จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
มีนาคม 29, 2024, 01:02:40 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดตำนาน โสเภณี เมืองกำแพง  (อ่าน 11908 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1410


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: มิถุนายน 13, 2013, 02:10:37 pm »




เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๙๐ (เกือบเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา)  แหล่งโสเภณี เมืองกำแพงเพชร  อยู่ที่ เกาะทวี ชาวกำแพงเพชร เรียกกันว่า เกาะอียุ่ง  มีเครือข่ายขายตัว อยู่หลายแห่ง เปิดเผยและเป็นที่รู้กันของชายนักเที่ยว เมืองกำแพง  ค่าตัว ตั้งแต่ ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาทแล้วแต่ ว่าจะเป็นขวัญใจ นักเที่ยวหรือไม่
พ่อมีที่ดิน อยู่บนเกาะทวี หลายไร่ ที่สำคัญ ปลูกบ้าน ให้ ชาวบ้านเช่าอยู่ หลายสิบหลัง ในหลายสิบหลัง มีมีหญิงนครโสเภณี เช่าอยู่หลายหลัง พ่อเป็นคนค่อนข้างมีอิทธิพลในกำแพงเพชร เรื่องค่าเช่าบ้านจึงไม่มีปัญหาในการเก็บ แม้ดอกเบี้ยมากมายที่ต้องไปตามเก็บ สมัยนั้นผู้เขียน อายุราว ๑๑ ? ๑๒ ขวบ ได้มีโอกาส สัมผัสกับชีวิต รันทด ของผู้หญิงเหล่านี้ ค่อนข้างมาก ได้มีโอกาสพูดคุย และสนิทสนมกับชีวิตของเธอเหล่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าหญิงคนชั่ว ที่เขาเรียกกัน มิได้ชั่วจริงๆ อย่างการถูกตราหน้า ต่างคนต่างมีอาชีพที่สุจริต มิได้หลอกลวงใคร มีจิตใจที่งดงาม ดีกว่า คนที่เรียกตัวเองว่า คนดี ผู้ดีอย่างมากมาย
ความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ได้มีโอกาส พูดคุย สัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ โดยละเอียด แต่ละคนต่างมีชีวิต ที่น่าคิด น่าติดตามมาก เธอเหล่านี้ อยู่ไม่นาน พอมีผู้ชาย ที่ถูกใจ เธอก็ไปอยุ่ด้วย ใช้ชีวิตอย่างสามัญ ธรรมดา ประสา ผัวเมีย
ตอนเย็นๆ ของทุกวัน เธอจะแต่งตัวงดงาม ออกมานั่งใต้ต้นมะม่วงอกร่อง ขนาดใหญ่ บนเกาะทวี
พูดคุย หยอกล้อกัน ไปมา เมื่อมีชายหนุ่มนักเที่ยว ลงมา ก็ เลือกเธอไป เรียกว่าขึ้นห้อง ต้องเข้าใจว่าไม่มี เจ้าของซ่อง มีอียุ่ง เสมือนสัญลักษณ์ ของผุ้หญิงหากินเหล่านี้ เมื่อเสร็จภารกิจ ก็ลงมารอใหม่ ใต้ต้นมะม่วงตามเดิม บางคนไม่มีแขกเลย ตลอดทั้งคืน บางคน เป็นขวัญใจเกาะทวี (เกาะอียุ่ง) คืนหนึ่งขึ้นห้องเกือบ สิบครั้ง  บางคน มาใหม่เขินอาย นั่งอยู่ระเบียงบ้าน ชายหนุ่ม มาเที่ยวก็ไปหาถึงบ้าน มีขวดน้ำ สำหรับทำความสะอาด ไม่มีห้องน้ำ ในตัวห้อง
   ตอนกลางวัน พวกเธอก็ นอนบ้าง เล่นไพ่บ้าง แต่งตัวบ้าง ส่วนใหญ่ทุกคนจะมีผัวเป็นตัวตน ที่เราเรียกกันว่าแมงดา หากินมาเท่าไร ก็มาให้แมงดา ทั้งหมด นับว่าเป็นเวรกรรมของพวกเธอ
   โรคผู้หญิงสมัยนั้น เรียกว่าโรค ออกดอก  ออกดอก? เป็นคำที่ผู้ป่วยมักใช้กันเพื่อบรรยายถึงผื่นตามผิวหนัง ทั้งเกิดจากโรคซิฟิลิส โรคซิฟิลิสในระยะออกดอกนี้ได้แก่ โรคในระยะที่สอง (Secondary stage) ซึ่งมักจะเกิดหลังจากมีแผลริมแข็งประมาณ 2-4 เดือน โดยปกติแล้วเมื่อเกิดอาการออกดอก แผลริมแข็ง (ส่วนมากจะเป็นที่อวัยวะเพศ) จะหายไปแล้ว แต่มีประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยที่ยังคงมีแผลริมแข็งอยู่ในขณะที่เกิดผื่นขึ้นมาตามตัว ผู้ป่วยส่วนหนึ่งโดยเฉพาะผู้หญิงอาจจะไม่เคยสังเกตว่ามีแผลริมแข็งมาก่อนเลย ซึ่งคงจะเกิดจากแผลอาจมีขนาดเล็กและไม่มีอาการหรือแผลซ่อนอยู่ภายใน เช่น ในช่องคลอด คอมดลูก หรือปากทวารหนัก จะเห็น อดีตโสเภณีออกดอก หรือ ชายออกดอก หลายคน ผอมน่าสงสาร มีให้เห็นทุกวัน  จะหากินไม่ได้  สมัยนั้นโรคเอดส์ ยังไม่มี โรคสมัยนั้น มีไม่กี่อย่าง เรียกกันว่า กามโรค
กามโรค
          กามโรค  หมายถึงโรคที่ติดต่อโดยการร่วมเพศและมักก่อให้เกิดพยาธิสภาพที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์เป็นส่วนใหญ่
          แต่เดิม กามโรคหมายถึง กลุ่มโรคเพียง ๕ โรคคือ ซิฟิลิส หนองใน แผลริมอ่อน โรคของต่อมน้ำเหลืองและโรคเนื้อตายที่บริเวณขาหนีบ ปัจจุบันพบว่ายังมีโรคอีกหลายโรคที่ติดต่อโดยการร่วมเพศ   แต่ไม่ใช่กามโรคที่แท้จริงรวมอยู่ในกลุ่มโรคนี้ด้วย คือ หนองในเทียม (ใช้เฉพาะในชาย) หูดหงอนไก่  เชื้อรา พยาธิในช่องคลอด เริม หูดข้าวสุก หิดที่อวัยวะสืบพันธุ์ ตัวโลน เป็นต้น  ด้วยเหตุนี้  ในปัจจุบันจึงเปลี่ยนชื่อกามโรคว่า "โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์" (sexuallytransmitted diseases)

          ซิฟิลิส เกิดจากเชื้อทริโปนีมาพอลลิดุม  (tryponema pollidum) มีระยะฟักตัวโดยเฉลี่ย ๑๐-๓๐ วัน
          อาการในระยะแรก  จะมีแผลเกิดขึ้น เรียกว่า แผลริมแข็ง มักเป็นที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกลักษณะแผลมีขอบนูนสูงขึ้น  ก้นแผลสะอาดเรียบ ถูกต้องไม่เจ็บ ระยะนี้หากไม่รักษาก็จะหายได้เองภายใน ๓-๘ สัปดาห์
          อาการระยะที่ ๒ หลังจากแผลริมแข็งหายราว ๓ สัปดาห์ จะมีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ  เจ็บคอ  คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดเมื่อยและปวดตามข้อ มีผื่นขึ้นตามบริเวณผิวหนัง เช่น แขน  ขา ลำตัว ไม่คันและไม่เจ็บปวด อาจเป็นอยู่ไม่นานวัน หรืออาจนานหลายเดือนก็ได้ ส่วนใหญ่จะหายไปราว ๔-๘ สัปดาห์ ในระยะนี้  อาจมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขึ้นมา   คล้ายยุงกัด แต่มีเนื้อยุ่ยๆ คลุม   บริเวณนี้แพร่เชื้อได้มาก   อาจมีต่อมน้ำเหลืองโต หรือผมร่วงได้
          ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษา เมื่ออาการทุกอย่างหายก็จะเข้าสู่ระยะแฝง   ซึ่งเป็นระยะที่จะไม่มีอาการอะไรทั้งสิ้น แต่จะทราบได้โดยการตรวจพบน้ำเหลืองให้ผลบวก
          อาการในระยะที่ ๓ พบว่า ๑ ใน ๔ ของระยะแฝงจะเปลี่ยนเป็นระยะที่ ๓  ซึ่งต้องใช้เวลานาน โดยจะไปเกิดเป็นแผลและเนื้อตายในหัวใจ หรือระบบประสาท ทำให้เกิดอาการคล้ายคนเป็นโรคจิต
          การวินิจฉัยโรคนี้  ส่วนใหญ่อาศัยจากการตรวจน้ำเหลือง  นอกจากนี้ อาจจะขูดบริเวณแผลหรือผื่นหรือเนื้อนูน  มาตรวจด้วยกล้องพิเศษ และอาจต้องเจาะน้ำไขสันหลังมาตรวจด้วยในบางรายหญิงมีครรภ์ที่เป็นซิฟิลิสต้องได้รับการรักษาจากแพทย์  เพราะซิฟิลิสจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เช่น ทำให้แท้ง ทารกตายในครรภ์ หรือเป็นฟิซิลิสแต่กำเนิด

          หนองใน เกิดจากเชื้อไนซ์ซีเรียโกโนร์เรีย มีระยะฟักตัวประมาณ ๓-๕ วัน
          อาการมักเริ่มด้วยปัสสาวะแสบ   ขัด  มีตกขาวถ้าไม่ได้รับการรักษา  โรคนี้อาจลุกลามเข้าไปในโพรงมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ ทำให้ท่อนำไข่ตัน และเป็นหมันในที่สุด

          แผลริมอ่อน เกิดจากเชื้อฮีโมฟิลัสดูเครยี(hemophilus ducreyi) มีระยะฟักตัวประมาณ ๒-๕ วัน  
          อาการ อาจพบได้ใน ๒ ลักษณะ คือ
          (๑) แผล มักพบบริเวณฝีเย็บ และที่แคมเล็กเริ่มคัน มีเม็ดพอง และอักเสบ  ต่อมาเป็นหนองแตกออก มีอาการเจ็บ ส่วนใหญ่เกิดหลายแผล ขอบแผลไม่ชัดเจน ถูกต้องเจ็บ
          (๒) ฝีมะม่วง  ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่เพียงพอ  ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบจะโตเป็นหนองได้ราว ๕-๘ วันหลังมีแผล
          กามโรคที่ต่อมน้ำเหลือง เกิดจากเชื้อคลาไมเดีย (chlamydia) มีระยะฟักตัว ๑-๔ สัปดาห์ แต่โดยปกติประมาณ ๗-๑๒ วัน
          อาการจะเริ่มด้วยมีแผลที่อวัยวะเพศ  แล้วมีไข้อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ต่อมาต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณขาหนีบ แล้วเป็นหนองแตกออกมาเรียกว่า ฝีมะม่วง   เช่นเดียวกับแผลริมอ่อน   อาการต่อมน้ำเหลืองโตนี้ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นหลังจากแผลหายไปแล้ว

          กามโรคเนื้อตายที่บริเวณขาหนีบ  เกิดจากเชื้อโดโนแวนแกรนูโลมาติส (donovan granulomatis) มีระยะฟักตัวไม่แน่นอน  
          อาการในระยะแรกจะพบแผลเป็นตุ่ม อักเสบไม่เจ็บ  ต่อมาแตกเป็นแผลกลมนูนยุ่ย  เลือดออกง่าย

          หูดหงอนไก่   เป็นโรคที่พบบ่อยในวัยเจริญพันธุ์ เกิดจากเชื้อไวรัสปาปิลโลมา (papilloma viruses)มีลักษณะคล้ายหงอนไก่ หรือดอกกะหล่ำ เกิดบริเวณอวัยวะเพศ และโตขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อพบร่วมกับการตั้งครรภ์
          รักษาได้โดยยา หรือจี้ด้วยไฟฟ้า

          เริม เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ พบได้บ่อย มักมีอาการ ๔-๕ วันหลังการร่วมเพศ โดยเกิดเป็นเม็ดใสๆ แล้วแตกออกเป็นแผลเล็กๆ  หลายแผลเจ็บ ปวดแสบปวดร้อน และมีอาการอักเสบ เป็นอยู่ประมาณ ๑๐ วันก็จะหายไป  อาจมีเชื้อบัคเตรีแทรกได้และอาจมีต่อมน้ำเหลืองโตเล็กน้อย เป็นแล้วมักเป็นอีก
การรักษาสมัยนั้น ไม่มีหมอทันสมัย ต้องกินยาหม้อกัน ผลสุดท้ายต้องออกดอก และตายในที่สุด ชาวบ้านเรียก โรค ตาโบฮวง นับว่ามีจุดจบที่น่าสงสารมาก
หญิงนครโสเภณีนั้นเรียกสั้น ๆ ว่า หญิงโสเภณี หรือโสเภณี ซึ่งเดิมพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับ พ.ศ. 2493) ให้นิยามว่า "หญิงงามเมือง, หญิงคนชั่ว"
ภาคอีสานเรียกหญิงนครโสเภณีว่า "หญิงแม่จ้าง" คือ เป็นผู้หญิงที่รับจ้างกระทำชำเราสำส่อน โดยได้รับเงินหรือผลประโยชน์เป็นค่าจ้าง
นครโสเภณี
ที่มีชื่อว่า "นครโสเภณี" นั้น ราชบัณฑิตยสถานว่าเห็นจะเป็นเพราะว่า หญิงพวกนี้อาศัยเมืองหรือนครเป็นที่หาเลี้ยงชีพ หญิงโสเภณีตามชนบทนั้นไม่มี เพราะการเป็นโสเภณีนั้นเป็นที่รังเกียจของสังคม ผู้หญิงพวกนี้จึงอาศัยที่ชุมชนเป็นที่หากิน อีกประการหนึ่ง ในเมืองหรือนครนั้นมีผู้คนลูกค้ามากมาย เป็นการสะดวกแก่การค้าประเวณี
อนึ่ง ว่ากันตามรากศัพท์แล้ว ราชบัณฑิตยสถานว่า "นคร" แปลว่าเมือง "โสภิณี" แปลว่าหญิงงาม "นครโสภิณี" จึงแปลว่า หญิงงามประจำเมือง หรือหญิงผู้ทำเมืองให้งาม คำว่า "นครโสเภณี" ปัจจุบันมักเรียกสั้น ๆ ว่า "โสเภณี"
หญิงโสเภณีมักรวมกลุ่มกันในสถานค้าประเวณีที่เรียกกันว่า "ซ่องโสเภณี" ซึ่งในภาษาไทยตามกฎหมายเก่า (พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127) ว่า "โรงหญิงนครโสเภณี" อย่างไรก็ดี หญิงโสเภณีอาจอยู่ตามโรงแรม สถานอาบอบนวด โรงน้ำชา ภัตตาคาร ร้านเสริมสวย หรือตามสถานบันเทิง หรืออาจอยู่บ้านส่วนตัวและรับจ้างร่วมประเวณีเฉพาะโอกาสก็ได้
หญิงงามเมือง
ที่แปลว่า "หญิงงามเมือง" นั้น คำนี้ความหมายเดิมหมายถึงเพียงนางบำเรอชั้นสูงประจำนครใหญ่ ๆ หรือนครหลวง มีหน้าที่ปรนนิบัติและบำเรอชายทั้งที่เป็นแขกเมืองและชาวเมืองให้เป็นที่ชอบใจโดยไม่ประสงค์จะมีลูกสืบสกุล เพราะหญิงประเภทนี้ถือว่าถ้ามีลูกแล้วตนก็ไม่เป็นที่ชอบใจของชายที่จะมาให้บำเรออีก นี้เป็นวัฒนธรรมโบราณของแถบเอเชียตะวันตก
มีตัวอย่างในสมัยพุทธกาลคือ นางสาลวดี มารดาของหมอชีวกโกมารภัจ นางเป็นนางบำเรอชั้นสูงประจำกรุงราชคฤห์ นครหลวงแคว้นมคธ (ปัจจุบันคือรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย) เมื่อบำเรอชายแล้วก็เกิดตั้งท้องขึ้นจึงอ้างว่าเจ็บป่วยเพื่อปิดความจริงและไม่ยอมพบใครทั้งสิ้นตลอดเวลาตั้งท้องนั้น เมื่อคลอดแล้วได้เอาเบาะหุ้มห่อทารกใส่กระด้งไปทิ้งในเวลากลางคืน เจ้าชายอภัย พระราชโอรสพระเจ้าพิมพิสาร เสด็จไปพบและรับมาเลี้ยงจึงรอดตาย ทารกนั้นจึงได้ชื่อว่า "ชีวก" (/ชีวะกะ/) แปลว่า "ผู้มีชีวิต"
กะหรี่
คำว่า "กะหรี่" เป็นคำตลาดหมายถึง หญิงโสเภณี ตัดทอนและเพี้ยนมาจากคำเต็มว่า "ช็อกกะรี" และคำ "ช็อกกะรี" นี้ก็เพี้ยนมาจาก "ชอกกาลี" ซึ่งมาจากคำ "โฉกกฬี" ในภาษาฮินดี แปลว่า เด็กผู้หญิง คู่กับ "โฉกกฬา" (ฮืม??, Ch?kar?) ที่แปลว่า เด็กผู้ชาย เป็นทอด 3]
ประวัติ
ในสมัยดึกดำบรรพ์ หญิงโสเภณีไม่มีราคาหรือไม่ถือว่าต่ำช้า เพราะในสมัยนั้นไม่ถือธรรมเนียมหรือคุณค่าทางพรหมจารี การสมสู่เป็นไปโดยเสรีและสะดวก ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏว่า ชาวสลาฟโบราณถือว่า หญิงดีมีค่านั้นจะต้องมีชายรักใคร่เสน่หาร่วมประเวณีมาก่อนสมรส ถ้าสามีตรวจพบว่าภริยาของตนมีพรหมจารีที่ยังไม่ถูกทำลายก็มักไม่พอใจ บางรายถึงขนาดขับไล่ไสส่งภริยาไปก็มี เนื่องจากอุดมคติในเรื่องพรหมจารีมีอยู่เช่นนี้ จึงทำให้ผู้หญิงบางหมู่แสวงหาเครื่องหมายจากการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของชายคู่รักเพื่อเก็บไว้อวดชายที่มาเป็นสามี เมื่อเสรีภาพในการร่วมประเวณีมีอยู่เช่นนั้น หญิงโสเภณีในยุคแรกเริ่มเดิมทีก็นับว่าไม่มี
จากการศึกษาพบว่า หญิงโสเภณีมีกำเนิดมาจากพิธีการทางศาสนา ปฏิบัติกันอยู่ในเอเชียตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ คือหญิงสาวจะต้องกระทำพิธีสละพรหมจารีของตนเพื่อบูชาเทวีผู้ซึ่งมีชื่อเรียกขานแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น ของอินเดียได้แก่พิธีบูชาพระแม่กาลีซึ่งบางทีก็เรียก "ทุรคาบูชา" (ฮินดี: Durgapuja) พิธีเช่นว่านี้สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าผู้หญิงมีความรู้สึกฝังใจอยู่กับชายคนแรกที่เธอร่วมประเวณีด้วย การสละพรหมจารีดังกล่าวจึงกระทำเพื่อบูชาเทวีเบื้องบนเสีย และชายผู้ร่วมประเวณีด้วยนั้นก็มักจะเป็นแขกแปลกหน้าที่หญิงนั้นไม่รู้จัก โดยถือกันว่าชายแปลกถิ่นเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจะนำโชคลาภมาสู่ตน

หลังจาก นางยุ่ง ถึงแก่กรรม สภาพเกาะ อียุ่ง ก็เปลี่ยนไป ปัจจุบัน เป็นบ้านเรือน ทันสมัย พ่อได้ยกที่ดินให้กับ คนแถวนั้น หรือขายให้ในราคามิตรภาพ จำนวนหลายราย เมื่อพ่อเสียชีวิต แม่ยกที่ดินริมน้ำ ปิงทั้งหมด ให้กับหลายราย เกาะทวี เกาะอียุ่งกลายเป็นชุมชนใหญ่ (บริเวณหลังบ้านนายบาก) เมื่อผู้เขียนไปเรียนต่อ ที่พิษณุโลก และทำงานที่กรุงเทพ นานกว่า ๒๐ ปี ไม่ได้สัมผัส ชีวิตของผู้หญิงเหล่านี้เลย เมื่อปิดภาคเรียน ก็ลงไปเยี่ยมเยียน ในฐานะคนคุ้นเคย ปัจจุบันที่ดินที่เหลืออยู่ เป็นของพี่สาว หลังจากนั้นจึงต้องบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้ เพื่อให้คนกำแพงได้ศึกษาต่อไป ตำนานเกาะอียุ่ง จึงได้บันทึก ไว้ในตำนานโสเภณีกำแพงเพชร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 13, 2013, 02:21:28 pm โดย apairach » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!