จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
มีนาคม 28, 2024, 05:54:18 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำเรื่องปราบศึกฮ่อ ความทรงจำเรื่องปราบศึกฮ่อ เป็นบันทึกจากการปฏิบัติภาระ  (อ่าน 3018 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1410


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: ตุลาคม 28, 2019, 04:29:41 am »

ความทรงจำเรื่องปราบศึกฮ่อ

ความทรงจำเรื่องปราบศึกฮ่อ เป็นบันทึกจากการปฏิบัติภาระกิจของ พระกำแหงสงคราม (ฤกษ์ นุชนิยม)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ห้ว รัชการที่ ๕

ประวัติโดยสังเขป ของพระกำแหงสงคราม
   
 เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฏาคม พ.ศ. 2399 วันอังคารขึ้น หกค่ำ เดือนแปด ปีมะโรง ณ จวนเก่า จังหวัดกำแพงเพชร เป็นบุตรของพระกำแหงสงคราม(เหลี่ยม นุชนิยม) สืบสกุลโดยตรงมาจากพระยาเกียรติพระยาราม ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของพระเจ้านันทบุเรง(พระเจ้าหงสาวดี)ได้สวามิภักดิ์ติดตาม สมเด็จพระนเรศวร มหาราช พร้อมกับพระมหาเถรคันฉ่อง ในคราวประกาศอิสระภาพ ณ เมืองแกลง ได้พึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา กาลล่วงมาจนถึงปู่ทวด คือพระยารามรณรงค์สงครามรามภักดีอภียพิริยะพาหะ(นุช)
       มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ในวันที่ท่านคลอดนั้น พระกำแหงสงคราม(เหลี่ยม นุชนิยม)ผู้บิดากำลังคุมกำลังพลจะไปปราบศึกกบถเจ้าอนุวงศ์ และขณะที่ขบวนทัพพร้อมจะออกเดินทางไปนั้น มีคนที่บ้านมาคุกเข่าอยู่ข้างๆ รายงานว่า ขณะนี้คุณหญิงได้คลอดลูกออกมาแล้ว ท่านบิดาหันไปถามว่าเป็นหญิงหรือชาย เมื่อได้คำตอบว่าเป็นชาย ท่านก็สั่งว่า
            “ให้ตั้งชื่อมันว่า ฤกษ์” แล้วสั่งให้เหล่าทหารเคลื่อนพลด้วยจิตใจที่มั่นคงและเข้มแข็งทันทีโดยไม่รีรอ
       สกุลนี้มีมีหลักฐานบ้านช่องอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร และได้สืบสกุลต่อๆกันมาเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชรหลายชั่วอายุ เมื่อเยาว์วัยพระกำแหงสงคราม(เหลี่ยม)ได้นำไปฝากไว้กับ เจ้าพระยาภูธราภัย เพื่อให้ได้รับการอบรมศึกษาเล่าเรียนตามระเบียบแบบแผนอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นประเพณีนิยมสำหรับผู้ที่หวังทำราชการสืบไปในภายภาคหน้า เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่มีฝีมือในการเขียนหนังสือ ท่านเจ้าพระยาฯจึงได้ใช้สอยอย่างใกล้ชิด โดยให้ดำรงตำแหน่งทนายหน้าหอ
      ต่อมาจนเมื่อมีอายุสมควรรับราชการ เจ้าพระยาภูธราภัย จึงได้ฝากให้เข้ารับราชการในกระทรวงมหาดไทย กับท่านพระยาราชวรานุกูล(เวก บุนยรัตพันธุ์) บุตรท่านเจ้าพระยาภูธราภัย นั้นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาแต่เยาว์ ตราบจนกระทั่งได้ไปร่วมราชการศึกปราบฮ่องครั้งที่ ๑ เมื่อพ. ๒๔๑๘  และศึกฮ่อครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖

ความเรื่องปราบศึกฮ่อมีดังนี้
      พวกฮ่อนี้เดิมทีเป็นจีนแท้ ทำการขบถขึ้นในเมืองจีน เรียกว่าพวกขบถ”ไต้เผง” จะช่วงขิงอำนาจกับพวก”เม่งจู” ในที่สุดพวกไต้เผงสู้พวกเม่งจูไม่ได้ ต้องแตกฉานซ่านเซ็นหลบหนีไปซุ่มซ่อนตัวตามป่าเขา จีนขบถไต้เผงพวกหนึ่งมีกำลังหลายพันคน หัวหน้ากลุ่มชื่อ”จ่ออาจง” อพยพเข้ามาอยู่ในเขตแดน ญวน ทางเมืองตั้งเกี๋ยเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๐๐
      ฝ่ายพวกญวนเห็นว่าพวกขบถไต้เผงอพยพเข้ามในเขตของตน เกรงว่าจะเป็นอันตราต่อญวนในภายภาคหน้า จึงแต่งฑูตเข้าไปในประเทศจีน ขอกองทัพจากกษัตริย์เม่งจู มาสมทบกับกองทัพของญวน ช่วยกันขับไล่พวกขบถ พวกกบถก็แตกทัพลงมาในดินแดนของพวกแม้ว คือชายแดนจีนติดต่อกับดินแดนสิบสองจุไทย พวกขบถได้รวบรวมกันและตั้งมั่นอยู่ และได้เรียกชื่อใหม่ว่าเป็น “พวกฮ่อ”
      พวกฮ่อนี้ต่อมาได้หัวหน้าที่มีวสามเข้มแข็งในการรบ จึงทำการส้องสุมสมัครพรรคพวกจนมีกำลังแข็งแรงแล้ว จึงยกขึ้นไปตีหัวเมืองญวน จีนกับญวนรวมกำลังกันรบแต่สู้พวกฮ่อไม่ได้ พวกฮ่อจึงเข้าครอบครองเมืองต่างๆในเขตแดนตังเกี๋ย
      ต่อมาพวกฮ่อเกิดแตกแยกกัน รบพุ่งกันขึ้นฝ่ายแพ้พาสมัครพรรคพวกอพยพไปตั้งดินแดนอยู่แคว้นสิบสองจุไทย ใช้ธงประจำกองทัพสีเหลือง เรียก”ฮ่อธงเหลือง” ส่วน พวกที่อยู่ในแดนตั้งเกี๋ยใช้ธงประจำสีดำ  เรียก “ฮ่อธงดำ” พวกฮ่อธงดำนี้ต่อมาทำไมตีกับญวนแล้วช่วยกันรบพุ่งขับไล่ ฮ่อธงเหลือง ๆ จึงต้องถอยหนีแล้วไปปล้นสดมภ์หัวเมืองชายแดนและเมืองในสิบสองจุไทยได้หลายเมือง ญวนส่งทัพมาปราบปรามก็พ่ายแพ้ แก่พวกฮ่อธงเหลือง
      ต่อมาฮ่อธงเลืองได้มาตั้งถิ่นฐานและค่ายใหญ่ในทุ่งเชียงคำ เตรียมเข้าตีเมืองหนองคายและหลวงพระบาง คณะกรมการเมืองหลวงพระบางและหนองคายจึงมีใบบอกลงมากรุงเทพฯ เพื่อขอให้ไทยจัดกองทัพไปช่วยเหลือ
      พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งแม่ทัพนายกองขึ้นไป ๕ นาย แยกออกเป็น ๕ ทัพเดินทางไปปราบพวกฮ่อ
      กองทัพของพระยามหาอำมาตย์(ชื่น กัลยาณมิตร)ซึ่งยกไปปราบฮ่อทางเทอืงหนองคาย ได้รบพุ่งขับไล่พวกฮ่อทางเมืองเวียงจันทร์แตกหนีไป ส่วนทัพของเจ้าพระยาภูธราภัย ซึ่งยกไปปราบพวกฮ่อที่หลวงพระบางก็มีบัญชาให้พระสุริยภักดี(เวก บุนยรัตพันธุ์) ผู้บุตรยกทพไปตีพวกฮ่อแตกยับเยิน จนกระทั่งถึงทุ่งเชียงคำ การปราฮ่อครั้งนี้ พระกำแหงสงครามในขณะนั้นเป็นนายหมวดทัพหน้า ของทัพพระสุริยะภักดี เมื่อตีพวกฮ่อแตกทัพหนีจากเมืองไปพอสมควรแล้ว เจ้าพระยาภูธราภัยจึงมีบัญชาให้ยกทัพกลับคืนกรุงเทพฯ
      ใน พ.ศ. ๒๔๒๖ พวกฮ่อธงเหลืองที่แตกหนีไปจากหนองคายและเมืองหลวงพระบางก็กลับเข้าไปตั้งมั่นในญวนอีก จีนกับญวนจึงร่วมกันเข้าโอบตีพวกฮ่อธงเหลืองเป็นสามารถ หัวหน้าฮ่อธงเหลืองตายในที่รบ พวกที่เหลือก็แตกกระจัดพลัดพรายแยกกันอยู่เป็นกองเล็กกองน้อย เข้าปล้นสดมภ์บ้านเล็กเมืองน้อยในสิบสองจุไทย
      พวกฮ่อธงเหลืองมีหัวหน้าเข้มแข็งอีกคนหนึ่ง พาสมัครพรรคพวกลงมาตั้วค่ายใหญ่อยู่ที่ทุ่งเชียงคำอีกครั้งหนึ่ง ส้องสุมผู้คนไว้เป็นจำนวนมาก แล้วยกเข้าปลั่นเมืองหัวพันทั้งห้าทั้งหก ซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองหลวงพระบาง เจ้าเมืองหลวงพระบางเห็นเหลือกำลงที่จะต่อสู้ จึงมีใบบอกมายังกรุงเทพฯ ขอกองทัพขึ้นไปปราบพวกฮ่อ
      พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้พระยาพิชัย(มิ่ง)กับพระสุโขทัย(ครุฑ)ยกกองทัพล่วงหน้าไปช่วยเมืองหลวงพระบางก่อน และให้พระยาราชวรานุกูล(เวก บุนยรัตพันธุ์)บุตรเจ้าพระยาภูธราภัยเป็นแม่ทัพใหญ่ตามขึ้นไปสมทบอีกทัพหนึ่ง
      ในฐานะที่ใกล้ขชิดสนมสนมกันแต่เยาว์และเคยไปร่วมงานศึกมาด้วยกันตั้งแต่ท่านเป็นพระสุริยภกดี ในคราวปราบฮ่อเมือปี พ.ศ. ๒๔๑๘  พระยาราชวรานุกูล จึงให้พระกำแหงสงครามซึ่งขณะนี้นได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงพิชัยภักดี การเกณฑ์ทัพครั้งนี้พลรบเป็นพลเรือนส่วนใหญ่ เพราะเป็นการเกณฑ์พลตามแบบโบราณ หลวงพิชัยภักดีในฐานะนายหมวดอยู่ในทหารกองหน้า ต้องยกพลไปโดยรีบเร่ง ด้วยความลำบากตรากตรำเป็นสาหัส ประชุมพลที่เมืองพิชัยแล้วเดินทัพผ่านเมืองแพร่ น่าน 
      จากนั้นก็เดินทัพเลียบฝั่งโขงไปจนถึงเชียงแมนแล้วหยุดบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ตามประเพณีของเมืองหลวงพระบางที่เคยปฏิบัติมา ต่อจากนั้นกองทัพเดินเลียบฝั่งไปอีกจนถึงท่าเลื่อนที่ท่าเลื่อนเจ้านครหลวงพระบางได้จัดกองเรือมารับกองทัพข้ามไปยังเมืองหลวงพระบาง พักที่หลวงพระบางพอให้ไพร่พลหายเห็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว กองทัพก็เคลื่อนตรงไปยังทุ่งเชียงคำ
      การเดินทัพครั้งนี้ทางเดินทุรกันดารยิ่งกว่าที่เดินทัพมาแล้ว ต้องบุกป่าฝ่าดงข้ามเขาข้ามห้วยและต้องเดินทางแข่งกับเวลา ภูเขาที่ข้ามส่วนมากเป็นเขาสูง บางลูกเมื่อขึ้นไปบนไหล่เขาแล้วมองลงมาดูข้างล่างจะเห็นก้อนเมฆลอยต่ำอยู่กว่าจุดที่กองทัพยืนอยู่ ไม่เห็นภูมิประเทศด้านล่าง เพราะก้อนเมฆบังหมด รู้สึกอากาศเย็นมากผิดปรกติ แต่เมื่อลงมาถึงเชิงเขาด้านตรงข้ามแล้วจึงทราบว่าฝนตกลงมาไม่น้อยโดยที่แม่ทัพนายกองและไพร่พลไม่มีใครเปียกฝนเลย
      พวกฮ่อที่คุมสมัครพรรคพวกเป็นกองโจรกองเล็กกองน้อย เมื่อทราบข่าวว่ากองทัพไทยกยกขึ้นไปปราบปราม ก็พากันถอยร่นไปรวมอยู่ ณ ทุ่งเชียงคำ อันเป็นค่ายที่มั่นคงแข็งแรงแน่นหนากว่าค่ายอื่นๆ โดยเหตุที่ว่าพวกฮ่อยกลงมายึดทุ่งเชียงคำเป็นที่มั่นมาหลายปีแล้วจึงได้ปลูกไผ่ไว้หนาแน่น เป็นระเนียดค่ายล้อมรอบ จนกระทั่งเป็นเสมือนกำแพงค่าย
      กองทัพของพระยาราชวรานุกูลจึงเข้าสมทบกับกองทัพของพระยาพิชัย(มิ่ง)และพระยาสุโขทัย(ครุฑ)ล้อมค่ายพวกฮ่อไว้แน่นหนา ทางฝ่ายไทยได้เอาปืนใหญ่ตั้งระดมยิงระเนียดค่าย ก็ไม่สามารถยิงทลายกอไผ่ได้ นอกจากใช้ปืนยาวคอยยิงพวกฮ่อที่คอยแอบซุ่มอยู่ตามกอไผ่
      กองทหารไทยยกเข้าประชิดคราวใดมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะมองไม่เห็นตัวข้าศึก และถูกพวกฮ่อลอบยิงเอาเนืองๆ พระยาราชวรานุกูลได้ออกบัญชาการรบ ในระยะใกล้ชิดโดยมิได้หวาดเกรงภัยอันตรายใดๆอันจะบังเกิดขึ้น หลวงพิชัยภักดีได้รับบัญชาให้เข้าหักค่ายทางหนึ่ง ถูกกระสุนปืนยิงที่ขาขวาในการรบประจันบานครั้งนั้น ท่านแม่ทัพเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกันในขณะที่บัญชาการรบ แม้กระนั้นก็ตามทั้งสองท่านก็ไม่ได้ย่อท้อ คงบัญชาการต่อสู้ให้ทหารไทยกยพลเข้าประชิดโอบล้อมค่ายฮ่อให้ใกล้เข้าไปอีก วางเสือป่าแมวมองจุกช่องล้อมวงตัดกำลังมิให้พวกฮ่อ ออกมาหาเสบียงอาหารและน้ำบริโภคได้
      พวกฮ่อตั้งมั่นอยู่ในค่ายได้ไม่นานเกิดการขัดสนเหลือกำลังที่จะต่อสู้ จึงส่งฑูตออกมาเจรจาขอยอมแพ้ ขอถือน้ำพิพัฒน์สัตยายอมเป็นข้าขอบขัณฑสีมาขึ้นต่อไทยสืบไป แต่การเจรจาไม่เป็นที่ตกลงกัน เพราะพระยาราชวรานุกูล ตั้งข้อแม้ว่าจะต้องให้พวกฮ่อส่งศาสตรวุธที่มีอยู่มอบให้ไทยทั้งหมดเสียก่อนแล้วให้พวกฮ่อ ออกมาหาจะไม่ทำอันตราย พวกฮ่อไม่ไว้ใจเกรงว่าไทยจะทำอุบายจึงไม่ออกมา กองทัพไทยจึงต้องตั้งล้อมไว้เป็นแรมเดือน
      ต่อมากองทัพไทยเกิดขัดสนเสบียงอาหาร เนื่องจากทางต้นทางส่งเสบียงไม่ทันตามกำหนกด  และต้องประสพโรคภัยไข้เจ็บด้วย ท่านแม่ทัพเห็นว่าขืนล้อมค่ายอยู่ต่อไปก็ยิ่งเดือดร้อนเสียหายมากขึ้น จึงให้เลิกทัพกลับมายังเมืองหนองคายแล้วส่งใบอบกมายังกรุงเทพฯ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้นายพันเอกพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ผู้บังคับการกรมทหารรักษาพระราชวังเป็นแม่ทัพยกไปช่วยพระยาราชวรานุกูลปราบฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ พวกฮ่อทราบข่าวว่าทางกรุงเทพฯส่งกองทัพขึ่นไปช่วยก็รีบจัดการอพยพผู้คนเผาค่ายที่ทุ่งเชียงคำทิ้งหลบหนีแตกซ่านกระเซ็นไป กองทัพไทยก็เลิกทัพกลับมาพักที่หนองคายชั่วคราวจากนั้นไม่นานก็ทรงบัญชาให้เคลื่อนพลกลับคืนกรุงเทพฯ
      หลวงพิชัยภักดีได้รับบัญชาให้คุมทหารส่วนหนึ่งยับยั้งอยู่ ณ เมืองหลวงพระบาง เพื่อป้องกันมิให้พวกฮ่อสายอื่นเข้ามาลอบปล้นสดมภ์หมู่บ้านเล็กหมู่บ้านน้อยในเขตเมือหลวงพระบาง ต่อมาอีกสามปี เมื่อเหตุการณ์ค่อยสงบลงแล้ว จึงเดินทางกลับเมืองกำแพงเพชร
      เมื่อเสร็จราชการรศึก หลวงพิชัยภักดีเข้าพรรพชาอุปสมบทเป็นสมณเพศตามประเพณีนิยม ในขณะที่บวชอยู่ ท่านมีชื่อเสียงในการเทศน์มากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทศน์มหาชาติ กัณท์ที่ถนัดและเป็นที่นิยมชมชอบของผู้ฟังคือกัณท์ มหาพน กุมารและมัทรี เล่ากันว่าเสียงและทำนองเสนาะดีนัก ถึงกับเทศน์หาจตุปัจจัยจนสร้างศาลาการเปรียญที่วัดเสด็จ จังหวัดกำแพงเพชร นอกจากนี้ท่านยังสอนการเทศน์ให้แก่พระสงฆ์ไว้หลายรูป เช่นพระครูสวรรค์คณาจารย์ เอาวาสวัดวัดโพธารามปากน้ำโพรูปหนึ่ง
        เมื่อลาสิขาบทแล้วไม่นานก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระกำแหงสงคราม" รับราชการในตำแหน่งพระพลนายด่าน จังหวัดกำแพงเพชร มีหน้าที่รักษาเขตชายแดนระหว่างกำแพงเพชรติดต่อกับเขตพม่าทางด่านแม่ละเมา 
           พระกำแหงสงครามรับราชการในตำแหน่งนี้สืบมาด้วยดีจนล่วงเข้าวัยชรา เห็นว่ากำลังร่างกายลดน้อยถอยลงไม่สามารถจะรับราชการสนองพระเดชพระคุณได้เต็มสติกำลัง จึงกราบถวายบังคมลาออกจากหน้าที่ราชการไปประกอบอาชีพส่วนตัว และเพื่อสะดวกแก่การค้าท่านอพยพครอบครัวไปตั้งหลักฐานอยู่ทีบ้านเกาะมะตัน ตำบลปงสนุก อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และรับหน้าทีเป็นกรมการพิเศษของจังหวัดช่วยเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี(เจิม แสงชูโต)ในการจัดตั้งค่ายทหาร(ค่ายสุรศักดิ์มนตรี-มณฑลทหารบกที่ ๗ ปัจจุบัน มทบ.๓๒ )ของจังหวัดลำปาง
      พระกำแหงสงคราม ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยโรคชราในวันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ณ บ้านแลง ตำบลบ้านหมาก อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ในช่วงที่หลบภัยทางอากาศอยู่ที่นั่น สิริอายุได้ ๘๘ ปี และรับพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.๒๔๙๑

+++++++++++++++
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!