จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
มีนาคม 29, 2024, 06:59:18 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๒๒. ผู้กำกับคนใหม่ ขุนพันธ์กับเมืองกำแพงเพชร ในขณะขุนพันธ์ฯกำลังขนสัมภาระเข้าโรง  (อ่าน 3359 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1410


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: มกราคม 16, 2019, 02:21:28 am »

 ๒๒. ผู้กำกับคนใหม่ ขุนพันธ์กับเมืองกำแพงเพชร(คุณเจริญ ตันมหาพราน)
ในขณะขุนพันธ์ฯกำลังขนสัมภาระเข้าโรงแรม ทันนั้นเองมีเสียงปืนดังขึ้นที่หน้าโรงแรมเหมือนเป็นการต้อนรับผู้กำกับคนใหม่ ขุนพันธ์ฯเข้าใจว่าถูกท้าทายจึงวิ่งขึ้นบันไดไปเอาปืนลงมา
นางถี่เจ้าของโรงแรมเห็นเข้าก็เข้ากอดขุนพันธ์ฯไว้ แล้วพูดว่าไม่ใช่เรื่องของคุณ อย่าออกไป ขุนพันธ์ฯจะสะบัดอย่างไรไม่หลุด แกบอกขุนพันธ์ฯว่า มันเป็นธรรมเนียมของเมืองนี้ ใครจะเมาหรือไม่เมา เมื่ออยากยิงปืนก็ยิงกันได้ตามสบาย ดังนั้นขุนพันธ์ฯได้ไปอาบน้ำ ในคืนนั้นขุนพันธ์ฯนอนคิดหาวิธีปราบปรามผู้ร้ายเมืองกำแพงเพชรให้อยู่ในความสงบโดยรวดเร็ว
รุ่งขึ้นวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๙๐ เวลา ๐๗.๐๐ น. ขุนพันธ์ฯแต่งเครื่องแบบเรียบร้อยแล้ว สั่งให้เด็กไปเช่าจักรยานมาคันหนึ่งราคา ๒๗ สตางค์ เพื่อให้เด็กขี่พาไปที่ สภ.อ.กำแพงเพชร
ส่วนขุนพันธ์ฯขี่จักรยานของตนเอาที่เอามาด้วย วันนั้นไม่มีข้าราชการคนใดทราบข่าวการมาของผู้กำกับคนใหม่ พอเด็กพาไปถึงป่าแห่งหนึ่งก็หยุดนิ่ง พร้อมกับชี้ให้รู้ว่าที่แห่งนี้แหละ “สถานีตำรวจกำแพงเพชร”
สภาพ สภ.อ.กำแพงเพชร ที่เห็นเต็มไปด้วยต้นไม้เถาวัลย์ขึ้นปกคลุมจนมิดหลังคา บ้านผู้กำกับพังครืนไปครึ่งหนึ่ง จนนกกระจาบเข้าอาศัยทำรังอยู่เป็นฝูงๆ กระดานป้ายชื่อสถานีตำรวจถูกปลวกกัดจนตกลงมากองอยู่กับพื้นดิน ถนนเข้าสถานีตำรวจที่เคยกว้าง ๕ เมตรมีหญ้าอ้อ หญ้าแขม หญ้าคา ขึ้นปกคลุมจนเป็นซุ้มหนา มีช่องเล็กๆที่คนใช้เป็นทางเข้าออกได้
ขุนพันธ์ฯทิ้งรถจักรยานไว้ข้างนอก แล้วแหวกหญ้าเข้าไป จนน้ำค้างเปียกเสื้อกางเกงหมด พอถึงบันไดสถานีตำรวจ มองเห็นที่ล้างเท้าน้ำแห้งสนิท ข้างบนมีตำรวจนั่งกอดปืนกระดิกเท้าอยู่ สภาพการแต่งกายบ่งบอกเป็นตำรวจถูกต้อง แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่เคยซักแดงเป็นสนิท หมวกแก๊ปสวมไปทาง  กระเป๋าเสื้อขาดรุ่งหริ่ง ขุนพันธ์ฯเดินขึ้นไปตรงหน้ายาม ยามยังนั่งมองหน้าเฉย ขุนพันธ์ฯจึงถามว่าเธอเป็นยามใช่ไหม ยามตอบว่าใช่ ขุนพันธ์ฯได้ถามต่อไปว่า เธอรายงานตัวเป็นไหม และเมื่อยามแต่งตัวสวมหมวกถือปืนอย่างนี้ เมื่อผู้บังคับบัญชาขึ้นมาหรือมาพูดด้วยจะต้องทำอย่างไรก่อน
ยามตอบว่าไม่ทราบ ขุนพันธ์ฯจึงถามต่อไปว่า เธอเป็นตำรวจมากี่ปีแล้ว เคยฝึกหัดบ้างหรือเปล่า ใครเป็นนายร้อยเวร สิบเวร ต่อไปใครเป็นยาม ทำไมโรงพักรกเต็มไปหมดอย่างนี้ เก้าอี้ก็ล้มหงายบ้าง  ตะแคงบ้าง ราวปืนก็มีแต่ราว โรงพักเหมือนโรงร้างมานานปี
ยามตอบว่าเป็นตำรวจมา ๒ ปีแล้ว จะปลดเดือนเมษายนปีนี้ ไม่เคยฝึกหัดเลย นายร้อยเวร สิบเวรไม่มี ใครเป็นยามคนต่อไปไม่ทราบ ถึงเวลาเขามาเปลี่ยนกันเอง โต๊ะเก้าอี้ไม่มีใครจัด โรงพักก็ไม่มีคนทำความสะอาด ปืน ดาบปลายปืน กระเป๋ากระสุนปืนของใครก็เอาไปเก็บรักษาไว้ที่บ้าน ที่โรงพักเอาไว้ไม่ได้จะถูกขโมยลักหมด
ขุนพันธ์ถามว่า ถ้าสมมุติจะฝึกแถวจะหัดที่ไหน
ยามตอบว่าต้องไปหัดตามวัดหรือตามโรงเรียน เพราะที่นั่นมีลานมีสนามเตียนดี ขุนพันธ์ฯได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสงสาร ประกอบกับเห็นสภาพของโรงพักแล้วก็ยิ่งเศร้าสลดใจ ขุนพันธ์ฯถามเขาต่อไปว่า“เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร แต่งตัวอย่างนี้มียศชั้นไหน”
ยามตอบว่าเข้าใจว่าเป็นผู้กำกับมาใหม่ มียศเป็นนายพันตำรวจตรี
ขุนพันธ์ฯจึงได้อบรมยามต่อไปว่า ต่อไปจำไว้เมื่อยามแต่งตัวเรียบร้อยดีเช่นนี้ มีหมวกถือปืนอย่างนี้ หากผู้บังคับบัญชาตั้งแต่นายร้อยตรีขึ้นไป เมื่อมาพูดกับยามหรือไม่พูดก็ตาม หากเห็นในระยะอันสมควร ยามจะต้องทำวันทยาวุธและโดยเฉพาะสำหรับผู้บังคับบัญชาเช่นผู้กำกับนี้ ยามจะต้องรายงานด้วย แล้วขุนพันธ์ฯก็สั่งไว้กับยามว่า“ให้บอกกันทุกคนว่า ผู้กำกับใหม่เขามาถึงตั้งแต่วานนี้ จะไปตรวจที่อำเภอพรานกระต่าย ๓ วัน แล้วจะกลับมาหัดแถวในบริเวณโรงพัก หัดเฉพาะท่าคลานกับท่ามอบให้จนหญ้าเตียน”
วันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๐ เวลา ๐๗.๑๕ น. พ.ต.ต.บุตร ได้วางแผนที่จะได้จัดการกับอำเภอพรานกระต่าย โดยขอร้องให้นางถี่เจ้าของโรงแรมช่วยเช่าเกวียนมาเล่มหนึ่งในราคา ๖๐ บาท เพื่อที่จะเดินทางไปคนเดียว ๓ วัน ในเกวียนมีแค่น้ำดื่ม ข้าวปลาอาหารขุนพันธ์ฯไม่กิน ขณะนั้นยาจากวัดดอนศาลายังออกฤทธิ์อยู่
ในระหว่างทางได้ไปตรวจท้องที่อำเภอพรานกระต่าย ซึ่งเป็นอำเภอเดียวที่มีการทำนามาก  ราษฎรต่างประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม จึงนับว่ามีความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์กว่าอำเภออื่น ด้วยเหตุนี้ที่อำเภอพรานกระต่ายมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ผิดกับอำเภอเมืองกำแพงเพชรมีแต่พวกอันธพาลทั่วเมือง  ส่วนที่อำเภอคลองขลุงมีโจรผู้ร้าย แต่ก็ไม่มากนัก
พอไปถึงตัวอำเภอได้เข้าหา นายอนันต์  โพธิพันธ์ นายอำเภอพรานกระต่าย(ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐-๒๔๙๑) ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี หัวหน้า สภ.อ.พรานกระต่าย(ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกอง สภ.อ.พรานกระต่าย พ.ศ.๒๔๘๙-๒๔๙๑)ว่า ผมมารับราชการที่นี่คนเดียว ไม่มีรองผู้กำกับมาด้วย มาขอทำความรู้จักและพึ่งบารมีพวกข้าราชการเมืองกำแพงเพชร ปัจจุบันภาพพจน์เมืองกำแพงเพชรในสายคนภายนอกเสียหายมาก จึงมาขอความช่วยเหลือในการปฏิบัติราชการ พวกเราเป็นข้าราชการคงอยู่กันไม่นาน แต่ขณะที่ยังอยู่อยากให้สร้างความดีให้ชาวกำแพงเพชรระลึกถึงยามจากไป อีกอย่างหนึ่งต้องการมาขอพบพวกมิจฉาชีพทุกประเภท ตั้งแต่โจรผู้ร้าย อันธพาล นักเลง นักพนัน พ่อค้าของเถื่อน ฯลฯ เพื่อทำความรู้จักฝากเนื้อฝากตัว โดยขอร้องให้ ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี นัดบรรดาอันธพาลและผู้กว้างขวางทั้งหลาย ตลอดจนกำนันผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการอำเภอมากินเลี้ยงที่บ้านในคราวหน้า
วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๔๙๐ ขุนพันธ์ฯกลับจากตรวจราชการที่พรานกระต่ายมาถึง สภ.อ.กำแพงเพชร ก็รู้สึกแปลกใจที่บริเวณโรงพักเตียนสะอาดขึ้น แม้จะทำการฝึกหัดท่าคลานและหมอบก็ตาม ก็ไม่มีตอและหนามตำ
วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๐ ร.ต.อ.ประคอง  ก้องสมุทร เข้ามารายว่า ตำรวจในจังหวัดกำแพงเพชรมี นายร้อย ๕ คน จ่า ๒ คน นายสิบ ๒๔ คน นายพันมีคนเดียวคือขุนพันธ์ฯ รองไม่มีเพราะหาไม่ได้ หลังจากได้รับรายงานเสร็จเรียบร้อย ขุนพันธ์ฯได้นัดประชุมตำรวจพร้อมกันทั้งหมด พร้อมกับทำความเข้าใจกับตำรวจทุกคนว่า ขุนพันธ์ฯมารับหน้าที่ตามคำสั่งกรมตำรวจ และได้พรมา ๔ ประการ  สำหรับระเบียบวินัยตลอดจนข้อบังคับมีอยู่พร้อมแล้วในเมืองกำแพงเพชรนี้ มิใช่ว่าขุนพันธ์ฯจะมาตั้งขึ้นใหม่ ต่อไปจะต้องจัดเวรยามตามระเบียบและให้มาทำงานกันทุกคน ปืนดาบปลายปืน กระเป๋ากระสุนให้เอามาเก็บไว้ที่โรงพัก และเอามาเข้าราวไว้ให้หมด ถ้าของหลวงถูกขโมยก็ต้องช่วยกันชดใช้ตั้งแต่ผู้กำกับลงไป อีกทั้งต้องมีการฝึกอบรมเป็นประจำและจะต้องมีสมุดเซ็นชื่อลงเวลามาทำงานและกลับ เสร็จแล้วขุนพันธ์ฯให้เวลาทำความสะอาดโรงพักและปืนให้เรียบร้อยภายใน ๓ วัน นับแต่วันประชุมอบรมนี้เป็นต้นไป
ครั้นถึงกำหนด ปืนและของหลวงทุกอย่างก็เข้าที่ ตำรวจพามาทำงานกันตามระเบียบ มีการอบรมสั่งสอนกันเป็นประจำ ด้านโรงพักเป็นอันเรียบร้อยไป คราวนี้ปัญหาอยู่ที่บ้านพักผู้กำกับที่ชำรุดจนไม่สามารถใช้เป็นที่พักได้ ขุนพันธ์ฯได้พิจารณาย่านตลาด ตรงโรงยาฝิ่นที่เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ ทำให้เจ้าของกิจการต้องขาดทุนทุกปี แถมยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกบรรดานักเลงอันธพาลที่บังคับให้ประมูลทุกปีด้วย คนอื่นจะประมูลไม่ได้
สภาพโรงยาฝิ่นเป็นห้องแถวใหญ่โตแข็งแรง ๒ ห้อง ๒ ชั้น ใหญ่โตแข็งแรง หากผู้กำกับจะขอแบ่งเช่าอยู่สักครึ่งหนึ่งก็คงไม่เดือดร้อน ตอนแรกขุนพันธ์ฯไปเจรจากับขุนสรสิทธิ์เจ้าของห้องบอกว่าสุดแต่ผู้เช่า ขุนพันธ์ฯจึงไปพบกับเถ้าแก่ผู้เช่า เถ้าแก่โรงยาฝิ่นตกใจคิดว่า แค่ถูกนายร้อย นายสิบ และพลตำรวจไถและเบ่งสูบฟรีเป็นประจำ ทำให้ต้องเดือดร้อนแทบจะแย่อยู่แล้ว คราวนี้ขนาดชั้นนายพันแถมยังเป็นผู้กำกับด้วยคงจะหนักกว่าเก่าหลายเท่านัก เถ้าแก่จึงไม่ยอมตกลงด้วย ขุนพันธ์ฯต้องใช้วิธีพูดกันแบบสองต่อสองหลายครั้ง โดยอธิบายว่าที่ขุนพันธ์ฯต้องการมาเช่าอยู่นี้ เพื่อจะมาปราบพวกอันธพาลและคอยคุ้มกันไม่ให้ใครมาสูบฝิ่นฟรีให้ เถ้าแก่โรงยาฝิ่นค่อยเข้าใจและยอมตกลงด้วย
ขุนพันธ์ฯกลับมาทำรายงานไปยังกองบังคับการว่าจะขอเช่าบ้านพักอยู่ในโรงยาฝิ่น ผู้บังคับการไม่ยอมหาว่าผิดระเบียบทางราชการ ทำให้ต้องเดินทางไปยังกองบังคับการด้วยตนเองและเข้าเรียนให้ท่านผู้บังคับการเข้าใจและอนุญาต
หลังจากได้บ้านพักเพียง ๒-๓ วัน ขุนพันธ์ฯก็มองเห็นแสงแห่งชัยชนะอยู่เบื้องหน้า โดยพาตำรวจออกตรวจตามตลาดจนสว่างทุกคืน พร้อมกับป่าวประกาศให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายให้เปิดร้านขายตามปกติได้ อาหารการกิน เหล้ายาบุหรี่ไม่ต้องกลัวใครจะมาเบ่งฟรี ทุกอย่างผู้กำกับขอรับผิดชอบ  ดังนั้นทุกคืนจะมีชาวบ้านและตำรวจมาสูบบุหรี่กินกาแฟกันตามร้านได้อย่างสะดวกสบายเหมือนก่อน
หลังจากตำรวจได้เก็บปืนเข้าราวหมดแล้ว เสียงปืนก็เพลาลง แต่ยังมีพวกข้าราชการและชาวบ้านบางคนยังพกปืนอยู่อีก ขุนพันธ์ฯจึงแจ้งไปยังนายสุวรรณ  รื่นยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร(พ.ศ.๒๔๙๐-๒๔๙๓)ว่า เดี๋ยวนี้ตำรวจไม่พกปืนแล้ว จึงขอให้ข้าราชการของท่านอย่าได้พกปืนเลย ส่วนชาวบ้านที่พกปืนนั้นขุนพันธ์ฯจะจัดการเอง
นายสุวรรณ  รื่นยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่  ดังนั้นเมื่อตำรวจและข้าราชการพลเรือนไม่พกปืนแล้ว ชาวบ้านราษฎรก็เลิกพกไปเอง ไม่ถึง ๑๐ วันเมืองกำแพงเพชรในเขตเทศบาลก็สงบเรียบร้อย
ต่อจากนั้นขุนพันธ์ฯก็ให้เรือเมล์เดินรับส่งคนโดยสารได้เป็นปกติ และให้รถยนต์วิ่งรับคนโดยสารจากนครสวรรค์ถึงกำแพงเพชรด้วย พร้อมทั้งจัดตำรวจเข้ารักษารถและเรือเป็นประจำ
การจราจรทางน้ำทางบกก็เข้าสู่เหตุการณ์ปกติ ราษฎรต่างก็ไปมากันได้โดยสะดวก ไม่ต้องหวั่นเกรงอิทธิพลและโจรผู้ร้ายกันต่อไป
ขุนพันธ์ฯปราบปรามสิ่งชั่วร้ายและเริ่มปรับปรุงสิ่งต่างๆในเขต อ.เมือง จ.กำแพงเพชรให้เข้าสู่สภาพเดิม ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๙๐ จนถึงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๙๐ ปรากฏว่าไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีก คงเหลืออำเภอพรานกระต่ายเท่านั้น ที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นชื่อเพราะมีเสือสำคัญอยู่ ๒ คน คือ เสือไกร บ้านคุยแขวน กับเสือวัน บ้านนาถนน ต.คุยบ้านโอง อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร เป็นพี่น้องกัน เสือทั้งสองนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมือง กำแหงขนาดยกพวกบุกไปปล้นถึงเขตนครสวรรค์ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร ตาก นอกจากนี้โจรกลุ่มนี้ยังเคยขโมยช้างของเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่งคราวเสด็จขึ้นไปเมืองกำแพงเพชร ตำรวจติดตามไปเอาช้างคืนมาได้ครู่เดียว พอพวกโจรตามมาทันใช้ปืนไล่ยิงตำรวจเอาช้างกลับไปอีก
ครั้งหนึ่งนายอนันต์  โพธิพันธ์ นายอำเภอพรานกระต่ายฉายภาพยนตร์เก็บเงินบำรุงอำเภอและสถานีตำรวจ พวกอันธพาลก็ใช้อาวุธปืนไล่ยิงเข้าให้เลิก แล้วจัดการเปิดบ่อนกำถั่วโปท้าทายตำรวจ ขนาดผู้บังคับกองให้ตำรวจ ๗ คนเข้าไปจับถูกพวกอันธพาลไล่กลับบอกว่า“มันไม่ใช่หน้าที่มึง ขนาดนายแกยังไม่กล้ามาจับหรือพวกมึงคิดจะมาลองเสี่ยงกับกู” ทำเอาตำรวจหน้าเสียยกพากันกลับโรงพัก
ต่อมาพวกอันธพาลยังแค้นใจบุกยิงตำรวจที่หน้า สภ.อ.พรานกระต่ายกลางวันแสกๆ แล้วกวักมือเรียกตำรวจที่เห็นเหตุการณ์เข้าไปจับ แต่ก็ไม่มีตำรวจคนใดกล้าเสี่ยงชีวิตด้วย
ขุนพันธ์ฯคิดวางแผนจับกุมสองเสือให้จงได้ เพื่อให้เมืองกำแพงมีความสงบสุขตลอดไป รวมไปถึงเมืองอื่นๆที่มีเขตติดต่อกับกำแพงเพชรด้วย
เช้าวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๙๐ ขุนพันธ์ฯพา ร.ต.ท.ชม  ส.ต.ต.เจริญ  พลฯณรงค์  พลฯกลั่น เดินทางไปพรานกระต่ายอย่างเร่งรีบ กว่าจะถึงอำเภอพรานกระต่ายเย็นพอดี จึงไปพักบ้าน ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี ผู้บังคับกองและได้เริ่มดำเนินการไปตามแผนที่วางไว้ คือ นัดบรรดาอันธพาลและผู้กว้างขวางทั้งหลาย ตลอดจนกำนันผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการอำเภอมากินเลี้ยงที่บ้านในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๙๐ เวลา ๑๙.๐๐ น. โดยขอให้ทุกคนนำข้าวหม้อ-แกงหม้อมาด้วย ส่วน ร.ต.อ.สะอ้าน  ธาราศรี หัวหน้า สภ.อ.พรานกระต่าย เตรียมจัดทำอาหารเข้าร่วมด้วย พร้อมกับชี้แจงว่าที่นัดมากินอาหารร่วมกันนี้ เนื่องจากผู้กำกับมาใหม่อยากรู้จักพวกพรานกระต่ายจะได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยกันต่อไป เพราะมาจากเมืองใต้ไม่รู้จักใครเลย
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๙๐ เวลาบ่าย ร.ต.อ.สะอ้าน ธาราศรี ผู้บังคับกองยืนรับแขกอยู่ที่หัวบันไดบ้าน โดยเตรียมสมุดให้แขกที่มาลงชื่อและนามสกุลเป็นหลักฐาน ทั้งนี้ขุนพันธ์ฯต้องการรู้จักใครเป็นใครจะได้ไม่จับผิดตัว พอบรรดาอันธพาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเริ่มทยอยกันมา ทุกคนมีของกินติดมือมาด้วย เพื่อมาทำความรู้จักกับผู้กำกับคนใหม่
พอตกเย็นบรรดาข้าราชการก็มาร่วม ขุนพันธ์ฯสั่งให้ตำรวจเปิดเวทีรำวงที่หน้า สภ.อ.พรานกระต่าย อนุญาตให้ลูกเมียตำรวจทั้งหมดให้ไปรำวงกัน ส่วนการทำครัวและการจัดเลี้ยงเป็นหน้าที่ของตำรวจ จะไม่ใช้พวกแม่บ้านเลย ทำให้ตำรวจทุกคนทำงานทั้งที่มีปืนสะพายอยู่ที่บ่า พวกอันธพาล  กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการอำเภอ ต่างมีปืนพกมากันทั่วหน้าตามตามเคยชิน
โต๊ะจัดเลี้ยงถูกจัดเป็นแถวยาวตลอดแนว พวกอันธพาลถูกจัดให้นั่งอยู่ตรงกลาง มีกรมการอำเภอและตำรวจนั่งขนาบข้างละคน ส่วนด้านนอกของโต๊ะนั้น ขุนพันธ์ฯนั่งกลางตรงหน้านายไกรและนายวันคนสำคัญ ด้านซ้ายขวาของขุนพันธ์ฯมี ร.ต.ท.ชม ผู้บังคับกองและกำนัน ผู้ใหญ่บ้านนั่งยาวตลอดโต๊ะ ขุนพันธ์ฯเป็นผู้เปิดพิธีด้วยการกล่าวคำปราศรัย ต่อจากนั้นเริ่มลงมือรับประทานอาหาร เพื่อสร้างบรรยายให้เป็นกันเอง ขุนพันธ์ฯขอร้องให้ทุกคนช่วยกันเล่าเรื่องสนุกๆคนละหนึ่งเรื่อง ขณะที่เสือวันกำลังเล่านิทานเพลินอยู่นั้น ขุนพันธ์ฯพยักหน้าให้อาณัติสัญญาณ ฉับพลันนั้น ส.ต.ท.เจริญ กระโดดเข้ารวบตัวเสือวันจับใส่กุญแจมือทันที ขณะเดียว ส.ต.ท.ถวิล เข้าประชิดตัวเสือไกรเอากุญแจมือสวมไว้  หลายคนที่นั้นนั่งตกตะลึงคาดไม่ถึงขุนพันธ์ฯจะทำงานแบบสายฟ้าแลบ
หลังจากนั้นขุนพันธ์ได้แจ้งข้อหาสองเสือท่ามกลางผู้มากินเลี้ยงโดยทั่วกันว่า ทั้งสองคนนี้เป็นหัวหน้าโจรปล้นทรัพย์สินของราษฎรในเมืองกำแพงเพชร อีกทั้งยังเคยไปปล้นในท้องที่พิจิตร นครสวรรค์ สุโขทัย ตาก ด้วย สองเสือถูกตำรวจพาไปบันทึกประจำวันและพาเข้าห้องขังตามระเบียบ รอจนกว่าหกโมงให้เตรียมเดินทางกลับกำแพงเพชร เพื่อควบคุมผู้ต้องหาไปสอบยังท้องที่ๆเกิดเหตุ แต่ระหว่างนี้ให้ไปรำวงกันก่อน
ครั้นใกล้เวลาเที่ยงคืน(หกทุ่ม) ขณะที่ทุกคนกำลังรำวงสนุกสนานกันอยู่นั้น สองเสือที่อยู่ในห้องขังร้องตะโกนลั่นสถานีว่า นายอำเภอครับ ท่านปลัดครับ กำนันครับ แล้วออกชื่อใครต่อใครอีกหลายคน เขาจะพาผมไปฆ่าแล้วครับ
ขุนพันธ์ฯได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจที่สองเสือกลัวตาย จนเข้าใจผิดคิดว่าจะถูกพาไปฆ่าตอนหกทุ่ม จึงสั่งให้รำวงกันต่อไม่ต้องสนใจ ฟ้าแจ้งเมื่อใดงานค่อยเลิก
พอถึงรุ่งเช้ามีญาติพี่น้องของสองเสือขอติดตามไปส่งถึงกำแพงเพชร เพราะเกรงตำรวจจะกระทำวิสามัญฆาตกรรมกลางทาง โดยใช้เกวียนเป็นพาหนะตามหลังมาด้วย ๒ เล่ม ส่วนตำรวจได้นำผู้ต้องหาขึ้นเกวียนอีก ๑ เล่ม ผู้ต้องหาทั้งสองถูกสวมกุญแจมือติดกัน มีโซ่ยาวสองเส้นล่ามเท้าทั้งสี่ไว้ป้องกันการหลบหนี ภายใต้การควบคุมของ ร.ต.ท.ชม  ส.ต.ท.แสวง และพลฯณรงค์อย่างหนาแน่น มีขุนพันธ์ฯคอยสอดส่องดูสถานการณ์สองข้างทาง
วันนั้นตรงกับวันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๔๙๐ ตรงกับวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ เวลา ๓ ทุ่มเศษ ขณะที่ถึงวัดหัวยาง หมู่ ๔ ต.หนองคล้า อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร กำลังจะขึ้นสะพานหน้าดง บรรยากาศมืดมิดจนแทบมองอะไรไม่เห็น ทันใดนั้นเองแนวป่าข้างสะพานด้านขวามือแอบซุ่มอยู่ เตรียมลงมือชิงตัวผู้ต้องหา จึงยิงปืนเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน ขุนพันธ์ฯสั่งตำรวจยิงโต้ตอบกลับไป การต่อสู้ดำเนินอยู่นานราว ๓ นาที จนกระทั่งเสียงปืนทางฝ่ายตรงข้ามเงียบหายไป ปรากฏว่าผู้ต้องหาสองคนบนเกวียนถูกกระสุนตาย ส่วนเมียเสือวันถูกกระสุนที่ราวนมล้มไม่ได้สติ
ราว ๓๐ นาทีต่อมาพวกในเมืองจุดตะเกียงเจ้าพายุมายังที่เกิดเหตุ รวมทั้งข้าราชการพ่อค้า ๕ คนได้ช่วยกันนำเมียเสือวันส่งโรงพยาบาล แพทย์มาทำการชันสูตรพลิกศพในวันรุ่งขึ้น
ตั้งแต่เสือไกร เสือวันถูกยิงตาย บรรดาโจรผู้ร้ายพากันหลบหนีกระจัดกระจายไม่กล้ากำแหงอีก  แต่ส่วนมากหนีขึ้นไปจังหวัดตาก จน พ.ต.ต.อวบ  บุญชลิโต ผู้กำกับตากถึงกับต่อว่ามาทางขุนพันธ์ฯแกล้งขับไล่โจรไปสร้างความเดือดร้อนแก่เมืองตาก
พ.ต.ต.บุตร ใช้เวลาจัดการกับเมืองกำแพงเพชรทั้งหมด ๑ เดือน ๒๕ วัน บ้านเมืองสงบเรียบร้อยทุกอย่างตามที่ได้ให้คำสัญญากับอธิบดีกรมตำรวจ
ขุนพันธ์ฯต้องการประกาศให้เมืองข้างเคียงรู้ว่า บัดนี้กำแพงเพชรเป็นเมืองที่น่าอยู่ จึงแจ้งไปยังเถ้าแก่เฮาะจิวที่ปากน้ำโพ(นครสวรรค์)ให้ขึ้นมาประมูลโรงต้มกลั่นสุราที่กำแพงเพชร พอประมูลได้ก็จัดงานฉลองเปิดโรงต้มกลั่นเป็นปฐมฤกษ์ขึ้น โดยให้เชิญผู้ว่าราชการ ข้าราชการผู้ใหญ่ พ่อค้าที่มีชื่อเสียงจากจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ตาก นครสวรรค์และกรุงเทพฯให้มาร่วมสังสรรค์ ในงานมีโต๊ะจีนจากภัตตาคารชื่อดังในกรุงเทพฯมาบริการ พร้อมกันนี้มีการแสดงของนักเรียนให้ชมด้วย ในที่สุดทุกอย่างได้จบลงด้วยดี แขกที่มากินเลี้ยงต่างกลับไปเล่าลือ จนข่าวนี้แพร่กระจายเข้าไปถึงกรมตำรวจ โดยมิต้องประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์
ในระหว่างนั้นที่จังหวัดพัทลุงเกิดมีโจรผู้ร้ายชุกชุมอีกครั้งหนึ่ง ทำให้หลายคนนึกถึงผลงานที่ขุนพันธ์ฯเคยฝากไว้ให้ ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการขับเคี่ยวกันระหว่าง นายถัด  รัตนพันธ์ กับนายถัด  พรหมมานพ ชาวพัทลุงบอกว่าไม่ต้องออกหาเสียงให้เหนื่อยเปล่า ใครที่สามารถเอาตัวขุนพันธ์ฯมาอยู่ที่พัทลุงได้ ก็จะเลือกบุคคลนั้นให้เป็นผู้แทนของพัทลุง จึงมีการไปขอความกรุณาต่อกรมตำรวจให้ส่งขุนพันธ์ฯไปให้ชาวพัทลุง
ต่อมาทางกรมตำรวจได้มีหนังสือคำสั่งไปถึงขุนพันธ์ฯที่กำแพงเพชร ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับที่พัทลุง แต่ขุนพันธ์ฯยังไม่ยอมเซ็นรับทราบ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไปอย่างเข้มแข็ง เช่น  การออกตรวจท้องที่มิได้หยุดหย่อน จนสามารถรู้จักท้องที่ของเมืองกำแพงเพชรทุกตำบล โดยเฉพาะวัดโบราณที่เต็มไปด้วยเจดีย์ที่สลักปรักพัง เช่น วัดพระบรมธาตุ วัดซุ้มกอ วัดพิกุล ที่อุดมไปด้วยพระเครื่องสุดยอดในวงการ มีความขลังเป็นเลิศ อย่างพระกำแพงทุ่งเศรษฐีที่เป็นหนึ่งในอันดับพระเบญจภาคีของไทย ใต้เมืองกำแพงเพชรลงไปก็มีเมืองไตรตรึงซึ่งเป็นเมืองร้างอยู่ในดงดิบริมแม่น้ำปิง มีเจดีย์ธาตุ เขาเรียกกันว่า“เจดีย์วังพระธาตุ เวลานั้นขุนพันธ์ฯแสวงหาแต่โจรผู้ร้าย ไม่ได้แสวงหาพระเครื่องและพระบูชา พระทุ่งเศรษฐี ซึ่งมีแหล่งอยู่ตรงหน้าเมือง พระกำแพงนั้นมีอยู่ทั่วไป แต่ขุนพันธ์ฯไม่มีพระกำแพงชนิดพระบูชา
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!