จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
เมษายน 25, 2024, 11:04:04 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชื่อเรื่อง ดวงไฟในคืนแรม เขียนโดย น.ส แพรวนภา แจ่มจำรัส ครุศาสตร์ภาษาไทย 541122  (อ่าน 4186 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1414


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: สิงหาคม 26, 2012, 09:30:55 am »

ชื่อเรื่อง ดวงไฟในคืนแรม


   ท่ามกลางความมืดมิดจากป่ากล้วยรวมทั้งผืนไร่นาที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ยังมีแสงไฟที่ยังส่องสว่างมาตลอดความทรงจำของเธอ เธอผู้นั้นที่เป็นแสงไฟส่องสว่างให้อีกหลายชีวิตได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องเหมาะสม และสิ่งที่เธอเรียกมันว่าบ้านมันถูกสร้างขึ้นมาง่ายๆจากไม้หลายชนิดที่ชาวบ้านจะหามาได้ในละแวกนั้นเพื่อมาต่อเติมบ้านหลังเก่าที่ผุพัง หลังคาที่ถูกมุงขึ้นจากตับแฝก ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านในชุมชน ดูจากภายนอกมันไม่น่าอยู่เอาเสียเลย แต่ด้วยเหตุใดกันบ้านหลังนี้จึงเป็นที่รู้จักและมีผู้คนทุกเพศทุกวัยเดินเข้าออกบ้านอยู่ทุกวัน เสียงคุยกันจอแจรวมทั้งเสียงหัวเราะ ดังมาจากภายในตัวบ้าน ถ้าฟังดีๆมันคือเสียงของบรรดาเด็กๆ ที่เธอเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า ?ลูกศิษย์? แต่ทว่า....เธอมีชีวิตแบบนี้มานานแค่ไหนกันนะ
            ?เสียงระฆังดังขึ้นแล้วสินะ? ฉันต้องเตรียมตัวไปรบกับเด็กๆที่ยังไม่รู้เลยว่าจะมีสมุดการบ้านมาให้เธอตรวจถึงห้าเล่มมั๊ย
เธอนึกขึ้นในใจพลางฉวยหยิบหนังสือเล่มประจำของการศึกษาระดับชั้นมัธยมต้น แล้วเดินออกจากห้องพักครูไปพร้อมกับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่
เพียงแค่ก้าวแรกที่เธอเดินเข้ามาถึงในห้องเรียน เสียงพูดคุยของเด็กๆมีทีท่าว่าจะเบาลงไปบ้าง แต่แล้วมันก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ การบ้านที่เธอให้ไปทำเมื่อวันก่อน มีเด็กเอามาวางส่งเธอแค่ห้าเล่มเท่านั้น ?นี่ถ้าฉันซื้อหวยคงถูกรางวัลที่หนึ่งแล้วสินะ? เธอพูดออกมาเบา ?เอ้าๆๆๆเงียบๆกันหน่อยสิค่ะนักเรียน? เธอแผดเสียงดังขึ้นกว่าปรกติ และมันก็ได้ผล เด็กๆเริ่มหันมาสนใจคนที่ยืนอยู่หน้ากระดานถึงแม้จะดูเก้ๆกังไปบ้าง ชุดที่เธอใส่อยู่ก็ผิดกับที่คุณครูในโรงเรียนแห่งนี้ เพราะเธออยู่ในชุดนักศึกษาที่ถูกระเบียบครบถ้วน ซึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้มันอาจจะดูแปลกตาไปซักหน่อยสำหรับเด็กนักเรียนในชนบทอย่างพวกเขา ที่น้อยคนนักจะได้ใส่ชุดนักศึกษาเหมือนเธอ ตลอดระยะเวลาการสอนของเธอมีเสียงดัง งุมๆๆๆ งึมๆๆๆ มาจากทั่วทุกมุมห้องนั่นมันแสดงให้เห็นว่าไม่ค่อยมีใครจะสนใจสิ่งที่เธอเขียนอยู่บนกระดานซักเท่าไร  เป๊งๆๆๆๆ และแล้วเสียงสวรรค์สำหรับเธอก็ดังขึ้น รวมถึงตัวของเด็กๆด้วย เธอวาง แท่งชอล์กลงบนรางไม้เก่าๆ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้กับโต๊ะประจำตำแหน่งของคุณครูท่านก่อนๆ ?วันนี้เพื่อนในกลุ่มใครขาดเรียนบ้างบอกชื่อครูมาสิค่ะ?  เธอรู้ตัวดีว่าถามรายชื่อคนมาน่าจะตอบง่ายกว่า และหลังจากเธอเช็คชื่อเรียบร้อยแล้ว ?ขอบคุณค่ะ/ครับคุณครู? เธอรับไหว้เด็กๆพร้อมทั้งรอยยิ้มถึงแม้ว่าจะมีเสียงเล็ดลอดมาแค่เพียงเล็กน้อยก็ตาม พอถึงช่วงเย็นเธอกลับมาที่บ้านพักครูที่อยู่เป็นห้องแถวติดกันประมาณห้าห้องมันสร้างขึ้นมาจากไม้ สภาพไม่ค่อยน่าอยู่นัก แต่ภายในก็กว้างขวางดี หลังจากที่เธอทำธุระส่วนตัวเสร็จ เธอเดินมาที่หน้ากระจกบานใหญ่มันไม่แปลกที่หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆอย่างเธอจะมีติดไว้ เธอเพ่งมองภาพหญิงสาวที่สะท้อนมาจากกระจก เธอเห็นภาพการรับปริญญาโท และมันดูเหมาะมากกับใบหน้าที่จัดได้ว่าสวยเลยทีเดียว ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กกำพร้าแต่ด้วยความพยายามและความมีน้ำใจไมตรีทำให้เป็นที่รักใคร่และได้รับความช่วยเหลือของบรรดาคุณครูมาตลอด และมันจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้แต่เธอเองก็ไม่คิดจะหยุดแค่การจบปริญญาตรีครุศาสตร์บัณฑิตอย่างแน่นอน ?ใช่!มันไม่มีวันซะหรอก? เธอพูดกับตัวเอง เหมือนทุกๆวัน
   
           วันเสาร์อาทิตย์สำหรับหรับครูฝึกสอนอย่างเธอมันน่าจะเป็นวันที่เธอมีความสุขมากที่สุด แต่มันใช้ไม่ได้กับโรงเรียนนี้ วันหยุดเธอต้องไปที่โรงเรียนเพื่อที่จะสอนนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง เธอไม่ได้เหนื่อยเหมือนวันปรกติก็จริงเพราะนักเรียนของเธออายุแก่กว่าเธออยู่ก็หลายรอบ ชาวบ้านในละแวกนี้มีหลายคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะว่าโรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นมาไม่นานนักพวกเขาจึงไม่ได้สนใจในการใฝ่หาความรู้กันซักเท่ารัย แต่ในปัจจุบันการอ่านหนังสือไม่ออกทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนในเมืองอยู่บ่อย พวกเขาจึงตัดสินใจขอมาเรียนเพียงแค่อ่านออกเขียนได้ก็พอแล้ว หลายคนคงสงสัยว่าด้วยเหตุใดเธอต้องมารับภาระหน้าที่นี้ด้วย คำตอบมันง่ายมากคือ คุณครูวิชาภาษาไทยท่านกำลังจะเกษียณอยู่อีกไม่กี่อาทิตย์ ภาระหน้าที่ทุกอย่างจึงตกมาอยู่ที่เธอเพียงผู้เดียว ยังโชคดีที่เธอเป็นคนขยันแต่การที่ต้องส่งรายงานกับทางมหาวิทยาลัยด้วยมันหนักหนามากอยู่นะ เธอเคยถามตัวเองว่า ?จะไหวรึนี่? แต่ทนอีกหน่อยพอเรียนจบเราก็จะสบายแล้ว เธอคิดปลอบใจตัวเอง
   
         หลังจากการสอบสิ้นสุดลง ดูเหมือนว่าเด็กนักเรียนจะตื่นเต้นเป็นพิเศษกับการที่จะได้พักผ่อนกับการหยุดเรียนหลายอาทิตย์ แต่สำหรับเธอมันผิดคาดเพราะสองมือของเธอถือปึกกระดาษข้อสอบสามชุดใหญ่เพื่อที่จะไปตรวจ มันดูมากเกินไปกับจำนวนนักเรียนที่เธอสอน เพราะความจริงแล้วเป็นข้อสอบของคุณครูรุ่นพี่ เอ้ย! ไม่ใช่สิรุ่นแม่ ที่วานให้เธอช่วยตรวจ เธอก็รับมาด้วยความเต็มใจ เธอเริ่มตรวจวิชาภาษาไทยที่เธอสอนก่อน แต่เธอได้เจอกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งเขียนเพียงแค่ชื่อ-สกุล เท่านั้น เธอไม่แปลกใจอะไรเพราะว่าส่วนมากที่ทำได้ก็ไม่ได้คะแนนมากไปกว่าส่งกระดาษเปล่า เธอตรวจอีกสองรายวิชาที่เหลือ เอ๊ะ! ทำไมถึงเป็นชื่อเดิมที่ส่งกระดาษเปล่าทุกวิชาเลยละ เธออ่านชื่อบนหัวมุมกระดาษมันเขียนว่า ด.ญ. พิมใจ มีโชค
   เธอเริ่มสนใจในตัวเด็กคนนี้แล้วสิ ว่าทำไมถึงส่งข้อสอบแบบนี้ เธอจึงถามกับอาจารย์ท่านอื่นรวมทั้งชาวบ้านด้วย สุดท้ายก็ได้คำตอบมาว่า  ด.ญ. พิมใจอาศัยอยู่กับยายในกระท่อมที่ท้ายป่ากล้วย เช้าวันรุ่งขึ้นเธอตัดสินใจที่จะไปที่บ้านของเด็กหญิงคนนั้น ถึงแม้ว่ามันจะดูไกลไปซักหน่อยแต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุผลอะไรนักหนาที่เธอต้องไป การที่จะหาบ้านของด.ญ. พิมใจนั้นไม่ยากอย่างที่คิดเพราะมีบ้านเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ เธอเดินไปนั่งบนแคร่ที่มีกระด้งตากพืชอยู่หลายชนิด ดูเผินๆมันเหมือนหญ้าตากแห้ง เธอกำลังจะหยิบมันขึ้นมาดู แต่มีเสียงสวัสดีค่ะคุณครูดังมาจากข้างหลังเธอ ?สวัสดีค่ะคุณครู? เธอสะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงหันไปมองดวงหน้าที่เกลี้ยงเกลาของเด็กสาววัย สิบสามปี ที่ดูสะอาดสะอ้านผิดจากเด็กในละแวกนี้ เด็กสาวที่อยู่ใต้เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ?หนูชื่อ ด.ญ. พิมใจ ใช่มั๊ยจ๊ะ? เธอเอ่ยถามเด็กสาวที่กำลังเดินไปตักน้ำในโอ่งดินใบเล็กมาให้เธอ ?ใช่ค่ะ เรียกหนูว่าพิม ก็ได้ค่ะ? เด็กสาวตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมขันน้ำที่เงาวับ ถ้ามันไม่บางไปซักหน่อยเธอคงจะคิดว่าเป็นขันใบใหม่ เธอถามเข้าประเด็นการที่เธอมาบ้านของพิมในครั้งนี้ว่าทำไมพิมถึงส่งกระดาษเปล่า เธอได้คำตอบมาว่าพิมไม่ค่อยได้ไปเรียนเพราะเธอต้องอยู่ดูแลยายที่ป่วยเป็นโรคอัมพาต สาเหตุมาจากยายเครียดมากหลังจากที่แม่ของพิมลูกสาวคนเดียวของยายต้องมาตายจากไปด้วยโรคเอดส์จากการไปขายตัวในกรุงเทพ เพื่อส่งเงินให้เธอเรียนหนังสือ แต่ตัว พิมไม่ได้รับเชื้อเพราะเธอเกิดก่อนที่แม่เธอจะเป็น แต่สิ่งเดียวที่คาใจเธอมาตลอดคือใครกันละที่เป็นพ่อของเธอ แต่ชาวบ้านในละแวกนี้ไม่เชื่อว่า พิมจะไม่ได้รับเชื้อเอดส์มาจากแม่ เพราะเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วโรคนี้เป็นโรคที่สังคมยังไม่คุ้นเคยและยากที่จะยอมรับญาติของผู้ติดเชื้อได้  พิมบอกว่าพิมต้องเก็บสมุนไพรที่พอรู้และหาได้มาตากแห้งและทำเป็นยาต้มให้ยายอยู่ประจำเพราะไม่มีเงินจะไปซื้อยาของหมอฝรั่งมาทั้งสองคุยกันจนเวลาล่วงเลยไปนานแสนนานจนพระอาทิตตกดินเสียแล้ว มันมืดเกินกว่าที่เธอจะเดินกลับบ้านพักคนเดียวได้ พิมใจอาสาที่จะเดินไปส่ง แต่ขากลับล่ะ พิมใจต้องเดินกลับมาคนเดียว เธอจึงติดสินใจที่จะนอนค้างคืนที่บ้านของพิมใจในคืนนี้ เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่เธอเห็นในแววตาเด็กสาวคนนี้ ?ครูว่าเราน่าจะรู้จักกันให้มากกว่านี้นะพิมใจ? เธอคิดในใจ
   
             เธอตื่นเช้ามาพร้อมกับอาหารที่วางรออยู่ตรงหน้า ในสำรับข้าว ประกอบด้วย ข้าวที่เธอคิดว่าเหลืองและแข็งที่สุดตั้งแต่เธอเคยกินมา และผัดผักบุ้งที่พิมเก็บมาจากคลองถัดไปไม่ไกลนัก ส่วนพิมใจกำลังป้อนข้าวที่บดละเอียดให้ยายอย่างทะนุถนอม พอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยายเสร็จพิมใจจึงเดินมากินข้าวพร้อมกับคุณครูของเธอ ก่อนที่เธอจะกลับบ้านพัก พิมใจบอกเธอว่าพิมใจรู้สึกดีใจมากที่เธอมาในครั้งนี้และเข้ามาสวมกอดเหมือนอยากได้ความรักความอบอุ่นที่เธอไม่เคยได้รับเลยจากพ่อและแม่เราจะช่วยเด็กคนนี้ได้ด้วยวิธีใดบ้างนะ ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเธอพร้อมกับสวมกอดตอบพิมใจไป
   หมดระยะเวลาช่วงปิดเทอม การเรียนการสอนของเธอยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องเรียนน่าเบื่อเหมือนทุกๆวัน จนวันสุดท้ายของการฝึกสอนของเธอมาถึง เธอเก็บของทั้งหมดเพื่อที่จะย้ายกลับเข้าไปอยู่ในหอพักที่มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัด เธอคิดไว้ว่าให้ตายยังไง ฉันก็จะไม่มีวันมาเป็นบรรจุครูทีนี่อย่างเด็ดขาด แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูสมุดการบ้านของเด็กนักเรียนที่เพื่อว่าจะเอามาส่งเธอมากขึ้น แต่ก็ผิดหวังอีกตามเคย นับครั้งที่ร้อยก้อไม่เคยเกินห้าเล่มเธอหยิบมันใส่กระเป๋าเอาไว้ดูเป็นที่ระทึก
   
             ด้วยผลงานที่เธอสะสมมาตลอดเวลาการเรียนครูของเธอและเกรดเฉลี่ยที่3.98 ทำเธอได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ ความฝันที่เธอรอคอยมาตลอดเป็นจริงแล้วสินะ เธอดีใจจนออกนอกหน้า แต่ดวงตาคู่สวยนี้ยังมีแววห่วงอะไรบางอย่างที่เธอยังทำค้างคาไว้
   ท่ามกลางเสียงจอแจของเด็กๆรอบตัว ดวงตาที่ยังประกายความหวังดีภายใต้แว่นตาหนาๆของเธอเหลือบไปเห็นใบปริญญาที่มีรูปที่เธอภาคภูมิใจมากที่สุดในชีวิตของเธอก็ว่าได้ มันแขวนอยู่กับผนังบ้านของเธอแต่มันก็ภูมิใจน้อยกว่ารูปข้างๆที่เธอแขวนไว้ติดกับรูปรับปริญญาของเธอ รูปคู่กันเธอถ่ายกับหญิงสาวต่างวัยในชุดรับปริญญาแต่แตกต่างอยู่ที่ว่าหญิงสาวผู้นั้นปักชื่อบนชุดคลุมสีขาวที่ยาวจนเกือบถึงตาตุ่มว่า ?แพทย์หญิง พิมใจ มีโชค? เด็กสาวคนนั้นที่เธอส่งเสียด้วยเงินเดือนอาชีพครูของเธอ
   เธอตัดสินใจไม่ผิดจริงๆที่ทิ้งความฝันในวันนั้น แลกกับการต่อชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งและผู้คนอีกมากมายที่จะได้รับการรักษาจาก คุณหมอ พิมใจ และ เธอคุณครูศรีสมรหญิงวัยเกษียณ ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายคนในหมู่บ้านให้ความเคารพนับถือ เธอได้ใช้ชีวิตข้าราชการ และความเป็นครูของเธอได้คุ้มจริงๆ
แล้วถ้าเป็นคุณละ คุณจะเลือกอะไร ระหว่างอยู่ที่นี่ หรือว่าไป?
   







เขียนโดย
น.ส แพรวนภา  แจ่มจำรัส ครุศาสตร์ภาษาไทย 541122822

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 26, 2012, 05:11:01 pm โดย apairach » บันทึกการเข้า
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1414


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2012, 08:41:22 pm »

เขียนดี โครงเรื่องเหมือนฝรั่ง น่าสนใจ มีอนาคต ขอให้ฝึกฝนต่อไป ให้ ๑๐ คะแนนเต็ม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!