จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
เมษายน 20, 2024, 03:25:34 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๑๗ มกราคม วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในสมัยสุโขทัย  (อ่าน 4875 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1413


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: มกราคม 15, 2012, 10:33:52 am »

๑๗ มกราคม วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
       
 เดือนธันวาคม ปีพระพุทธศักราช ๒๕๓๑ สำนักงานสภาจังหวัดสุโขทัย ได้มีหนังสือเสนอต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ขอให้มีการกำหนด "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช" ขึ้น โดยถือเอา วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงประกอบพระราชพิธีและทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็น "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช"

          ต่อมาคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย และจัดเอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พิจารณาทบทวนเรื่องการกำหนดวันสำคัญทางประวัติศาสตร์โดยคำนึงถึงความเหมาะสม และความถูกต้องตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้เสนอความคิดว่าควรที่จะเป็น วันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จะเป็นการเหมาะสมกว่า ซึ่งวันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๗ มกราคม ปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๖   ได้มีการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ปีพระพุทธศักราช ๒๕๓๒  ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ในการกำหนดวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ ซึ่งคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ  คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว

          ดังนั้นวันที่ ๑๗ มกราคม ปีพระพุทธศักราช ๒๕๓๓ จึงเป็น "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช" วันสำคัญทางประวัติศาสตร์วันหนึ่งซึ่งถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก

          นับแต่นั้นมาจังหวัดสุโขทัย และทางมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้จัดให้มี งานวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช วันที่ ๑๗ มกราคม เป็นประจำทุกปี เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชที่มีต่อประชาชนชาวไทย   กิจกรรมหลักประกอบด้วย พิธีสักการะ บวงสรวงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ขบวนแห่ และพิธีสวดสรภัญญะ ฯลฯ  โดยสถานที่จัดงานของจังหวัดสุโขทัย คือ บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย  ส่วนสถานที่จัดงานของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ  ณ บริเวณลานพ่อขุน และหอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

พระราชประวัติ

ถ้าจะเปรียบพระมหากษัตริย์ทั้งหมด ในด้านความเป็นสัพพัญญู และพหูสูต พ่อขุนรามคำแหงก็น่าจะอยู่ในอันดับแรก เพราะพระองค์ทรงเป็นตัวอย่างในด้านความรอบรู้อย่างดี ที่ว่าเป็นตัวอย่างนั้น เพราะพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ในสมัยพระองค์ เริ่มต้นและเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อพระองค์เป็นผู้ริเริ่ม เป็นผู้ประเดิม จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะทรงเป็น มหาราช องค์แรกของไทย และควรจะนับได้ด้วยว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเป็นมหาราชองค์เดียว ที่ไม่ต้องอาศัยสงครามและการสู้รบมาเสริมพระบารมี

พระประสูติกาล

พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับนางเสือง พระเชษฐาองค์แรกสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหง ยังทรงพระเยาว์ พระเชษฐาองค์ที่สองทรงพระนามตามศิลาจารึกว่า "พระยาบานเมือง" ซึ่งได้เสวยราชย์ต่อจากพระราชบิดา และเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว พ่อขุนรามคำแหงมหาราชก็เสวยราชย์แทนต่อมา
ตามพงศาวดารโยนก พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งสุโขทัย พ่อขุนเม็งรายมหาราชแห่งล้านนา และพ่อขุนงำเมืองแห่งพะเยา เป็นศิษย์ร่วมพระอาจารย์เดียวกัน ณ สำนักพระสุตทันตฤๅษี ที่เมืองละโว้ จึงน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน โดยพ่อขุนเม็งรายประสูติเมื่อ พ.ศ. 1782 พ่อขุนรามฯ น่าจะประสูติในปีใกล้เคียงกันนี้

พระนาม

เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีพระชนมายุสิบเก้าพรรษา ได้ทรงทำยุทธหัตถีมีชัยต่อขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด (อยู่บนน้ำแม่สอดใกล้จังหวัดตาก แต่อาจจะอยู่ในเขตประเทศพม่าในปัจจุบัน) พระราชบิดาจึงทรงขนานพระนามว่า "พระรามคำแหง" ซึ่งแปลว่า "พระรามผู้กล้าหาญ"
ราชบัณฑิตยสถานสันนิษฐานว่า พระนามเดิมของพระองค์คือ "ราม" เพราะปรากฏพระนามเมื่อเสวยราชย์แล้วว่า "พ่อขุนรามราช" อนึ่ง สมัยนั้นนิยมนำชื่อปู่มาตั้งเป็นชื่อหลาน ซึ่งตามศิลาจารึกหลักที่ 11 พระราชนัดดาของพระองค์มีพระนามว่า "พระยาพระราม" และในชั้นพระราชนัดดาของพระราชนัดดา ในเหตุการณ์การแย่งชิงราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 1962 ตามพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ปรากฏเจ้าเมืองพระนามว่า "พระยาบาลเมือง" และ "พระยาราม"

การเสวยราชย์
นายตรี อมาตยกุล ได้เสนอว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชน่าจะเสวยราชย์ พ.ศ. 1820 เพราะเป็นปีที่ทรงปลูกต้นตาลที่สุโขทัย
ศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิต จึงได้หาหลักฐานมาประกอบพบว่า กษัตริย์ไทยอาหมถือประเพณีทรงปลูกต้นไทรตอนขึ้นเสวยราชย์อย่างน้อยเจ็ดรัชกาลด้วยกัน ทั้งนี้ เพื่อสร้างโชคชัยว่ารัชกาลจะอยู่ยืนยงเหมือนต้นไทร อนึ่ง ต้นตาลและต้นไทรเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของลังกาจนทำหายท่านโง่
พระราชกรณียกิจ

รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นยุคที่กรุงสุโขทัยเฟื่องฟูและเจริญขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก ระบบการปกครองภายในก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยอย่างมีประสิทธิภาพ มีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศทั้งในด้านเศรษฐิกิจและการเมือง ประชาชนอยู่ดีกินดี สภาพบ้านเมืองก้าวหน้าทั้งทางเกษตร การชลประทาน การอุตสาหกรรม และการศาสนา อาณาเขตของกรุงสุโขทัยได้ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล

การบริหารรัฐกิจ
เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงขจัดอิทธิพลของเขมรออกไปจากกรุงสุโขทัยได้ในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 การปกครองของกษัตริย์สุโขทัยได้ใช้ระบบปิตุราชาธิปไตยหรือ "พ่อปกครองลูก" ดังข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า
   
...เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่อบ้านท่อเมือง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู...

ข้อความดังกล่าวแสดงการนับถือบิดามารดา และถือว่าความผูกพันในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ ครอบครัวทั้งหลายรวมกันเข้าเป็นเมืองหรือรัฐ มีเจ้าเมืองหรือพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าครอบครัว
ปรากฏข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงใช้พระราชอำนาจในการยุติธรรมและนิติบัญญัติไว้ดังต่อไปนี้ 1) ราษฎรสามารถค้าขายได้โดยเสรี เจ้าเมืองไม่เรียกเก็บจังกอบหรือภาษีผ่านทาง 2) ผู้ใดล้มตายลง ทรัพย์มรดกก็ตกแก่บุตร และ 3) หากผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมในกรณีพิพาท ก็มีสิทธิไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าประตูวังเพื่อถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้
นอกจากนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชยังทรงใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องช่วยในการปกครอง โดยได้ทรงสร้างพระแท่นมนังคศิลาบาตรขึ้น เพื่อให้พระเถรานุเถระแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันพระ ส่วนวันธรรมดาพระองค์จะเสรด็จประทับเป็นประธานให้เจ้านายและข้าราชการปรึกษาราชการร่วมกัน

พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพ่อขุนรามคำแหง มีดังนี้

1. ด้านการเมืองการปกครอง พระราชกรณียกิจทางด้านการเมืองการปกครองของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประกอบด้วย
     1.1 ทรงทำสงครามขยายอาณาเขตไปอย่างกว้างขวางมากที่สุดในสมัยสุโขทัย
      1.2 โปรดให้สร้างพระแท่นศิลาขึ้น เรียกว่า ?พระแท่นมนังคศิลาบาตร? ตั้งไว้กลางดงตาลสำหรับไว้ให้พระภิกษุสงฆ์ขึ้นแสดงธรรมสวนะและทรงใช้เป็นที่ประทับสำหรับอบรมสั่งสอนบรรดาขุนนางและพสกนิกรในวันธรรมดา
    1.3 ทรงเอาพระทัยใส่ดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด พระองค์โปรดให้แขวนกระดิ่งไว้ที่พระดูพระราชวัง เพื่อให้ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรม ไปสั่นกระดิ่งกราบทูลความเดือดร้อนของตนให้พระองค์ทราบ พระองค์ก็จะทรงตัดสินด้วยพระองค์เอง
2. ด้านเศรษฐกิจ พระราชกรณียกิจทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของพ่ขุนรามคำแหงมหาราช ประกอบด้วย
    2.1 โปรดให้สร้างทำนบกักน้ำที่เรียกว่า ?สรีดภงส์? เพื่อนำน้ำไปใช้ในตัวเมืองสุโขทัยและบริเวณใกล้เคียง โดยอาศัยแนวคันดินที่เรียกว่า ?เขื่อนพระร่วง? ทำให้มีน้ำสำหรับใช้ในการเพาะปลูกและอุปโภคบริโภคในยาม ที่บ้านเมืองขาดแคลนน้ำ
    2.2 ทรงส่งเสริมการค้าขายภายในราชอาณาจักรเป็นอย่างดีด้วยการไม่เก็บภาษีผ่านด่านหรือ ?จกอบ? (จังกอบ) จากบรรดาพ่อค้าที่เข้ามาค้าขายในกรุงสุโขทัย ทำให้การค้าขายขายออกไปอย่างกว้างขวาง
 3. ด้านวัฒนธรรม พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทางด้านวัฒนธรรม มีดังนี้
   3.1 ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แทนตัวอักษรขอมที่เคยใช้กันมาแต่เดิม เมื่อ พ.ศ. 1826 เรียกว่า ?ลายสือไทย? และได้มีการพัฒนาการมาเป็นลำดับจนถึงอักษรไทยในยุคปัจจุบัน ทำให้คนไทยมีอักษรไทยใช้มาจนถึงทุกวันนี้
    3.2 ทรงรับเอาพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ลัท ธิลังกาวงศ์ จากลังกา ผ่านเมืองนครศรีธรรมราช มาประดิษฐานที่เมืองสุโขทัย ทำให้พระพุทธศาสนาวางรากฐานมั่นคงในอาณาจักรสุโขทัย และเผยแผ่ไปยังหัวเมืองต่างๆในราชอาณาจักรสุโขทัย จนกระทั่งได้กลายเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาจนถึงทุกวันนี้
    3.3 โปรดให้จารึกเรื่องราวบางส่วนที่เกิดในสมัยของพระองค์ โดยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ทำให้คนไทยยุคหลังได้ทราบ และนักประวัติศาสตร์ได้ใช้ศิลาจารึกดังกล่าวเป็นข้อมูลหลักฐานในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวประวัติศาสตร์สุโขทัย
 4. ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พระราชกรณียกิจทางด้านความสำคัญระหว่าง ประเทศของพ่อขุนรามคำแหง ได้แก่ การใช้ความสัมพันธ์ทางด้านการทูตและความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะทางด้านพระพุทธศาสนาแทนการทำสงคราม ทำให้สุโขทัยมีแต่ความสงบร่มเย็น ไม่เกิดสงครามกับแคว้นต่างๆ ในสมัยของพระองค์ และได้หัวเมืองประเทศราชเพิ่มขึ้นอีกด้วย

อาณาเขต

พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางไพศาล คือ
ทิศตะวันออก ทรงปราบได้เมืองสรหลวงสองแคว ([จังหวัดพิษณุโลก|พิษณุโลก]), ลุมบาจาย, สะค้า (สองเมืองหลังนี้อาจอยู่แถวลุ่มแม่น้ำน่านหรือแควป่าสักก็ได้), ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปถึงเวียงจันทน์และเวียงคำในประเทศลาว
ทิศใต้ ทรงปราบได้คนที (บ้านโคน จังหวัดกำแพงเพชร), พระบาง (นครสวรรค์), แพรก (ชัยนาท), สุพรรณภูมิ, ราชบุรี, เพชรบุรี, และนครศรีธรรมราช โดยมีฝั่งทะเลสมุทร (มหาสมุทร) เป็นเขตแดนไทย
ทิศตะวันตก ทรงปราบได้เมืองฉอด, เมืองหงสาวดี และมีสมุทรเป็นเขตแดนไทย
ทิศเหนือ ทรงปราบได้เมืองแพร่, เมืองน่าน, เมืองพลัว (อำเภอปัว น่าน), ข้ามฝั่งโขงไปถึงเมืองชวา (หลวงพระบาง) เป็นเขตแดนไทย

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

   ทรงทำพระราชไมตรีกับพ่อขุนเม็งรายมหาราชแห่งล้านนา และพ่อขุนงำเมืองแห่งพะเยา โดยทรงยินยอมให้พ่อขุนเม็งรายมหาราชขยายอาณาเขตล้านนาทางแม่น้ำกก แม่น้ำปิง และแม่น้ำวังได้อย่างสะดวก เพื่อให้เป็นกันชนระหว่างจีนกับสุโขทัย กับทั้งยังได้เสด็จไปทรงช่วยเหลือพ่อขุนเม็งรายมหาราชหาชัยภูมิสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1839 ด้วย
ทางประเทศมอญ มีพ่อค้าไทยใหญ่ชื่อ "มะกะโท" เข้ารับราชการอยู่ในราชสำนักของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มะกะโทได้ผูกสมัครรักใคร่กับพระธิดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แล้วพากันหนีไปอยู่เมืองเมาะตะมะ ต่อมาได้ฆ่าเจ้าเมืองและขึ้นเป็นแทนเมื่อ พ.ศ. 1824 แล้วจึงขออภัยโทษต่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ขอพระราชทานนาม และขอยินยอมเป็นประเทศราชของกรุง'ข้อความตัวหนา''ข้อความตัวเอน''สุโขทัย ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงได้พระราชทานนามว่า "พระเจ้าฟ้ารั่ว"
ทางทิศใต้ ได้ทรงอาราธนาพระมหาเถรสังฆราชผู้เรียนจบพระไตรปิฎกมาจากนครศรีธรรมราช ให้มาเผยแพ่พุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย
ส่วนด้านเมืองละโว้นั้นทรงปล่อยให้เป็นเอกราชอยู่ เพราะปรากฏว่ายังส่งเครื่องบรรณาการไปจีนอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1834 ถึง พ.ศ. 1840 ทั้งนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชก็คงจะได้ทรงผูกไมตรีกับเมืองละโว้ไว้ นอกจากนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเองก็ทรงส่งราชทูตไปจีนสามครั้งเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี

ประดิษฐกรรม

พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เมื่อ พ.ศ. 1826 ตัวหนังสือไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีลักษณะพิเศษกว่าตัวหนังสือของชาติอื่นซึ่งขอยืมตัวหนังสือของอินเดียมาใช้ กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ เพิ่มขึ้นให้สามารถเขียนแทนเสียงพูดของคำในภาษาไทยได้ทุกคำ กับทั้งได้นำสระและพยัญชนะมาอยู่ในบรรทัดเดียวกันโดยไม่ต้องใช้พยัญชนะซ้อนกัน ทำให้เขียนและอ่านหนังสือไทยได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น

วรรณกรรม

วรรณกรรมสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสูญหายไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (พ.ศ. 1835) ซึ่งแม้จะมีข้อความเป็นร้อยแก้ว แต่ก็มีสัมผัสคล้องจองทำให้ไพเราะซาบซึ้งตรึงใจ เช่น
   
...ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว...ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย...เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พิน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด

นับเป็นวรรณคดีเริ่มแรกของกรุงสุโขทัยซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบันโดยมิได้มีผู้คัดลอกให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
อย่างไรก็ดี ในช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา มีข้อสงสัยทางวิชาการว่าศิลาจารึกดังกล่าวจะมิได้ทำขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และมีผู้เสนอว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพบศิลานั้นเมื่อเสด็จจาริกธุดงค์ เป็นผู้ทรงทำศิลานั้นขึ้นเพื่อเหตุผลทางการเมืองในการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ชาติตะวันตกเห็นว่ามีและรุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน เป็นการป้องปัดภัยการล่าอาณานิคมในสมัยนั้น ทั้งนี้ข้อสงสัยนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่

ศิลาจารึกในสมัยสุโขทัย
           ศิลาจารึกเป็นสิ่งที่ให้ความรู้ในด้านภาษาศาสตร์ อักษรศาสตร์ และนิรุกติศาสตร์ เป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของเนื้อหาสาระ ถือเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ ที่แสดงวัฒนธรรมของชนชาติเจ้าของจารึก ว่ามีความเป็นมาอย่างไร
           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏ ขณะทรงผนวชได้เสด็จจาริกไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ ทรงค้นพบศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ อันเป็นหลักลายสือไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ณ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๖ จากนั้นก็ได้มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของศิลาจารึกอีกหลายหลัก ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในสมัยสุโขทัย
           ศิลาจารึกที่สลักขึ้นในสมัยสุโขทัย ที่มีการชำระ และแปลแล้วนำมาพิมพ์รวบรวมไว้ใน ประชุมจารึกสยามภาคที่ ๑ พ.ศ.๒๔๖๗ มีจำนวน ๑๕ หลัก จากนั้นได้มีการศึกษาเพิ่มเติม และจัดพิมพ์เผยแพร่ โดยมีหอสมุดแห่งชาติเป็นหน่วยหลักหลายครั้ง เฉพาะที่เป็นจารึกสมัยสุโขทัย ได้มีการรวบรวมจัดพิมพ์อีกในหนังสือจารึกสมัยสุโขทัย โดยกรมศิลปากร เนื่องในโอกาสฉลอง ๗๐๐ ปี ลายสือไทย พ.ศ.๒๕๒๖ ได้จัดกลุ่มจารึกสุโขทัยตามลักษณะของตัวอักษร จำแนกไว้เป็น ๕ กลุ่ม คือ
               -  จารึกที่ใช้อักษรไทยสุโขทัย
               -  จารึกที่ใช้อักษรขอมสุโขทัย
               -  จารึกที่ใช้อักษรไทยขึ้นต้น และต่อด้วยอักษรขอมสุโขทัย
               -  จารึกที่ใช้อักษรขอมขึ้นต้น และต่อด้วยอักษรไทยสุโขทัย
               -  จารึกที่ใช้อักษรไทยสุโขทัยขึ้นต้น และต่อด้วยอักษรธรรมล้านนา
           จากรึกสุโขทัยที่พบและอ่านแล้วมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑๐๐ หลัก ที่สำคัญมี ดังนี้

           ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง  ทำจากหินทรายแป้ง ลักษณะเป็นหลักสี่เหลี่ยมด้านเท่าทรงกระโจม หรือทรงยอ กว้างด้านละ ๓๕ เซนติเมตร สูง ๑๑๑ เซนติเมตร จารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ปี พ.ศ.๑๘๓๕ เรียกศิลาจารึกหลักนี้ว่า จารึกหลักที่ ๑ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
           เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ขณะทรงผนวชได้เสด็จจาริกหัวเมืองฝ่ายเหนือ ถึงเมืองเก่าสุโขทัย ทรงพบศิลาจารึกหลักนี้พร้อมพระแท่นมนังคศิลาบาตร ณ โคกปราสาทร้าง จึงได้โปรดให้นำเข้ากรุงเทพ ฯ ในขั้นแรกเก็บรักษาไว้ที่วัดราชาธิวาส เพราะทรงประทับอยู่ ณ ที่วัดนั้น ต่อมาเมื่อทรงย้ายไปประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร จึงโปรดให้ย้ายไปไว้ที่วัดบวร ฯ
           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงอ่านศิลาจารึกหลักนี้ได้เป็นพระองค์แรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๙ และหอสมุดวชิรญาณได้จัดพิมพ์เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๗
           เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้ที่ถูกเรียกกันว่าเป็นนักวิชาการบางคน และพรรคพวกที่มีความเห็นอย่างเดียวกัน บางพวกไม่เชื่อว่าเป็นศิลาจารึกที่พ่อขุนรามคำแหงสร้างขึ้นไว้เมื่อประมาณ เจ็ดร้อยปีก่อน จึงได้มีการพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์ ตามที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเสนอแนะไว้ในคราวประชุมใหญ่ ฯ เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๒ โดยมอบหมายให้นักวิทยาศาสตร์ ประจำกรมศิลปากร และกรมทรัพยากรธรณี ทำการวิจัยเรื่อง การพิสูจน์ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ โดยนำศิลาจารึกที่ทำด้วยหินทรายแป้ง ชนิดเดียวกับศิลาจารึกหลักที่ ๑ และถูกทิ้งกรำแดดกรำฝน คือศิลาจารึกวัดพระบรมธาตุนครชุม เมืองกำแพงเพชร (จารึกหลักที่ ๓) ศิลาจารึกวัดมหาธาตุ (จารึกหลักที่ ๔๕) พระแท่นมนังคศิลาบาตร และจารึกชีผ้าขาวเพสสันดรวัดข้าวสารมาเปรียบเทียบกัน ผู้วิจัยได้ใช้แว่นขยายรังสีอัลตร้าไวโอเลต และรังสีอินฟราเรด กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจพิสูจน์ เมื่อเปรียบเทียบวิเคราะห์หลาย ๆ จุดบนตัวอย่างแต่ละตัวอย่างแล้ว หาค่าเฉลี่ยพบว่า ความแตกต่างขององค์ประกอบที่ผิวกับส่วนที่อยู่ข้างในของศิลาจารึกหลักที่ ๑ หลักที่ ๓ และหลักที่ ๔๕ มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน จึงสรุปผลการพิสูจน์ว่า
           "ผลปรากฏว่าผิวของหินตรงร่องที่เกิดจากการจารึกตัวอักษรมีปริมาณแคลไซด์ ลดลงมากใกล้เคียงกับผิวส่วนอื่น ๆ ของศิลาจารึกหลักที่ ๑ จนสามารถมองเห็นเป็นชั้นที่มีความแตกต่างได้ชัดเจน แสดงว่าเป็นการจารึกในช่วงเวลาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันกับการสกัดก้อนหินออกมาเป็นแท่งแล้วขัดผิวให้เรียบ มิใช่เป็นการนำแท่งหินที่ขัดผิวไว้เรียบร้อยในสมัยสุโขทัย แล้วนำมาจารึกขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ "
           จากความจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว แสดงว่าศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้ผ่านกระบวนการสึกกร่อนผุสลายมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ใกล้เคียงกับศิลาจารึก หลักที่ ๓ หลักที่ ๔๕ และหลักที่กล่าวถึงชีผ้าขาวเพสสัดร จึงเป็นอันยุติว่า ศิลาจารึกหลักที่ ๑ เป็นของดั้งเดิม มิใช่ทำขึ้นใหม่ อย่างที่กลุ่มคนบางจำพวกยกเป็นประเด็นขึ้นมา                    สาระสำคัญของศิลาจารึกหลักที่ ๑ เบื้องต้นเป็นการบอกเล่า  พระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งทรงบอกเล่าด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนถึงขึ้นครองราชย์ แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของสุโขทัย และวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยสุโขทัย ที่อยู่ร่วมกันด้วยน้ำใจไมตรี เคารพในสิทธิเสรีภาพของกันและกัน ความมีใจบุญสุนทาน เอื้ออาทรกัน ให้ทานและรักษาศีลกันเป็นประจำ
           ในจารึกให้ข้อมูลว่า พ่อขุนรามคำแหงทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น ในปีมหาศักราช ๑๒๐๕ ซึ่งตรงกับ ปี พ.ศ.๑๘๒๖ ต่อมาในปี มหาศักราช ๑๒๑๔ (พ.ศ.๑๘๓๕) พ่อขุนรามคำแหงทรงให้ช่างนำหินทรายแป้งมาทำพระแท่นชื่อ พระแท่นมนังคศิลาบาตร ตั้งไว้ที่กลางดงตาล ในวันพระแปดค่ำ สิบห้าค่ำ จะนิมนต์พระเถระขึ้นนั่งบนพระแท่นแล้วแสดงธรรมให้ลูกจ้าวลูกขุนไพร่ฟ้าข้าไท ท่วยปั่ง ท่วยนางทั้งหลายได้สดับตรับฟัง ในวันธรรมดาพ่อขุนรามคำแหง ทรงขึ้นประทับนั่งว่าราชการงานเมือง และตัดสินคดีความที่ไพร่ฟ้าหน้าปกมาร้องทุกข์ ทรงโปรดให้แขวนกระดิ่งไว้ เพื่อให้ผู้ที่มีความทุกข์ร้อนมาสั่นกระดิ่งร้องทุกข์
           ด้านการพระพุทธศาสนา พ่อขุนรามคำแหงทรงอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายลังกาวงศ์ จากนครศรีธรรมราชมาร่วมกับภิกษุสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเดิม ผู้สืบทอดมาแต่พระโสนะเถระ และพระอุตรเถระให้มาอบรมสั่งสอนชาวสุโขทัย ปรากฏว่าพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายคามวาสี และอรัญวาสีอย่างชัดเจน มีการตั้งสมณศักดิ์เป็นปู่ครู เถระ มหาเถระ แก่พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งในทางปกครอง คนสุโขทัยในสมัยนั้น จึงทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน โดยวันธรรมดารักษาศีลห้า ในวันธรรมสวนะ หรือวันพระรักษาศีลแปด หรือศีลอุโบสถตามแต่ศรัทธา
           ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง มีงานนักขัตฤกษ์เผาเทียนเล่นไฟ อันเป็นที่มาของงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของชาวสุโขทัย มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
           ด้านการปกครอง จารึกไว้ว่ามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ทิศตะวันออกตั้งแต่สรลวงสองแคว (พิษณุโลก) เลย จากลุมบาจายสะคาไปถึงเวียงจันทน์ ทิศใต้ตั้งแต่สุพรรณบุรี ราชบุรี เลยนครศรีธรรมราชไปสุดแผ่นดินจดทะเลมหาสมุทร ทิศตะวันตกเลยเมืองฉอด ไปถึงเมืองหงสาวดีมีมหาสมุทรเป็นแดน ทิศเหนือถึงแพร่ น่าน ข้ามฝั่งโขงไปถึงเมืองหลวงพระบาง


           ศิลาจารึกวัดศรีชุม  เรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ ๒ ทำด้วยหินดินดานเป็นรูปใบเสมา กว้าง ๖๗ เซนติเมตร สูง ๒๗๕ เซนติเมตร หนา ๘ เซนติเมตร ด้านที่หนึ่งจารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย มี ๑๐๗ บรรทัด ด้านที่สองมี ๙๕ บรรทัด มีอายุประมาณ ปี พ.ศ.๑๘๘๐ - ๑๙๑๐ นายพลโท พระยาสโมสรสรรพการ เมื่อครั้งเป็นที่หลวงสโมสรพลการ พบที่อุโมงค์วัดศรีชุม เมืองเก่าสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
           สาระสำคัญของจารึกหลักนี้ สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีศรีรัตนลังกาทีปมหาสามี เป็นเจ้าได้ให้ศิษย์ของท่าน จารทำบอกเล่าให้เราให้ทราบเรื่องของคนไทยสมัยก่อนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ครองกรุงสุโขทัย ทรงเล่าไว้ว่า ท่านเกิดในนครสรลางสองแคว (พิษณุโลก) เป็นโอรสพระยาคำแหงพระราม เป็นหลานปู่พ่อขุนนาวนำถุม หรือพระยาศรีนาวนำถุม ซึ่งเสวยราชย์ในนครสองอัน อันหนึ่งชื่อ นครสุโขไท อีกอันหนึ่งชื่อ นครสรีเสชนาไล (ศรีสัชนาลัย) ภายหลังประทับอยู่ที่นครสุโขทัยแห่งเดียว ส่วนนครศรีสัชนาลัยนั้นทรงตั้งขุนยี่ คือ อุปราชปกครอง โอรสองค์โตชื่อ ขุนผาเมือง ให้ไปครองเมืองราด เมืองลุม เป็นราชบุตรเขยของผีฟ้าเจ้าเมืองศรีโสธรปุระ (พระเจ้าชัยวรมันที่แปด) และดำรงตำแหน่งยุวราชแห่งศรีโสธรปุระด้วย โอรสอีกองค์หนึ่งชื่อพระยาคำแหงพระราม (พระบิดาสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธา ฯ) ให้ครองนครสรลวงสองแคว
           เมื่อสิ้นพ่อขุนนาวนำถุมแล้ว ขอมสบาดโขลนลำพง ยึดอำนาจการปกครอง พ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนยี่ครองนครศรีสัชนาลัย จึงขึ้นไปเมืองบางยาง ได้รวบรวมพลร่วมกับพ่อขุนผาเมืองผู้เป็นสหาย โดยจัดทัพแยกกันเป็นสองทาง ขุนบางกลางหาวยกกำลังเข้ายึดศรีสัชนาลัยคืนได้แล้ว ก็นำกำลังมารวมกับกำลังของขุนผาเมืองที่เมืองบางขลัง แต่แต่งกลอุบายให้ขอมสบาดโขลนลำพงยกกำลังไปรบกับขุนบางกลางหาว แล้วขุนผาเมืองก็ยกกำลังเข้ายึดสุโขทัยได้ ขอมสบาดโขลนลำพงเสียรู้แตกกลับไป
           ขุนผาเมืองเชิญขุนบางกลางหาวเข้าเมืองสุโขทัย แล้วอภิเษกให้ครองเมืองสุโขทัย พร้อมทั้งให้นามเกียรติของตนที่ได้จากผีฟ้าเจ้าเมืองศรีโสธรปุระว่า ศรีอินทรบดินทราทิตย์ ขุนบางกลางหาวจึงมีพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
           สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธา ฯ ได้เล่าเรื่องของท่านเองตั้งแต่เยาว์จนถึงหนุ่ม ได้ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระยาคำแหงพระรามผู้เป็นบิดา ครั้งสุดท้ายรบชนะขุนจัง แล้วมองเห็นความทุกข์ความไม่เที่ยงในโลกีย์วิสัย จึงสละสมบัติออกบวชแล้วเดินธุดงค์ไปเที่ยวทุกแห่ง เข้าไปสู่อินเดียตอนใต้ แล้วไปถึงลังกาทวีป พบเห็นมหิยังคณะมหาเจดีย์ที่ประดิษฐานพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า ปรักหักพังเกิดศรัทธา จึงได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เมื่อพระองค์ได้กระทำสักการบูชาพระมหาธาตุเจดีย์ ก็เกิดปาฏิหาริย์เป็นที่ประจักษ์แก่พระองค์และชาวสิงหล พระองค์จึงได้รับการยกย่องเทิดทูนจากชาวสิงหล สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระศรีศรัทธา ฯ พระองค์ประทับอยู่ที่ลังกาเป็นเวลาพอสมควรแล้วจึงเดินทางกลับสุโขทัย และได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุพร้อมกิ่งพระศรีมหาโพธิมาด้วย เมื่อมาถึงสุโขทัยก็ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และกิ่งพระศรีมหาโพธิ ประดิษฐาน ณ นครสุโขทัย บางฉลัง ศรีสัชนาไลย เพื่อให้เป็นเมืองธรรมจึงได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ สร้างพิหารเจ้าอาวาส สร้างพระพุทธรูปอันงามพิจิตร
           ท่านได้ไปเที่ยวโปรดสัตว์ ไปพบพระมหาธาตุเจดีย์ปรักหักพังอยู่กึ่งกลางนครพระกริส จึงอธิษฐานบารมีจนพบแหล่งปูน ท่านได้นำมาก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ จากเดิมที่สูง ๙๕ วาไม้ เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วได้ความสูง ๑๐๒ วา พระมหาธาตุเจดีย์องค์นี้ขอมเรียกว่า พระธม ส่วนปูนที่เหลือท่านได้นำไปซ่อมแซมพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก


           ศิลาจารึกนครชุม  เรียกว่า จารึกหลักที่ ๓ ทำด้วยหินทรายแป้งเป็นรูปใบเสมา กว้าง ๔๗ เซนติเมตร สูง ๑๙๓ เซนติเมตร หนา ๖ เซนติเมตร จารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทยด้านที่หนึ่งมี ๗๘ บรรทัด ด้านที่สองมี ๕๘ บรรทัด สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๑๙๐๐ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพบที่วัดบรมธาตุนครชุม เมืองกำแพงเพชร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๔ ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดวชิรญาณ กองหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพ ฯ
           สาระสำคัญของจารึกหลักนี้ บอกให้ทราบในเบื้องต้นว่า พระยาลือไทยโอรสพระยาเลอไทย พระนัดดาพระยารามราช เสวยราชที่เมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ประมาณปี พ.ศ.๑๘๙๐ เมื่อเสวยราชย์แล้ว ท้าวพระยาทั้งหลายแต่งกระยาดงวาย ของฝากหมากปลามาไหว้อันยัดยัญอภิเษก เป็นท้าวเป็นพระญา ชื่อ ศรีสุริยพงศ์มหาธรรมราชาธิราช ทรงได้พระบรมสารีริกธาตุพร้อมกิ่งพระศรีมหาโพธิ จากลังกาทวีปใน ปี พ.ศ.๑๙๐๐ จึงทรงนำไปประดิษฐานในเมืองนครชุม และทรงจารึกไว้ว่า "...ผิผู้ใดได้ไหว้นบกระทำบูชาพระศรีรัตนมหาธาตุ และพระศรีมหาโพธินี้ว่าไซร้ มีผลอานิสงส์พร่ำเสมอดังได้นบตนพระเป็นเจ้าบ้างแล..."
           พระมหาธรรมราชาลิไททรงเชื่อว่าพระพุทธศาสนา จะมีอายุดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ห้าพันปี จึงทรงจารึกไว้ว่า "...ผิมีคนมาถามศาสนาพระเป็นเจ้ายังเท่าใดจักสิ้นอั้นให้แก่ว่าดังนี้ แต่ปีอันสถาปนาพระมหาธาตุนี้เมื่อหน้าได้สามพันเก้าสิบเก้าปีจึงจักสิ้นพระศาสนาพระเป็นเจ้า..." และยังได้ตรัสถึงสัทธรรมอันตรธานห้าประการ คือ ประมาณพระพุทธศาสนายุกาลได้ ๑๙๙๙ ปี พระไตรปิฎกจักหาย หาคนรู้แท้มิได้ มีคนรู้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น พระธรรมเทศนามหาชาติหาคนสวดมิได้ ชาดกมีต้นหาปลายมิได้ พระอภิธรรมนั้น พระปัฏฐานและพระยมกหายไปก่อน เมื่อพระพุทธศาสนายุกาลประมาณได้ ๒๙๙๙ ปี "...ฝูงภิกษุสงฆ์จำศีลคงสิกขาบทสี่อันยังมีสิกขาบทอันหนักหนาหามิได้เลย " เมื่อพระพุทธศาสนายุกาลประมาณได้ ๓๙๙๙ "...ฝูงชีจักทรงผ้าจีวรหามิได้เลย เท่ายังมีผ้าเหลืองน้อยหนึ่งเหน็บใบหู และรู้จักศาสนาพระเป็นเจ้าดายุ..." เมื่อพระพุทธศาสนายุกาลประมาณได้ ๔๙๙๙ ปี "...อันว่าจักรู้จักผ้าจีวรจักรู้จักสมณะน้อยหนึ่งหามิได้เลย..." เมื่อสิ้นอายุพระศาสนานั้นทรงพรรณาไว้ว่า
           "...เมื่อปีอันจักสิ้นศาสนา พระพุทธเป็นเจ้าที่สุดทั้งหลายอั้น ปีชวด เดือนหก บูรณมี วันเสาร์  วันไทยวันระรายสันวันไพสาขฤกษ์ เถิงเมื่อวันดังนั้น แต่พระธาตุทั้งหลายอันมีในแผ่นดินนี้ก็ดี ในเทพโลกก็ดี ในนาคโลกก็ดี เหาะไปในกลางหาว และไปประชุมกันในลังกาทวีป แล้วจักเหาะไปอยู่ในต้นพระศรีมหาโพธิ ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่สรรเพชญตญาณ เป็นพระพุทธแต่ก่อนอั้น จึงจักกาลไฟไหม้พระธาตุทั้งอั้นสิ้นแล เปลวไฟพลุ่งขึ้นคุงพรหมโลกศาสนาพระพุทธจักสิ้น ในวันดังกล่าวอั้นแล "


           ศิลาจารึกวัดป่าม่วง  เป็นภาษาไทยสองหลัก เป็นภาษาบาลีหนึ่งหลัก
               จารึกภาษาไทยหลักที่ ๑  เรียกว่า จารึกหลักที่ ๕ ทำด้วยหินทราย หลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมทรงกระโจม หรือทรงยอ กว้างด้านละ ๒๘ เซนติเมตรสองด้าน กว้างด้านละ ๒๙ เซนติเมตรสองด้าน สูง ๑๑๕ เซนติเมตร พระยาโบราณราชธานินทร (พร  เดชะคุปต์) พบที่วัดใหม่ (ปราสาททอง) อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๘ จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.๑๙๐๔ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
           ข้อความที่จารึกบอกให้ทราบว่าบริเวณวัดป่ามะม่วง เป็นรมณียสถานที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงปลูกมะม่วงไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๑๙๐๔ ได้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช และเป็นพัทธสีมาที่ทรงผนวชของสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช ก่อนถึงกาลทรงผนวชได้กล่าวถึงอดีตว่า เมื่อพรญาลือไท ผู้รู้พระไตรปิฎกขึ้นเสวยราชย์ ท้าวพระยาทั้งหลายอภิเษกขึ้นชื่อ ศรีสุริยพงศ์รามมหาราชาธิราช เสวยราชย์ชอบด้วยทศพิธราชธรรม ในปี พ.ศ.๑๙๐๔ ทรงอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชลังกาวงศ์ จากนครพันมาจำพรรษา ณ กรุงสุโขทัย ทรงหล่อพระพุทธรูปด้วยเนื้อทองสำริดองค์ใหญ่ ประดิษฐานด้านตะวันออกองค์มหาธาตุเจดีย์กลางเมืองสุโขทัย เมื่อออกพรรษาแล้วทรงสมาทานทศศีลเป็นดาบศ... หน้าพระพุทธรูปทอง อันประดิษฐานไว้เหนือราชมณเฑียร อาราธนาพระมหาสามีพร้อมคณะสงฆ์ขึ้นสู่ราชมณเฑียร ทรงบรรพชาเป็นสามเณร แล้วเสด็จไปทรงผนวช ณ พัทธสีมาวัดป่ามะม่วงในที่สุด
               จารึกภาษาไทยหลักที่ ๒  เรียกว่า จารึกหลักที่ ๗ ทำด้วยหินทรายแปร หลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ ๒๘ เซนติเมตรสองด้าน กว้างด้านละ ๑๒.๕ เซนติเมตรสองด้าน สูง ๑๓๒ เซนติเมตร พระยารามราชภักดี (ใหญ่  ศรลัมพ์) ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย พบที่วัดป่ามะม่วง เมืองเก่าสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๘ จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.๑๙๐๔ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
           จากรึกหลักนี้ชำรุดมาก ด้านที่หนึ่งกับด้านที่สามอ่านจับความไม่ได้ ด้านที่สองกับด้านที่สี่พออ่านได้บ้าง เป็นการจารึกเรื่องราวของการสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ในป่ามะม่วง เช่น กุฎี พิหาร สีมากระลาอุโบสถ และการทรงผนวชของสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช
               จารึกภาษาเขมร  เรียกว่า จารึกหลักที่ ๔ ทำด้วยหินแปร เป็นหลักสี่เหลี่ยมกระโจม หรือทรงยอ กว้าง ๓๐ เซนติเมตร สูง ๒๐๐ เซนติเมตร หนา ๒๙ เซนติเมตร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบที่โคกปราสาทร้างเมื่อคราวเสด็จถึงสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๖ จารึกด้วยอักษรไทย ภาษาเขมร เมื่อปี พ.ศ.๑๙๐๔ ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดวชิรญาณ ภายในหอสมุดแห่งชาติพระนคร
           ข้อความในจารึกเป็นเรื่องราวคล้ายจารึกวัดป่ามะม่วงภาษาไทยหลักที่หนึ่ง คือ พระยาลิไทยทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสามีสังฆราช จากนครพันมาสุโขทัย เพื่อทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ในการทรงผนวชของพระองค์ และเล่าเรื่องพระยาลิไทย ยกพลจากศรีสัชนาลัยมายึดสุโขทัยขึ้นเสวยราชย์ตามสิทธิอันชอบธรรม
               จากรึกภาษาบาลี  เรียกว่า จารึกหลักที่ ๖ ทำด้วยหินแปรรูปสี่เหลี่ยมทรงกระโจม หรือทรงยอ กว้างด้านละ ๓๓ เซนติเมตรสองด้าน กว้างด้านละ ๒๗ เซนติเมตรสองด้าน สูง ๑๓๐ เซนติเมตร จารึกด้วยอักษรขอมสุโขทัย ภาษาบาลีเมื่อปี พ.ศ.๑๙๐๔ พระยารามราชภักดี (ใหญ่  ศรลัมพ์) ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย พบที่วัดป่ามะม่วง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
           ข้อความที่จารึกเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสามีสังฆราช พระอุปัชฌาย์ของพระมหาธรรมราชาลิไทย มีข้อความสรรเสริญพระมหาธรรมราชา ที่ทรงผนวชด้วยพระราชศรัทธาอย่างแรงกล้า ในพระพุทธศาสนา


            ศิลาจารึกวัดอโสการาม  เรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ ๙๓ ทำด้วยหินแปร เป็นแผ่นรูปใบเสมา กว้าง ๕๔ เซนติเมตร สูง ๑๓๔ เซนติเมตร หนา ๑๕ เซนติเมตร ด้านที่หนึ่งมี ๔๗ บรรทัด จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ด้านที่สองมี ๕๑ บรรทัด จารึกด้วยอักษรขอมสุโขทัย ภาษาบาลี เมื่อปี พ.ศ.๑๙๔๒ กองโบราณคดี กรมศิลปากรพบที่วัดอโสการามเมืองเก่าสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดวชิรญาณ หอสมุดแห่งชาติพระนคร
           ข้อความในจารึกมีว่า สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์อัครราชมเหสีเทพธรณีโลกรัตน... เป็นชายาแด่สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช กอร์ปด้วยปัญจพิธกัลยาณีมีศีลพระ...


            ศิลาจารึกวัดบูรพาราม  เรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ ๒๘๖ ทำด้วยหินชนวนสีเขียว รูปใบเสมา ส่วนล่างชำรุดหักหาย มีขนาดกว้าง ๕๙ เซนติเมตร สูง ๑๔๖ เซนติเมตร หนา ๑๒ เซนติเมตร ด้านที่หนึ่งมี ๕๕ บรรทัด จารึกด้วยอักษรสุโขทัย ภาษาไทย ด้านที่สองมี ๕๖ บรรทัด จารึกด้วยอักษรขอม ภาษาบาลี เมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๕ พระครูปลัดสนธิ  จิตฺตปญฺโญ วัดศาลาครืน เขตจอมทอง กรุงเทพ ฯ ถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตน ฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ ซึ่งได้พระราชทานให้กรมศิลปากรจัดแสดงเพื่อการศึกษา ณ อาคารหอสมุดวชิรญาณ หอสมุดแห่งชาติ พระนคร
           จารึกวัดบูรพารามระบุว่า สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์อัครราชมหิดิเทพยธรณีดิลกรัตนบพิตร เป็นเจ้า ผู้เป็นบาทบริจาริการัตนชายา แด่สมเด็จพระมหาธรรมราชา กอร์ปด้วยปัญจพิธกัลยาณี มีศิลพิริยะปรีชา...
           จารึกวัดบูรพารามบอกเล่าพระราชประวัติ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระราชสามี สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์ เริ่มตั้งแต่ประสูติจากพระครรภ์ สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดา เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๙๑๑ ทรงสำเร็จการศึกษาเมื่อพระชนมพรรษาได้ ๑๖ ปี ได้เสวยราชย์เมื่อปี พ.ศ.๑๙๓๙ และเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๑ ในปี พ.ศ.๑๙๕๕ สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์ จึงทรงสร้างวัดบูรพาราม ก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
           ในจารึกหลักนี้ สมเด็จพระราชเทวี ฯ ทรงระบุสายสัมพันธ์ราชสกุล ตามลำดับพระราชอิสริยยศ คือ
               -  สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช พระราชโอรสสมเด็จพระศรีธรรมราชมาดา
               -  สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดา
               -  สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์
               -  สมเด็จพระรามราชาธิราช พระราชโอรสสมเด็จพระราชเทวี ฯ
               -  ศรีธรรมาโศกราช พระราชโอรสสมเด็จพระราชเทวี ฯ
           การสร้างวัด ก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และการทำบุญต่าง ๆ นั้น สมเด็จพระราชเทวี ฯ ทรงอุทิศแด่สมเด็จปู่พระญา พ่อออก แม่ออก สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช พระศรีธรรมราชมารดา และทรงอธิษฐานว่า ขอให้ได้เกิดเป็นผู้ชายในอนาคตกาล ขอให้ได้สดับตรับฟังธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเมตไตรย ขอพระพุทธเมตไตรยดำรัสสรรเสริญพระนางท่ามกลางพุทธบริษัท ขออย่าให้ผู้อื่นเทียมทันพระนางด้วยบุญสมภารด้วยรูป ด้วยยศ ด้วยสมบัติในทุกภพทุกชาติไป
           นอกจากศิลาจารึกหลักต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว ยังมีศิลาจารึกสำคัญ ๆ ของสุโขทัยที่ให้ความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์โบราณคดี ภาษา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของสุโขทัยในอดีตอีกมากมาย เช่น ศิลาจารึกเขาสุมนกูฎ จารึกวัดพระยืน จารึกวัดสรศักดิ์ จารึกกฎหมายลักษณะโจร จารึกปู่สบถ จารึกวัดเขากบ จารึกวัดเขมา จารึกวัดป่าแดง จารึกพระธรรมกาย จารึกพระอภิธรรม จารึกวัดตาเถรขึ้หนัง จารึกวัดกำแพงงาม จารึกวัดพระเสด็จ จารึกนายศรีโยธาราชออกบวช จารึกภาพชาดกในอุโมงค์วัดศรีชุม ๔๘ ภาพ กับจารึกอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ล้วนเป็นหลักฐานสำคัญของชาติไทย ให้รู้ว่าไทยเป็นประเทศเอกราชมีเอกลักษณ์ของตนเอง และเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นติดต่อกันมานานไม่น้อยกว่า ๗๐๐ ปีมาแล้ว

 คำอ่านหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

 ด้านที่ ๑

               พ่อกู ชื่อศรีอินทราทิตย์  แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสามผู้ญีงโสง  พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยักเล็ก เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้ สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด มาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบ ขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู  หนีญญ่ายพายจแจ๋น  กูบ่หนี  กูขี่ช้างเบกพล  กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้าง ขุนสามชนตัวชื่อมาสเมือง  แพ้  ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู ูชื่อพระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชนเมื่อชั่วพ่อกู  กูบำเรอแก่พ่อกู  กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู  กูไปท่บ้านท่เมือง ได้ช้างได้งวงได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทองกูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพ่อกู กูพร่ำบำเรอแก่พี่กู ดั่งบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี  ในน้ำมีปลา  ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใคร่จักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแล้ ล้มตายหายกว่าเหย้าเรือนพ่อเชื้อเสื้อคำมัน ช้างขอลูกเมียเยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไท ป่าหมากพลูพ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมันสิ้น ไพร่ฟ้าลูกเจ้าลูกขุน ผิแลผิดแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล้ จึ่งแล่งความแก่ขาด้วยซื้อ บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน เห็นข้าวท่านบ่ใครพีน เห็นสินท่านบ่ใครเดือด คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ช่อยเหนือเฟื้อกู้ มันบ่มีช้างบ่มีม้า บ่มีปั่วบ่มีนาง บ่มีเงือนบ่มีทอง ให้แก่มัน ช่อยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง ได้ข้าเสือก ข้าเสือ หัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่ฆ่าบ่ตี ในปากประตูมีกระดิ่งอันณื่งแขวนไว ้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกะดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้

 
 
 ด้านที่ ๒

               ยินเรียกเมือถาม สวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม สร้างป่าหมากป่าพลูทั่วเมืองนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน กลางเมืองสุโขทัยนี้ มีน้ำตระพังโพยสี ใสกินดี ... ดั่งกินน้ำโขงเมื่อแล้ง รอบเมืองสุโขทัยนี้ ตรีบูร ได้สามพันสี่ร้อยวา คนในเมืองสุโขทันนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้าท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้ญีง  ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน  ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษากรานกฐิน เดือนณื่งจิ่งแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนโนน บริพารกฐินโอยทานแล่ปีแล้ญิบล้าน ไปสูดญัติกฐินเถืงอรัญญิกพู้น เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียง กันแต่อญญิกพู้นเท้าหัวลาน ดํบงดํกลองด้วยเสียงพาดเสียงพิณ เสียงเลื้อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมืองสุโขทัยนี้ มีสี่ปากประตูหลวง เที้ยรย่อมคนเสียดกัน  เข้ามาดูท่านเผาเทียน ท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้ มีดั่งจักแตก กลางเมืองสุโขทัยนี้ มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารศ มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม มีปู่ครูนิสัยมุตก์ มีเถร มีมหาเถร เบื้องตะวันตก เมืองสุโขทัยนี้ มีอไรญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำ โอยทานแก่มหาเถร สังฆราชปราชญ์ เรียนจบปิฎกไตรหลวก กว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา ในกลางอรัญญิก มีพิหารอันณื่งมนใหญ่ สูงงามแก่กม มีพระอัฏฐารศอันณื่ง ลุกยืน เบื้องตะวันโอกเมืองสุโขทัยนี้ มีพิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่าหมากป่าพลู มีไร่ มีนา มีถิ่นถาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก มีป่าม่วงมีป่าขาม ดูงามดังแกส้

 
 
ด้านที่ ๓

               (งแต่)ง เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีตลาดปสาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมากลาง มีไร่ มีนา มีถิ่นถาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีกุฎีพิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรดีภงส มีป่าพร้าวป่าลาง มีป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขพุง ผีเทพดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอั้นบ่คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย ๑๒๑๔ ศก ปีมะโรง พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยนี้ ปลูกไม้ตาลนี้ ได้สิบสี่เข้า จึงให้ชั่งพันขดานหิน ตั้งหว่างกลางไม้ตาลนี้ วันเดือนดับ เดือนโอกแปดวัน วันเดือนเต็ม เดือนบ้างแปดวัน ฝูงปู่ครู  เถร มหาเถร ขึ้นนั่งเหนือขดานหินสูดธรรมแก่อุบาสก ฝูงท่วยจำศีล ผิใช่วันสูดธรรม พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัย ขึ้นนั่งเหนือขดานหิน ให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือเมือง ครั้นวันเดือนดับเดือนเต็ม ท่านแต่งช้างเผือกกระพัดลยาง เที้ยรย่อมทองงา... (ซ้าย) ขวา ชื่อรูจาครี พ่อขุนรามคำแหง ขึ้นขี่ไปนบพระ (เถิง) อรัญญิกแล้วเข้ามา จารึกอันณื่ง มีในเมืองชเลียง สถาบกไว้ ด้วยพระศรีรัตนธาตุ จารึกอันณื่ง มีในถ้ำรัตนธาร ในกลวงป่าตาลนี้ มีศาลาสองอัน อันณื่งชื่อศาลาพระมาส อันณื่งชื่อพุทธศานา ขดานหินนี้ ชื่อมนังศิลาบาตร สถาบกไว้นี่ จึ่งทั้งหลายเห็น

 
 
ด้านที่ ๔

               พ่อขุนพระรามคำแหง ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นขุนในเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัย ทั้งมากกาวลาว แลไทยเมืองใต้หล้าฟ้าฎ... ไทยชาวอูชาวของมาออก ๑๒๐๗ ศกปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออกทั้งหลายเห็น กระทำบูชาบำเรอแก่พระธาตุได้เดือนหกวัน จึ่งเอาลงฝังในกลางเมืองศรีสัชชนาลัยก่อพระเจดีย์เหนือหกเข้าจึ่งแล้ว ตั้งเวียงผาล้อมพระมหาธาตุ สามเข้าจึ่งแล้ว เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี ๑๒๐๕  ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหง หาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้ พ่อขุนรามคำแหงนั้นหา เป็นท้าวเป็นพระยาแก่ไทยทั้งหลาย หาเป็นครูอาจารย์สั่งสอนไทยทั้งหลายให้รู้บุญรู้ธรรมแท้ แต่คนอันมีในเมืองไทยด้วย รู้ด้วยหลวก ด้วยแกล้วด้วยหาญ ด้วยแคะ ด้วยแรง หาคนจักเสมอมิได้ อาจปราบฝูงข้าเสีก มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออก รอด สรลวง สองแคว ลุมบาจาย สคา เท้าฝั่งของเถีงเวียงจันทน์เวียงคำเป็นที่แล้ว เบื้(อ)งหัวนอน รอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพรชบุรี ศรีธรรมราช  ฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตก รอดเมืองฉอด เมือง...น  หงสาวดี สมุทรหาเป็นแดน   เบื้องตีนนอน รอดเมืองแพร่ เมืองม่าน เมืองน... เมืองพลัว พ้นฝั่งของเมืองชวา เป็นที่แล้ว ปลูกเลี้ยง ฝูงลูกบ้านลูกเมืองนั้น ชอบด้วยธรรมทุกคน
 
 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
จารึกสุโขไท หลักที่ ๑

 

 

 

 

 


 
 
 
 
 
 
 
 
 


อักขรวิธีดั้งเดิม

ศิลาจารึก ด้านที่ ๑

พ่อกูชื่สรีอินทราทีตย แม่กูชื่นางเสือง พี่กูชื่บานเมือง
ตูมีพี่น๋องท๋องดยวห๋าคน ผู๋ชายสาม ผู๋หญิงโสง พี่เผือ
ผู๋อ้ายตายจากเผือตยมแต่ญงงเลก เมื่อกูขึ๋นใหญ่ได๋
สิบเก๋าเข๋า ขุนสามชนเจ๋าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบ
ขุนสามชนหววซ๋าย ขุนสามชนขับมาหววขวา ขุนสาม
ชนเกลื่อนเข๋า ไพร่ฟ๋าหน๋าใสพ่อกู หนีญญ่ายพายจแจ้
น กูบ่หนี กูขี่ช๋างเบกพล กูขับเข๋าก่อนพ่อกู กูต่อ
ช๋างด๋วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช๋าง ขุนสามชนตววชื่
มาสเมือง แพ๋ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึ่งขึ๋นชื่กู
ชื่พระรามคํแหง เพื่อกูพุ่งช๋างขุนสามชน เมื่-
อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได๋ตวว
เนื้อตววปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได๋หมากส๋มหมากหวา-
น อนนใดอนนกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตี-
หนังวงงช๋างได๋ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่บ๋านท่เมื-
อง ได๋ช๋างได๋งวง ได๋ป่ววได๋นางได๋เงือนได๋ทอง กูเอา
มาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพี่กู กูพร่ำบํเรอแก่พี่
กู ฎงงบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึงได๋เมืองแก่กูท๋งง
(ก)ลํ เมื่อช่ววพ่อขุนรามคํแหง เมืองสุโขไทนี๋ดี ในน๋ำ
มีปลา ในนามีข๋าว เจ๋าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ ลูท่างเพื่-
อนจูงวววไปค๋า ขี่ม๋าไปขาย ใครจกกใคร่ค๋าช๋างค๋า ใคร
จกกใคร่ค๋าม๋าค๋า ใครจกกใคร่ค๋าเงือนค๋าทองค๋า ไพร่ฟ๋าหน๋าใส
ลูกเจ๋าลูกขุนผู๋ใดแล๋ ล้มตายหายกว่าเหย้าเรือนพ่อเชื้อ
เสื้อคำมนน ช๋างขอลูกเมียยียเข๋า ไพร่ฟ๋าข๋าไท ป่า
หมากป่าพลูพ่อเชื้อมนน ไว๋แก่ลูกมนนสิ้น ไพร่ฟ๋า
ลูกเจ๋าลูกขุน ผิ๋แล๋ผิดแผกแสกว้างกนน สวนดู
แท้แล จึ่งแล่งความแก่ขาด๋วยซื่ บ่เข๋าผู๋ลกกนกกมกก
ผู๋ซ่อน เหนข๋าวท่านบ่ใคร่พีน เหนสินท่านบ่ใคร่เดือ-
ด คนใดขี่ช๋างมาหา พาเมืองมาสู่ ช่อยเหนือเฟื้อ
กู้ มนนบ่มีช๋างบ่มีม๋า บ่มีป่ววบ่มีนาง บ่มีเงือ-
นบ่มีทอง ให๋แก่มนน ช่อยมนนตวงเปนบ๋านเปนเมือ-
ง ได๋ข๋าเสือกข๋าเสือ หววพุ่งหววรบก่ดี บ่ข๋าบ่ตี ใน
ปากปตูมีกดิ่งอนนณึ่งแขวนไว๋ห๋นน ไพร่ฟ๋าหน๋า
ปกกลางบ๋านกลางเมือง มีถ้อยมีความ เจบท๋อง
ข๋องใจ มนนจกกกล่าวเถิงเจ๋าเถิงขุนบ่ไร้ ไปล่นนก-
ดิ่งอนนท่านแขวนไว๋ พ่อขุนรามคํแหงเจ๋าเมืองได๋
 
 
 
 
 
 
 

ศิลาจารึก ด้านที่ ๒

ยินรยกเมือถาม สวนความแก่มนนด๋วยซื่ ไพร่ใน
เมืองสุโขไทนี๋จึ่งชม สร๋างป่าหมากป่าพลูท่ววเมือ-
งนี๋ทุกแห่ง ป่าพร๋าวก่หลายในเมืองนี๋ ป่าลาง
ก่หลายในเมืองนี๋ หมากม่วงก่หลายในเมืองนี๋
หมากขามก่หลายในเมืองนี๋ ใครสร๋างได๋ไว๋แก่มนน
กลางเมืองสุโขมัยนี๋ มีน๋ำตระพงงโพยสีใสกินดี
?ฎ่งงกินน๋ำโขงเมื่อแล๋ง รอบเมืองสุโขไทนี๋ตรี-
บูรได๋สามพนนสี่ร๋อยวา คนในเมืองสุโขไทนี๋
มกกทาน มกกทรงศีล มกกโอยทาน พ่อขุนรามคํแหง
เจ๋าเมืองสุโขไทนี๋ ท๋งงชาวแม่ชาวเจ๋า ท่วยป่ววท่วยนา-
ง ลูกเจ๋าลูกขุนท๋งงสิ๋นท๋งงหลาย ท๋งงผู๋ชายผู๋ญีง
ฝูงท่วยมีสรธาในพระพุทธศาสนทรงสีลเมื่อพรน
ษาทุกคน เมื่อโอกพรนษากรานกถิน เดือนณึ่งจิ่-
งแล๋ว เมื่อกรานกถินมีพนมเบี๋ย มีพนมหมาก มี
พนมดอกไม๋ มีหมอนน่งงหมอนโนน บริพารกถินโอ-
ยทานแล๋ปีแล๋ญิบล๋านไปสูตญัติกฐินเถืงอ-
รญญิกพู๋น เมื่อจกกเข๋ามาวยงรยงแต่อร-
ญญิกพู๋นเท่าหววลานดดํบงคํด๋วยสยงพาดสยงพี-
นสยงเลื๋อนสยงขับ ใครจกกมกกเหล๋นเหล๋น ใครจก-
กมกกหวว หววใครจกกมกกเลื๋อน เลื๋อน เมืองสุ-
โขไทนี๋มีสี่ปากปตูหลวง ท๋ยนญ่อมคนเสียดกนน
เข๋ามาดูท่านเผาทยนท่านเหล๋นไฟ เมืองสุโขไทนี๋
มีฎ่งงจกกแตก กลางเมืองสุโขไทนี๋มีพิหาร มี
พระพุทธรูปทอง มีพระอฏฐารศ มีพระพุทธรูป
มีพระพุทธรูปอนนใหญ่ มีพระพุทธรูปอนน
ราม มีพิหารอนนใหญ่มีพิหารอนนราม มีปู่
ครูนิไสยมุตก์ มีเถร มีมหาเถรเบื๋องตะวนนตก
เมืองสุโขไทนี๋มีอไรญิก พ่อขุนรามคํํแหงกทำ
โอยทานแก่มหาเถร สงงฆราชปราชญ์รยนจบปิดกไตร
หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี๋ ทุกคนลุกแต่เมืองสรีธ-
รมมราชมา ในกลางอรญญิก มีพิหารอนนณึ่งมน
ใหญ่ สูงงามแก่กํ มีพระอฏฐารศอนนณึ่งลุกยื-
น เบื๋องตะวนนโอกเมืองสุโขไทนี๋มีพิหารมีปู่ครู
มีทเลหลวงมีป่าหมากป่าพลูมีไร่มีนามีถิ่นถ๋าน
มีบ๋านใหญ่บ๋านเลก มีป่าม่วงมีป่าขาม ดูงามฎงงแกล้
 

 
 
 
 
 


ศิลาจารึก ด้านที่ ๓

(งแฏ่)ง เบื๋องตีนนอนเมืองสุโขไทนี๋มีตลาดป-
สาน มีพระอจน มีปราสาท มีป่าหมาก
พร๋าว ป่าหมากลาง มีไร่มีนา มีถิ่นถ๋าน มีบ๋านใหญ่บ๋านเล็ก เบื๋-
องหววนอนเมืองสุโขไทนี๋ มีกุดีพิหารปู่ครู
อยู่ มีสรีดภงส มีป่าพร๋าวป่าลาง มีป่าม่วงป่าขาม
มีน๋ำโคกมีพระขพุง ผีเทพดาในเขาอนนน๋นน
เปนใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี๋ ขุนผู๋ใดถืเมือง
สุโขไทนี๋แล๋ ไหว๋ดีพลีถูก เมืองนี๋ท่ยง
เมืองนี๋ดี ผิไหว๋บ่ดีพลีบ่ถูก ผีในเขาอนนบ่
คุ๋มบ่เกรง เมืองนี๋หาย ๑๒๑๔ สก ปีมโรง พ่อขุนรามคํ-
แหงเจ๋าเมืองศรีสชชนาไลสุโขไทปลูกไม๋ตา-
นนี๋ได๋สิบสี่เข๋าจึ่งให๋ช่างฟนนขดารหินต๋งงหว่าง
กลางไม๋ตานนี๋ วนนเดือนดบบเดือนโอกแปดวนน วน-
นเดือนเตม เดือนบ๋างแปดวนน ฝูงปู่ครู เถร มหาเถ-
ร ขึ๋นณ่งงเหนือขดานหีนสูดธรมมแก่อูบาสกฝู-
งท่วยจำสีล ผิใช่วนนสูดดธรมมพ่อขุนรามคํํแหง
เจ๋าเมืองศรีสชชนาไลสุโขไทขึ๋นณ่งงเหนือขดา-
รหีน ให๋ฝูงลูกเจ๋าขุน ฝูงท่วยถืบ๋านถื
เมือง คร๋นนวนนเดือนดบบเดือนเตม ท่านแฏ่งช๋างเผื-
อกกรพดดลยางท๋ยนญ่อมทองงา...ขวา ชื่รูจาครี
พ่อขุนรามคํแหงขึ๋นขี่ไปนบพระ....(เถิง)อรญญิกแล๋-
วเข๋ามา, จารึกอนนณึ่ง มีในเมืองชลยงสถาบกไว๋
ด๋วยพระศรีรตนธาตุ จารึกอนนณึ่งมีในถ๋ำชื่ถ๋ำ
พระราม อยู่ฝ่งงน๋ำสํพาย จารึกอนนณึ่งมีในถ๋ำ
รตนธารในกลวงป่าตานนี๋ มีษาลาสองอนน อนนณึ่งชื่
ษาลาพระมาส อนนณึ่งชื่พุทธษาลา ขดารหีนนี๋ชื่ม-
นงงษีลาบาตร สถาบกไว๋หนี๋(จึ่ง)ทงงหลายเหน

 
 

 
 
 
 
 
 
 
 

ศิลาจารึก ด้านที่ ๔

พ่อขุนรามคํแหงลูกพ่อขุนษรีอินทราทีตยเป-
นขุนในเมืองสรีสชชนาไลสุโขไท ทงงมากาวลาว
แลเมืองไทเมืองใต๋หล๋าฟ๋าฏ?ไทชาวอูชาวของมาออ-
ก ๑๒๐๗ สก ปีกุรให๋ขุด(เอา)พระธาตุออกทงงหลาย
เหนกทำบูชาบํเรอแก่พระธาตุได๋เดือนหกวนน จึ่-
งเอาลงฝงงในกลางเมืองสรีสชชนาลัยก่พระเจ-
ดีเหนือหกเข๋าจึ่งแล๋วต๋งงวยงล้อมพระม-
หาธาตุสามเข๋าจึ่งแล๋ว เมื่อก่อนลายสืนี๋บ่
มี ๑๒๐๕ สกปีมะแม พ่อขุนรามคํแหงหาใคร่ใจ
ในใจ แลใส่ลายสืไทนี้ลายสืนี้จึ่งมีเพื่-
อขุนผู๋น๋นนใส่ไว๋ พ่อขุนรามคํแหงน๋นนหา
เปนท๋าวเปนพรญาแก่ไททงงหลายหาเปน
ครูอาจารยส่งงสอนไททงงหลายให๋รู๋
บุนรู๋ธรมมแท๋แต่คนอนนมีในเมืองไทด๋วย
รู๋ด๋วยหลวก ด๋วยแกล๋วด๋วยหาน ด๋วยแคะ
ด๋วยแรง หาคนจกกเสมอมิได๋ อาจปราบฝูงข๋า-
เสิก มีเมืองกว๋างช๋างหลาย ปราบเบื้องตวนนอ-
อกรอดสรลวง สองแคว ลมบาจาย สคาเท๋าฝ่งงข-
องเถีงวยงจนนวยงคำเปนที่แล๋ว เบื๋องหวว
นอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรณณภู-
มิ ราชบูรี เพช(บู)รี ศรีธรมมราช ฝ่งงทเล
สมุทรเปนที่แล๋ว เบื๋องตวนนตกรอดเมือ-
งฉอด เมือง?น หงศาพดี สมุทรหาเป-
นแดน, เบื๋องตีนนอน รอดเมืองแพร่ เมื-
องม่าน เมืองน?เมืองพลววพ้นฝ่งงของ
เมืองชวาเปนที่แล๋ว , ปลูกล๋ยงฝูงลูกบ๋า-
นลูกเมืองน๋นน ชอบด๋วยธรมมทุกคน

 


--------------------------------------------------------------------------------


อักขรวิธีำปริวรรต


ศิลาจารึก ด้านที่ ๑

พ่อกูชื่สรีอินทราทีตย แม่กูชื่นางเสือง พี่กูชื่บานเมือง
ตูมีพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงโสง พี่เผือ
ผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ญังเลก เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้
สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบ
ขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสาม
ชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพายจแจ้-
น กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อ
ช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้าง ขุนสามชนตัวชื่
มาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึ่งขึ้นชื่กู
ชื่พระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน เมื่-
อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัว
เนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวา-
น อันใดอันกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตี-
หนังวงงช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่บ้านท่เมื-
อง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นางได้เงือนได้ทอง กูเอา
มาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพี่กู กูพร่ำบำเรอแก่พี่
กู ฎั่งบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึงได้เมืองแก่กูทั้ง
(ก)ลม เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขไทนี้ดี ในน้ำ
มีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ ลูท่างเพื่-
อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใคร
จักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส
ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแล้ ล้มตายหายกว่าเหย้าเรือนพ่อเชื้อ
เสื้อคำมัน ช้างขอลูกเมียเยียเข้า ไพร่ฟ้าข้าไท ป่า
หมากป่าพลูพ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมันสิ้น ไพร่ฟ้า
ลูกเจ้าลูกขุน ผิแล้ผิดแผกแสกว้างกัน สวนดู
แท้แล จึ่งแล่งความแก่ขาด้วยซื่อ บ่เข้าผู้ลักนักมัก
ผู้ซ่อน เหนข้าวท่านบ่ใคร่พีน เหนสินท่านบ่ใคร่เดือ-
ด คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ ช่อยเหนือเฟื้อ
กู้ มันบ่มีช้างบ่มีม้า บ่มีปั่วบ่มีนาง บ่มีเงือ-
นบ่มีทอง ให้แก่มัน ช่อยมันตวงเปนบ้านเปนเมือ-
ง ได้ข้าเสือกข้าเสือ หัวพุ่งหัวรบก่ดี บ่ข้าบ่ตี ใน
ปากปตูมีกดิ่งอันณึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้า
ปกกลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความ เจบท้อง
ข้องใจ มันจักกล่าวเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไร้ ไปลั่นก-
ดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำํแหงเจ้าเมืองได้


 

ศิลาจารึก ด้านที่ ๒

ยินเรียกเมือถาม สวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ใน
เมืองสุโขไทนี้จึ่งชม สร้างป่าหมากป่าพลูทั่วเมือ-
งนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก่หลายในเมืองนี้ ป่าลาง
ก่หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก่หลายในเมืองนี้
หมากขามก่หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน
กลางเมืองสุโขมัยนี้ มีน้ำตระพังโพยสีใสกินดี
?ฎั่งกินน้ำโขงเมื่อแล้ง รอบเมืองสุโขไทนี้ตรี-
บูรได้สามพันสี่ร้อยวา คนในเมืองสุโขไทนี้
มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหง
เจ้าเมืองสุโขไทนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนา-
ง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้ญีง
ฝูงท่วยมีสรธาในพระพุทธศาสนทรงสีลเมื่อพรร
ษาทุกคน เมื่อโอกพรรษากรานกถิน เดือนณึ่งจิ่-
งแล้ว เมื่อกรานกถินมีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มี
พนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนโนน บริพารกถินโอ-
ยทานแล้ปีแล้ญิบล้านไปสูตญัติกฐินเถืงอ-
รญญิกพู้น เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียงแต่อร-
ญญิกพู้นเท่าหัวลานดํบงคํด้วยเสียงพาดเสียงพี-
นเสียงเลื้อนเสียงขับ ใครจักมักเหล้นเหล้น ใครจก-
กมักหัว หัวใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมืองสุ-
โขไทนี้มีสี่ปากปตูหลวง เที้ยนญ่อมคนเสียดกัน
เข้ามาดูท่านเผาเทียนท่านเหล้นไฟ เมืองสุโขไทนี้
มีฎั่งจักแตก กลางเมืองสุโขไทนี้มีพิหาร มี
พระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารศ มีพระพุทธรูป
มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอัน
ราม มีพิหารอันใหญ่มีพิหารอันราม มีปู่
ครูนิสัยมุตก์ มีเถร มีมหาเถรเบื้องตะวันตก
เมืองสุโขไทนี้มีอไรญิก พ่อขุนรามคำแหงกทำ
โอยทานแก่มหาเถร สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิดกไตร
หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองสรีธ-
รรมราชมา ในกลางอรัญญิก มีพิหารอันณึ่งมน
ใหญ่ สูงงามแก่กํ มีพระอฏฐารศอันณึ่งลุกยื-
น เบื้องตะวันโอกเมืองสุโขไทนี้มีพิหารมีปู่ครู
มีทเลหลวงมีป่าหมากป่าพลูมีไร่มีนามีถิ่นถ้าน
มีบ้านใหญ่บ้านเลก มีป่าม่วงมีป่าขาม ดูงามฎั่งแกล้


 

ศิลาจารึก ด้านที่ ๓

(งแฏ่)ง เบื้องตีนนอนเมืองสุโขไทนี้มีตลาดป-
สาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมาก
พร้าว ป่าหมากลาง มีไร่มีนา มีถิ่นถ้าน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก เบื้-
องหัวนอนเมืองสุโขไทนี้ มีกุฎีพิหารปู่ครู
อยู่ มีสรีดภงส(ศรีตระพังสระ???) มีป่าพร้าวป่าลาง มีป่าม่วงป่าขาม
มีน้ำโคกมีพระขพุง ผีเทพดาในเขาอันนั้น
เปนใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถืเมือง
สุโขไทนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง
เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดีพลีบ่ถูก ผีในเขาอันบ่
คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย ๑๒๑๔ สก ปีมโรง พ่อขุนรามคำ-
แหงเจ้าเมืองศรีสัชนาไลสุโขไทปลูกไม้ตา-
นนี้ได้สิบสี่เข้าจึ่งให้ช่างฟันขดารหินตั้งหว่าง
กลางไม้ตานนี้ วันเดือนดับเดือนโอกแปดวัน วั-
นเดือนเตม เดือนบ้างแปดวัน ฝูงปู่ครู เถร มหาเถ-
ร ขึ้นณั่งเหนือขดานหีนสูดธรรมแก่อูบาสกฝู-
งท่วยจำสีล ผิใช่วันสูดดธรรมพ่อขุนรามคำแหง
เจ้าเมืองศรีสัชนาไลสุโขไทขึ้นณั่งเหนือขดา-
รหีน ให้ฝูงลูกเจ้าขุน ฝูงท่วยถืบ้านถื
เมือง ครั้นวันเดือนดับเดือนเตม ท่านแฏ่งช้างเผื-
อกกรพัดลยางเที้ยนญ่อมทองงา...ขวา ชื่รูจาครี
พ่อขุนรามคำแหงขึ้นขี่ไปนบพระ....(เถิง)อรัญญิกแล้-
วเข้ามา, จารึกอันณึ่ง มีในเมืองเชลียงสถาบกไว้
ด้วยพระศรีรตนธาตุ จารึกอันณึ่งมีในถ้ำชื่ถ้ำ
พระราม อยู่ฝั่งน้ำสํพาย จารึกอันณึ่งมีในถ้ำ
รตนธารในกลวงป่าตานนี้ มีษาลาสองอัน อันณึ่งชื่
ษาลาพระมาส อันณึ่งชื่พุทธษาลา ขดารหีนนี้ชื่ม-
นังษีลาบาตร สถาบกไว้หนี้(จึ่ง)ทังหลายเหน


 

ศิลาจารึก ด้านที่ ๔

พ่อขุนรามคำแหงลูกพ่อขุนษรีอินทราทีตยเป-
นขุนในเมืองสรีสัชนาไลสุโขไท ทังมากาวลาว
แลเมืองไทเมืองใต้หล้าฟ้าฏ?ไทชาวอูชาวของมาออ-
ก ๑๒๐๗ สก ปีกุรให้ขุด(เอา)พระธาตุออกทังหลาย
เหน กทำบูชาบำเรอแก่พระธาตุได้เดือนหกวัน จึ่-
งเอาลงฝังในกลางเมืองสรีสัชนาลัยก่พระเจ-
ดีเหนือหกเข้าจึ่งแล้วตั้งเวียงล้อมพระม-
หาธาตุสามเข้าจึ่งแล้ว เมื่อก่อนลายสือนี้บ่
มี ๑๒๐๕ สกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจ
ในใจ แลใส่ลายสืไทนี้ลายสืนี้จึ่งมีเพื่-
อขุนผู้นั้นใส่ไว้ พ่อขุนรามคำแหงนั้นหา
เปนท้าวเปนพรญาแก่ไททังหลายหาเปน
ครูอาจารยสั่งสอนไททังหลายให้รู้
บุนรู้ธรรมแท้แต่คนอันมีในเมืองไทด้วย
รู้ด้วยหลวก ด้วยแกล้วด้วยหาน ด้วยแคะ
ด้วยแรง หาคนจักเสมอมิได้ อาจปราบฝูงข้า-
เสิก มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตวันอ-
อกรอดสรลวง สองแคว ลมบาจาย สคาเท้าฝั่งข-
องเถีงเวียงจันเวียงคำเปนที่แล้ว เบื้องหัว
นอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรณณภู-
มิ ราชบูรี เพช(บู)รี ศรีธรรมราช ฝั่งทเล
สมุทรเปนที่แล้ว เบื้องตวันตกรอดเมือ-
งฉอด เมือง?น หงศาพดี สมุทรหาเป-
นแดน, เบื้องตีนนอน รอดเมืองแพร่ เมื-
องม่าน เมืองน?เมืองพลัวพ้นฝั่งของ
เมืองชวาเปนที่แล้ว , ปลูกเลี้ยงฝูงลูกบ้า-
นลูกเมืองนั้น ชอบด้วยธรรมทุกคน

 

--------------------------------------------------------------------------------





รูปคำปัจจุบัน


         พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูมีพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือตั้งแต่ยังเล็ก

        เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพายจะแจ้น กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้าง ขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึ่งขึ้นชื่อกูชื่อพระรามคำแหง เพราะกูพุ่งช้างขุนสามชน

           เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดอันกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่บ้านท่เมือง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นางได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพี่กู กูพร่ำบำเรอแก่พี่กู ดั่งบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึงได้เมืองแก่กูทั้ง(ก)ลม

            เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า

ไพร่ฟ้าหน้าใสลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแล้ ล้มตายหายกว่าเหย้าเรือนพ่อเชื้อเสื้อคำมัน ช้างขอลูกเมียเยียเข้า ไพร่ฟ้าข้าไท ป่าหมากป่าพลูพ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมันสิ้น

          ไพร่ฟ้าลูกเจ้าลูกขุน ผิแล้ผิดแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล จึ่งแล่งความแก่เขาด้วยซื่อ บ่เข้าผู้ลักนักมักผู้ซ่อน เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พีน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ ช่อยเหนือเฟื้อกู้ มันบ่มีช้างบ่มีม้า บ่มีปั่วบ่มีนาง บ่มีเงินบ่มีทอง ให้แก่มัน ช่อยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง ได้ข้าเสือกข้าเสือ หัวพุ่งหัวรบก่ดี บ่ข้าบ่ตี

            ในปากประตูมีกดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ ยินเรียกเมือถาม สวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม

            สร้างป่าหมากป่าพลูทั่วเมืองนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน

            กลางเมืองสุโขทััยนี้ มีน้ำตระพังโพยสีใสกินดี?ดั่งกินน้ำโขงเมื่อแล้ง รอบเมืองสุโขทัยนี้ตรีบูรได้สามพันสี่ร้อยวา

           คนในเมืองสุโขทัยนี้มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้ญีงฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษากรานกฐิน เดือนหนึ่งจึงแล้ว เมื่อกรานกฐินมีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนโนน บริพารกถินโอยทานแล้ปีแล้ญิบล้าน ไปสูตญัติกฐินถึงอรัญญิกพู้น เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียงแต่อรัญญิกพู้น เท่าหัวลานดํบงคํด้วยเสียงพาดเสียงพิณเสียงเลื้อนเสียงขับ ใครจักมักเหล้นเหล้น ใครจักมักหัว หัวใครจักมักเลื้อน เลื้อน

         เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากประตูหลวง เที้ยนย่อมคนเสียดกันเข้ามาดูท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดั่งจักแตก กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารศ มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพิหารอันใหญ่มีพิหารอันราม มีปู่ครูนิสัยมุตก์ มีเถร มีมหาเถรเบื้องตะวันตก

         เมืองสุโขทัยนี้มีอไรญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถร สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตรหลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา ในกลางอรัญญิก มีพิหารอันหนึ่งงมนใหญ่ สูงงามแก่กม มีพระอัฏฐารศอันหนึ่งลุกยืน เบื้องตะวันออกเมืองสุโขทัยนี้มีพิหารมีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่าหมากป่าพลู มีไร่มีนามีถิ่นถ้าน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก มีป่าม่วงมีป่าขาม ดูงามดั่งแกล้ (งแต่)ง

           เบื้องตีนนอนเมืองสุโขไทนี้มีตลาดปสาน มีพระอัจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมากลาง มีไร่มีนา มีถิ่นถ้าน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก เบื้องหัวนอนเมืองสุโขไทนี้ มีกุฎีพิหารปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส(ศรีตระพังสระ???) มีป่าพร้าวป่าลาง มีป่าม่วงป่าขาม มีน้ำโคกมีพระขพุง ผีเทพดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยงเมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดีพลีบ่ถูก ผีในเขาอันบ่คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย

          ๑๒๑๔ ศก ปีมะโรง พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยปลูกไม้ตาลนี้ได้สิบสี่เข้า จึ่งให้ช่างฟันขดารหินตั้งหว่างกลางไม้ตาลนี้ วันเดือนดับเดือนออกแปดวัน วันเดือนเต็ม เดือนบ้างแปดวัน ฝูงปู่ครู เถร มหาเถร ขึ้นนั่งเหนือขดานหินสูตธรรมแก่อูบาสกฝูงท่วยจำสีล ผิใช่วันสูตรธรรมพ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยขึ้นนั่งเหนือขดารหิน ให้ฝูงลูกเจ้าขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือเมือง ครั้นวันเดือนดับเดือนเต็ม ท่านแต่งช้างเผือกกระพัดลยางเที้ยนย่อมทองงา...ขวา ชื่อรูจาครี พ่อขุนรามคำแหงขึ้นขี่ไปนบพระ....(เถิง)อรัญญิกแล้วเข้ามา,

         จารึกอันหนึ่งมีในเมืองเชลียงสถาบกไว้ด้วยพระศรีรัตนธาตุ จารึกอันหนึ่งมีในถ้ำชื่อถ้ำพระราม อยู่ฝั่งน้ำสํพาย จารึกอันหนึ่งมีในถ้ำรัตนธารในกลวงป่าตาลนี้ มีศาลาสองอัน อันหนึ่งชื่อศาลาพระมาส อันณึ่งชื่อพุทธศาลา ขดารหินนี้ชื่อมนังศิลาบาตร สถาบกไว้หนี้(จึ่ง)ทังหลายเห็น

           พ่อขุนรามคำแหงลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นขุนในเมืองสรีสัชนาลัยสุโขทัย ทั้งมากาวลาวแลเมืองไทเมืองใต้หล้าฟ้าฏ?ไทชาวอูชาวของมาออก

         ๑๒๐๗ สก ปีกุน ให้ขุด(เอา)พระธาตุออกทั้งหลายเห็น กระทำบูชาบำเรอแก่พระธาตุได้เดือนหกวัน จึ่งเอาลงฝังในกลางเมืองสรีสัชนาลัย ก่อพระเจดีย์เหนือหกเข้าจึ่งแล้ว ตั้งเวียงล้อมพระมหาธาตุสามเข้าจึ่งแล้ว

           เมื่อก่อนลายสือนี้บ่มี ๑๒๐๕ สกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสืไทนี้ลายสือนี้จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้ พ่อขุนรามคำแหงนั้นหาเป็นท้าวเป็นพระญาแก่ไททังหลาย หาเป็นครูอาจารยสั่งสอนไททังหลายให้รู้บุญรู้ธรรมแท้แต่คนอันมีในเมืองไทด้วยรู้ด้วยหลวก ด้วยแกล้วด้วยหาญ ด้วยแคะด้วยแรง หาคนจักเสมอมิได้

              อาจปราบฝูงข้าเศิก มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออกรอดสรลวง สองแคว ลมบาจาย สคาเท้าฝั่งของเถีงเวียงจันทน์เวียงคำเป็นที่แล้ว เบื้องหัวนอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรณณภูมิ ราชบูรี เพช(บู)รี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตกรอดเมืองฉอด เมือง?น หงษาวดี สมุทรหาเป็นแดน, เบื้องตีนนอน รอดเมืองแพร่ เมืองม่าน เมืองน?เมืองพลัวพ้นฝั่งของ เมืองชวาเป็นที่แล้ว , ปลูกเลี้ยงฝูงลูกบ้านลูกเมืองนั้น ชอบด้วยธรรมทุกคน

 
 


คำกราบบังคมทูลประกาศเกียรติคุณ

นายฉ่ำ ทองคำวรรณ
ผู้ที่คณะกรรมการมหาวิทยาลัยศิลปากร
มีมติอนุมัติปริญญาศิลปดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
ของ ฯพณฯ จอมพล ถนอม กิตติขจร
นายกคณะกรรมการมหาวิทยาลัยศิลปากร
ในงานพิธีพระราชทานปริญญาและอนุปริญญา
วันศุกร์ ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๑
ณ ท้องพระโรงวังท่าพระ

 

              นายฉ่ำ ทองคำวรรณ ได้ศึกษาภาษาเขมรในสำนักวัดนรา จังหวัดพระตะบอง ได๋บรรพชาเป็นสามเณรศึกษาภาษาบาลี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๕ แล้วจึงได้เข้ามาเรียนภาษาบาลีต่อที่วัดโมลีโลก จังหวัดธนบุรี แล้วย้ายมาประจำพรรษาที่วัดมหาธาตุ จังหวัดพระนคร ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๑ ในปี พ.ศ.๒๔๖๔ นายฉ่ำ ทองคำวรรณได้ลาสิกขาบท แล้วอาศัยออยู่บ้านศาสตราจารย ์ยอร์จ เซเดส ท่านศาสาตราจารย์ได้พาไปฝากทำงานกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพในหอพระสมุดแห่งชาติ ใน ๙ ปีแรก นายฉ่ำ ทองคำวรรณ ได้ทำงานเกี่ยวกับจดหมายเหตุ เขมร-ไทย จนกระทั่งใน พ.ศ.๒๔๗๓ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ จะกลับประเทศฝรั่งเศส กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทรงมีรับสั่งให้ทราบทั่งกันว่าเสมียนพนักงานของเราใครมีความรู้อะไรกันบ้าง ให้ไปเขียนความรู้นั้นถวาย นายฉ่ำ ทองคำวรรณ เขียนถวายว่า มีความรู้ในด้านอักษรศาสตร์คือ อ่านหนังสือเขมร มอญ พม่า ลาว สิงหล และ เทวนาครี ออก และมีความรู้ในภาษาเขมร ไทย ลาว บาลี สันสกฤต อังกฤษ ฝรั่งเศส สมเด็จพระเจ๋าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ทรงโปรดและตรัสว่า คนนี้อาจแทน ยอร์ช เซเดส์ได้ แล้วก็ทรงรับสั่งให้ทำงานในด้านศิลาจารึกตั้งแต่นั้นมา

             นายฉ่ำ ทองคำวรรณ ได้เป็นกรรมการชำระปทานุกรม ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ และได้เป็นอาจารย์สอนภาษาเขมรกับอ่านจารึกในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๒ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ นอกจากนั้น นายฉ่ำ ทองคำวรรณ ยังได้เป็นอาจารย์สอนภาษาเขมรและอ่านจารึกที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร มาตั้งแต่เริ่มตั้งคณะเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้

            ในด้านแปลและอ่านจารึก นายฉ่ำ ทองคำวรรณ ได้อ่านและแปลประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๓ หลักภาษาเขมร สันนิษฐานเทียบการเขียนอักษรไทยกับอักษรขอมในสมัยพ่อขุนรามคำแหง อักขรวิธีของพ่อขุนรามคำแหง อายตนิบาตภาษาเขมร เทียบภาษาไทยแบบเทียบศักราชต่าง ๆ นอกจากนี้นายฉ่ำ ทองคำวรรณ ยังเป็นกรรมการพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและโบราณคดี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นต้นมาอีกด้วย
            ด้วยเหตุที่ นายฉ่ำ ทองคำวรรณ เป็นผู้ที่มีความสามารถและทรงคุณวุฒิดังที่ได้กราบบังคมทูลมา จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับพระราชทานปริญญาศิลปดุษฎีบัณฑิต (โบราณคดี) กิตติมศักดิ์ เพื่อเป็นเกียรติสืบไป

 
ข้อมูลเพิ่มเติมจากลิงค์ที่เกี่ยวข้อง:
? จารึกในประเทศไทย
? สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
? แนะนำโบราณวัตถุ
? กรมศิลปากร
? ประเด็นโต้แย้งในรายการถึงลูกถึงคน ความเห็นผู้ชม

แนะนำโบราณวัตถุ
ชื่อวัตถุ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (ศิลาจารึกหลักที่ ๑)
รูปลักษณะ แท่งศิลาสี่เหลี่ยมยอดมนสอบบน มีอักษรภาษาไทย สมัยพ่อขุนรามคำแหง จารึก ทั้ง ๔ ด้าน ด้านที่ ๑ มี ๓๕ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๓๕ บรรทัด ด้านที่ ๓ มี ๒๗ บรรทัด ด้านที่ ๔ มี ๒๗ บรรทัด
ศิลปสมัย สุโขทัย
วัสดุ หินชนวน
ขนาด กว้างด้านละ ๓๕.๕ เซนติเมตร สูง ๑๑๔.๕ เซนติเมตร
สถานที่จัดแสดง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
 
 
(HOME)


 


 
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 15, 2012, 11:02:10 am โดย apairach » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!