเหสีของพระร่วง  ตามตำนานเล่าว่านางทองนี้ถูกพระยานาคกลืนเข้าไป  พระร่วงตามมาถึงที่เขานี้ได้ล้วงนางทองออกมาจากพระยานาค  แล้วเลยได้นางทองเป็นมเหสี 
      บนเขานางทองจะมีร่องรอยเจดีย์เก่า ๆ และรอยพระพุทธบาท  แต่ปัจจุบันไม่เหลือแล้วเพราะในอดีตชาวบ้านไม่รู้เอาศิลาพระพุทธบาทที่กระเทาะออกมาเป็นส่วน ๆ มาทำหินลับมีดบ้าง  อย่างอื่น ๆ บ้าง  แต่บางส่วนทางพิพิธภัณฑ์ได้นำมาเก็บไว้  นอกจากนี้ก็ยังมีถ้ำ  ในอดีตมีค้างคาวอาศัยอยู่มาก  แต่ปัจจุบันไม่เหลือแล้ว  เป็นอาหารของชาวบ้านสูญพันธุ์ไปหมด  ปากถ้ำก็ชำรุดหินพังทับลงมา  เขาเล่ากันว่าใต้ดินบริเวณนั้นมีพระนอนองค์เท่ากับพระนอนจักรศรี  จังหวัดสุโขทัย  และคนปั้นเป็นคน ๆ เดียวกันโดยปั้นองค์นี้ก่อนแล้วเลยไปปั้นที่จังหวัดสิงห์บุรี
      บริเวณบนเขานางทองยังมีที่อีกแห่งเรียกที่ตากผ้าอ้อม  บริเวณนั้นจะไม่มีต้นไม้หรือหญ้าขึ้นเลย  เป็นหินศิลาแลง  เขาเล่าว่ามเหสีพระร่วงคือนางทองใช้บริเวณนี้ตากผ้าอ้อม
      จากเขานางทองคณะสำรวจก็เดินเท้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเขาอีลูกหนึ่งชื่อเขานางพันเชื่อกันว่านางพันเป็นชื่อสนมหรือเมียน้อยของพระร่วง  ปัจจุบันเป็นที่ตั้งวัดพรานทองศิริมงคล  มีพระจำพรรษาอยู่เช่นกันมีศาลาวัดอยู่บนยอดเขาส่วนหมู่บ้านที่เรียกกันว่าบ้านวังพานเก่า บริเวณนี้ชาวบ้านเล่าว่าเป็นวังเก่ามีเนื้อที่ประมาณ  300  ไร่  บริเวณนี้จะเป็นวัดเก่าเป็นวัดร้าง  ซึ่งปัจจุบันทางพิพิธภัณฑ์ได้มากั้นเขตไว้เป็นที่สาธารณะบริเวณนี้จะมีซากอิฐเก่า ๆ ชาวบ้านเคยไถนาแล้วได้พระเรียกว่าพระอู่ทอง  ซึ่งคาดว่าเป็นพิมพ์สมัยทวาราวดี  นอกจากนี้ก็ยังเคยได้พระวังพานเป็นต้น  ภายในบริเวณวังเก่าจะมีอ่างเก็บนี้หรือบึงใหญ่ที่เคยเล่าว่าเป็นที่อยู่ของพญาจรเข้ใหญ่ที่เคยมาคาบเอานางทองไป  (ดูตำนานจรเข้ปูน)
      จากวังพานการเดินทางของคณะสำรวจค่อนข้างสบายขึ้นเพราะแนวถนนพระร่วงชัดเจน  และบางช่วงก็เป็นถนนที่ชาวบ้านช่วยเดินทางติดต่อกันอยู่แล้ว  ช่วงนี้จะผ่านมาทางตำบลเขาคีรีส  จึงเกิดความสงสัยว่าทำไมจึงชื่อเขาคีรีสก็ได้คำตอบจากชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นดังนี้




      และในที่สุดคณะสำรวจก็เข้าสู่อำเภอพรานกระต่าย  ซึ่งผู้เขียนคุ้นเคยดีเพราะเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนพานกระต่ายพิทยาคมมานานพอควร  จึงรู้ถึงตำนานถ้ำกระต่ายทองหรืออาจจะเรียกตำนานพรานกระต่ายก็ได้  จึงได้นำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้






































ตำนานพรานกระต่าย

      พรานกระต่ายเป็นชื่ออำเภอหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร  เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ภาคเหนือของจังหวัด  มีฐานะเป็นอำเภอมาตั้งแต่สมัยรัชการที่  9  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยได้รับจัดตั้งขึ้นเป็นอำเภอเมื่อปี  2438  เป็นส่วนหนึ่งในการปกครองของจังหวัดกำแพงเพชรมีมณฑลนครเป็นหน่วยปกครองส่วนภูมิภาคอีกชั้นหนึ่ง  ชื่ออำเภอ ?พรานกระต่าย?  มีประวัติความเป็นมาเป็นตำนานเล่าขนานกันมาหลายชั่วคนดังนี้
      ประมาณปี พ.ศ. 1420 พรานกระต่ายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองพานมีมหาพุทธสาครเป็นกษัตริย์  ตัวเมืองตั้งอยู่ห่างจากอำเภอปัจจุบันทางทิศใต้ประมาณ  15  กิโลเมตร  เมืองพานนั้นเจริญรุ่งเรืองมา  เพราะตั้งอยู่ในในที่ราบลำน้ำใหญ่ไหลผ่านจากกำแพงเพชรไปสู่ที่จังหวัดสุโขทัย  จึงเป็นเส้นทางคมนาคมเมืองใหญ่และเป็นแหล่งนี้อันอุดมสมบูรณ์  บ้านเรือนเรียงขนานแน่นสองฝั่งคลอง  ปัจจุบันมีเมืองเก่าแก่ทรุดโทรมอยู่ในป่ารกเป็นคันเมือง  คูเมือง (วัดเก่าหลายแห่ง)  หมู่บ้านในอดีตยังเป็นหมู่บ้านในปัจจุบันอยู่บ้าง  เช่น  วัดโคก  บ้านวังไม้พาน  และบ้านจำปีจำปา  เป็นต้น  สัญลักษณ์แห่งความเจริญสูงสุดก็คือการสร้างรอยพระพุทธบาทจำลองสัมฤทธิ์ไว้ที่วัดนางทองบนเขานางทองใกล้เมืองพาน? ชื่อ? ?นางทอง?  เป็นชื่อของพระมเหสีพระร่วง  มีถนนจากสุโขทัยผ่านอำเภอพรานกระต่ายไปถึงจังหวัดกำแพงเพชร  เรียกว่า  ?ถนนพระร่วง? 
      กล่าวกันว่าในปี พ.ศ. 1800 เศษ  พระร่วงครองสุโขทัย  ทรงมีนโยบายที่จะขยายอาณาเขตให้กว้างขวางและมั่นคง  จึงดำริที่จะสร้างเมืองหน้าด่านขึ้นทุกทิศซึ่งได้รับสั่งให้นายพรานผู้ชำนาญเดินป่าออกสำรวจเส้นทางและชัยภูมิที่มีลักษณะดี  กลุ่มนายพรานจึงได้กระจายกันออกสำรวจเส้นทางต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงบริเวณแห่งนี้ได้พบกระต่ายป่าขนสีเหลืองเปล่งปลั่งด้วยทองสวยงามมาก  นายพรานจึงกราบถวายบังคมทูลขอราชอนุญาตจากพระร่วงเจ้าไปติดตามจับกระต่ายขนสีทองตัวนี้มาถวายเป็นราชบรรณาการถวายแด่พระมเหสีพระร่วง  นายพรานจึงกลับไปติดตามกระต่ายป่าตัวสำคัญ ณ บริเวณที่เดิมที่พบกระต่ายได้ใช้ความพยายามดักจับหลายครั้ง  แต่กระต่ายตัวนั้นก็สามารถหลบหนีไปได้ทุกครั้ง  นายพรานมีความมุมานะที่จะจับให้ได้จึงไปชักชวนเพื่อนฝูงนายพรานด้วยกันมาช่วยกันจับแต่ยังไม่ได้จึงอพยพลูกหลานพี่น้อง  และกลุ่มเพื่อนฝูงต่าง ๆ มาสร้างบ้านถาวรขึ้นเพื่อผลที่จะจับกระต่ายขนสีทองให้ได้  กระต่ายก็หลบหนีเข้าไปในถ้ำ  ซึ่งหน้าถ้ำมีขนาดเล็กนายพรานเข้าไปไม่ได้แม้พยายามหาทางเข้าเท่าไรก็ไม่พบจึงได้ตั้งหมู่บ้านขึ้นหน้าถ้ำเพื่อเฝ้าคอยจับกระต่ายขนสีทอง  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  ซึ่งต่อมาหมู่บ้านได้ขยายตัวเป็นชุมชนขนาดใหญ่จึงได้เรียกชุมชนนั้นว่า ?บ้านพรานกระต่าย?  และเป็นชื่ออำเภอในเวลาต่อมา 
      ในปัจจุบันถ้ำที่กระต่ายขนสีทองหนีเข้าไปซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ?ถ้ำกระต่ายทอง?  ได้รับการบูรณะใหม่เพื่อทำให้เป็นสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่นและประชาชนก็เห็นความสำคัญของสถานที่นี้จึงได้ช่วยกันดูแลรักษาตกแต่งบริเวณให้สะอาดเพื่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญสำหรับหมู่บ้านสมกับเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญอำเภอพรานกระต่ายที่ว่า 
            ?เอกลักษณ์ภาษาถิ่น        หินอ่อนเมืองพาน
            ตำนานกระต่ายทอง      เห็นโคนดองรสดี?
































ตำนานพระร่วง
      โครงการร่วมเดินทางไปกับคณะสำรวจเส้นทางถนนพระร่วงกำแพงเพชร
 ? สุโขทัยสำรวจตลอดระยะเวลา  5 วัน ( วันที่ 2 ? 6 เมษายน ) ในการเดินทางสำรวจเส้นทาง นอกจากผู้เขียนจะได้รับทราบเกี่ยวกับแนวเส้นทางของถนนพระร่วงจากการบอกเล่าของชาวบ้านหแล้วได้ทราบตำนานต่างๆ ของพระร่วงอีกพอสมควร จะได้กล่าวดังต่อไปนี้
   กล่าวกันว่าพระยาอภัยคามณีเจ้าเมืองหริภุญชัย (เมืองลำพูนปัจจุบัน) ได้ไปจำศิลบนเขาหลวงในขณะเดียวกันก็ได้มีนางนาคตนหนึ่งซึ่งจำแลงตัวเป็นมนุษย์ ได้มาเที่ยวเล่นบนเขาหลวง  (ปัจจุบันมีปล่องนางนาคอยู่) เกิดสมัครรักใคร่ ได้อภิรมย์สมรสอยู่ด้วยกันนานถึง 7 วัน จึงได้แยกจากกัน นางนาคได้กลับไปเมืองบาดาลและเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา เมื่อจวนจะคลอดลูกเห็นว่า ถ้าคลอดลูกในเมืองบาดาลทารกต้องตาย เพราะมีเชื้อมนุษย์ปนอยู่ จึงได้ขึ้นมายังเขาหลวงอีกครั้ง แล้วคลอดลูกเป็นชายทิ้งไว้ในถ้ำใหญ่บนเขาหลวง พร้อมด้วยแหวนและผ้าห่มของที่พระยาอภัยคามณีประทานให้นางนาคไว้ 
   ต่อมามีตายายคู่หนึ่งซึ่งเป็นพรานป่า ได้ไปพบทารกนั้นและได้พามาเลี้ยงไว้ โดยตายายได้ตั้งชื่อทารกนั้นว่า ?พระร่วง? เกิดอัศจรรย์ที่ตัวเด็กอย่างมามาย โดยเฉพาะในด้านวาจาสิทธิ์ พูดคำไหนจะเป็นดังเช่นคำพูดนั้น  ตายายกลัวเด็กจะเหงาจึงได้นำเอาไม้ทองหลางมาแกะสลักเป็นตุ๊กตา ตั้งชื่อว่า ?พระลือ? ให้เล่นเป็นเพื่อนพระร่วง และด้วยวาจาสิทธิ์ของพระร่วง ตุ๊กตาก็เกิดมีชีวิต ตายายเลยเลี้ยงไว้ทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นกัน
   จากการที่เกิดอัศจรรย์ต่าง ๆ ปรากฏที่ตัวเด็กชายร่วงอย่างผู้มีบุญ ความทราบถึงพระยาอภัยคามณี จึงตรัสเรียกไปทอดพระเนตร เมื่อทราบเรื่องจากสองตายายที่ไปพบและทอดพระเนตรเห็นชองที่อยู่กับตัวเด็ก ก็ทราบว่าเป็นราชบุตรที่เกิดด้วยนางนาค จึงประทานนามว่า ?อรุณกุมาร? ส่วนกระลือให้ชื่อว่า ?ฤทธิ์กุมาร? ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันและเมื่องเข้าวัยหนุ่มพระยาอภัยคามณีจึงสู่ขอราชธิดาเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยให้อภิเษกสมรสกับอรุณกุมาร และได้ครองเมืองศรีสัชนาลัยและกรุงสุโขทัยในเวลาต่อมา ส่วนพระลือก็ได้สมรสกับราชธิดาพระยาเชียงใหม่และได้ครองเมืองเชียงใหม่เช่นเดียวกันกับพระร่วง ทั้งสองอาณาเขตมีเจ้าเมืองเป็นพี่น้องกัน บ้านเมืองก็เป็นพันธมิตรสืบต่อกันมา
   กล่าวกันว่าอรุณกุมารหรือพระร่วงเป็นเชื้อมนุษย์กับพญานาคระคนกัน จึงมี
อิทธิฤทธิ์กล่าวเป็นตำนานต่าง ๆ มากมาย








ตำนานพระร่วงเล่นว่าว

      พวกเราได้เดินเข้าไปตามเส้นทางถนนพระร่วงได้พบปะกับชาวบ้านหลาย ๆ ท่านได้เล่าถึงพระร่วงซึ่งเป็นผู้สร้างถนนสายนี้ว่า  พระร่วงได้ใช้เท้าเกลี่ยดินเพียงสามครั้งเท่านั้นก็ได้ถนนสายนี้ขึ้นมา  พระร่วงเป็นกษัตริย์ที่ทรงโปรดการเล่นว่าวมาก  ตลอดเส้นทางบนถนนสายนี้ชาวบ้านได้เล่าถึงการเล่นว่าวของพระร่วงคล้าย ๆ กันในหลาย ๆ หมู่บ้านที่คณะสำรวจเดินผ่าน  จะต่างกันก็เพียงสถานที่ที่พระองค์เล่นว่าวเท่านั้น  ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างที่อำเภอพรานกระต่ายก็แล้วกัน
      ในช่วงที่พระร่วงได้ครองราชอยู่ที่กรุงสุโขทัยวันหนึ่งพระองค์คิดถึง     นางทองผู้เป็นมเหสีอยู่ที่เมืองพาน  จึงได้เสด็จมาหาซึ่งในตอนนั้นนางทองเริ่มตั้งครรภ์อ่อน ๆ อยากทานมะดัน (ผลไม้ชนิดหนึ่ง)  พระร่วงจึงเสด็จไปหามะดันเพื่อนำมาให้   มเหสีรับประทานในระหว่างทางนึกสนุกอยากเล่นว่าวขึ้นมาขณะนั้นเดินทางมาถึงวัดโพธิ์ (วัดเก่าอยู่ใกล้ ๆ วัดไตรภูมิในปัจจุบัน)  จึงได้ไปเอาเชือกเพื่อมาเล่นว่าวและได้แช่ปอที่หนองกะโพ (โผล่)  พอปอเหนียวดีแล้วจึงได้ออกวิ่งเล่นว่าววิ่งไปสะดุดเขาสว่างล้มลงบริเวณใกล้ ๆ โรงพยาบาลพรานกระต่ายในปัจจุบันบริเวณที่ล้มกลายเป็นหนองน้ำ  2  แห่ง  จากนั้นได้เก็บดอกโสนที่หนองโสนเข็ม  รู้สึกเหนียวตัว  เลยวักน้ำล้างที่หนองกระหำขึ้นไปเก็บดอกซ่าเหล้ากลายเป็นหนองซ่าเหล้าแล้ววิ่งว่าวเรื่อยมาหยุดนั่งเล่นว่าวที่หนองหินบริเวณนั้นยังมีรอยหินที่พระร่วงนั่งซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ?หัวหินกอง?  และจากการที่พระร่วงวิ่งมาไกลพอสมควรจึงเหนื่อยได้เข้าไปขอน้ำชาวบ้านแถว ๆ หนองหัววัวบริเวณนั้นกันดาลน้ำมากประกอบกับไม่รู้ว่าเป็นพระร่วงจึงไม่ยอมให้น้ำ  แต่ให้โยนน้ำในบ่อเอง  พระร่วงจึงเอาปอเชือกว่าวมาโพงน้ำแต่ไม่ได้จึงโกรธมากกระทืบเท้าสามทีบริเวณตาน้ำจนตาน้ำตันไปหมดและสาปไม่ใช้มีน้ำ  ชาวบ้านบริเวณนั้นจึงหาน้ำได้ยากมาก  ต้องขุดบ่อลงไปลึกมากจึงจะมีโอกาสได้น้ำ  (ในปัจจุบันนี้ทางรัฐบาลได้สร้างห้วยแม่บงกักเก็บน้ำไว้และน้ำระบบชลประทานมาช่วยจึงแก้ปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำลงไปได้) 
      และในที่สุดพระร่วงก็ได้วิ่งว่าวมาถึงคลองแห่งหนึ่งซึ่งมีลูกมะดันมากจึงได้เก็บเอามาเพื่อจะให้นางทองกิน  ชาวบ้านเรียกคลองนั้นว่า ?คลองมะดัน?  ในเวลาต่อมา
      การใช้วาจาสิทธิ์ของพระร่วง  ยังมีเรื่องกล่าวขานอีกหลายครั้งเป็นตำนานเล่าสู่กันฟังเช่นครั้งหนึ่ง  พระร่วงได้เสด็จประพาสลำน้ำสายหนึ่งในระหว่างที่พักผ่อนได้เสวยเนื้อปลาตัวหนึ่งจนเหลือแต่ก้าง  จึงนำลงไปปล่อยในแม่น้ำ  แล้วตรัสบอกให้ปลาว่ายน้ำไป  ความอัศจรรย์จึงเกิดขึ้นปลายว่ายน้ำไปได้  จากการบอกเล่าของชาวบ้านในปัจจุบันนี้  มีปลาชนิดหนึ่งเรียกว่าปลาพระร่วงจะมีลำตัวใสเห็นก้างปลาชัดเจน  เล่ากันว่าบรรพบุรุษของปลาชนิดนี้เกิดจากก้างปลาที่พระร่วงได้ปล่อยลงไปในน้ำนั่นเอง
   หลังจากที่คณะสำรวจเส้นทางถนนพระร่วง  บรรลุจุดมุ่งหมายแล้วคือ  เดินทางถึงเมืองเก่าจังหวัดสุโขทัยโดยเดินทางเข้าทางทิศตะวันออกเหมือนสมัยพระมหาสามีสังฆราช  ต่อมาข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเยี่ยมอาจารย์ประทีป  สุดโสภา  จึงได้ทราบตำนานขึ้นมาอีก  1  เรื่องคือ  ตำนานพระร่วงส่วยน้ำ   ซึ่งจะได้เล่าต่อไป















ตำนานพระร่วงส่วยน้ำ

   เรื่องพระร่วงในพงศาวดารเหนืออีกเรื่องหนึ่งนั้น  เรียกว่า  ?เรื่องพระร่วงส่วยน้ำ?ว่ามีชายชาวเมืองละโว้คนหนึ่งชื่อ ?คงเครา?  เป็นนายกองคุมคนส่วยน้ำสำหรับตักน้ำในทะเลชุบศร  ส่งไปถวายพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์เสวย ณ เมืองขอม  อยู่มานายคงเครามีลูกชายคนหนึ่งให้ชื่อว่า ?ร่วง? เด็กร่วงนั้นเกิดเป็นผู้มีบุญด้วย ?วาจาสิทธิ์? คือถ้าว่าให้อะไร  เป็นอย่างไร  ก็เป็นอย่างนั้นตั้งแต่เกิด  แต่ไม่รู้ตัวว่ามีฤทธิ์เช่นนั้นมาจนได้อายุ  11 ปี  วันหนึ่งพายเรือไปในทะเลชุบศร เรือทวนน้ำ เด็กร่วงพายเรือจนเหนื่อยจึงอกปากว่า ?นี่ทำไม  น้ำไม่ไหลไปทางโน่นมั่ง? พอขาดคำลงน้ำก็ไหลกลับไปอย่างว่า  เด็กร่วงก็รู้ตัวว่ามีวาจาสิทธิ์แต่ปิดความไว้มิให้ผู้อื่นรู้  ครั้งนายคงเคราตาย พวกไพร่พร้อมใจกันยกนายร่วง ขึ้นเป็นนายกองส่วยน้ำแทนพ่อ  พอประจวบเวลานักคุ้มข้าหลวงขอม  คุมเกวียนบรรทุกกล่องสานสำหรับใส่น้ำเสวยมาถึงเมืองละโว้  สั่งให้นายร่วงเกณฑ์ไพร่ตักน้ำเสวยส่วยตามเคย  นายร่วงเห็นว่า  กล่องน้ำที่ทำมานั้นหนักนัก  จึงสั่งให้ไพร่สายชะลอม  ก็เป็นเช่นว่า นักคุ้มข้าหลวงเห็นเช่นนั้นก็กลัวฤทธิ์นายร่วง  รีบรับชะลอมกลับไปเมืองขอม  ทูลพระเจ้าปทุมสุริยวงค์ว่า  มีผู้วิเศษเกิดขึ้นที่เมืองละโว้  ก็ทรงพระวิตกกลัวว่าจะเป็นขบถ  จึงแต่งกองทหารให้มาจับตัวนายร่วง  แต่นายร่วงได้ยินข่าวรู้ตัวก่อน
จึงหนีออกจากเมืองละโว้ขึ้นไปยังเมืองเหนือ  ไปบวชเป็นภิกษุอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่งในเมืองสุโขทัย  คนจึงเรียกกันว่า ?พระร่วง? เพราะเหตุที่บวชเป็นพระ ฝ่ายทหารขอมมาถึงเมืองละโว้ รู้ว่านายร่วงรู้ตัวหนีขึ้นไปอยู่เมืองสุโขทัย มิรู้ว่าไปบวชเป็นพระ  จึงดำดินลอดปราการเข้าไปในเมือง  เผอิญไปโผล่ขึ้นในลานวัดที่พระร่วงบวชอยู่  เวลานั้นพระร่วงกำลังลงกวาดลานวัด เห็นเข้าก็รู้ว่าขอม แต่ขอมไม่รู้จักพระร่วง ถามว่ารู้หรือไม่ว่า นายร่วงที่มาจากเมืองละโว้อยู่ที่ไหน  พระร่วงก็ลั่นวาจาสิทธิ์สาปว่า  ?สู่อยู่ที่นั้นเถิด  รูปจะไปบอกนายร่วง ? พอว่าขาดคำ  ขอมก็กลายเป็นหินติดคาแผ่นดินอยู่ตรงนั้น  ด้วยอำนาจวาจาสิทธิ์ของพระร่วง  ชาวเมืองสุโขทัยรู้ว่าพระร่วงเป็นผู้มีบุญ  เมื่อพระเจ้ากรุงสุโขทัยสิ้นพระชนม์  พวกเสนาอำมาตย์จึงพร้อมใจกันเชิญพระร่วงขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน  ทรงพระนามว่า ? พระเจ้าศรีจันทราธิบดี?






























































บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!