จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
เมษายน 25, 2024, 11:10:54 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติศาสตร์ชาติไทย และ เมืองกำแพงเพชร  (อ่าน 2926 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1414


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: เมษายน 21, 2015, 04:19:33 pm »


ประวัติศาสตร์ชาติไทย
จากหลักฐานทางโบราณคดีซึ่งค้นพบในพื้นที่หลายแห่งของประเทศ ทำให้เชื่อได้ว่าบริเวณที่เป็นประไทยในปัจจุบันนี้ มีมนุษย์อาศัยอยู่เป็นชุมชนตั้งแต่เมื่อเกือบ 6 พันปีที่แล้ว โดยชนชาติที่ครอบครองดินแดนแห่งนี้ในยุคแรกๆ คือ ชาวละว้าและชาวป่าชาวเขาในตระกูลมอญและขอมโบราณ ได้ก่อตั้งอาณาจักรลพบุรีขึ้น ณ บริเวณที่ตั้งของจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน
ชาติไทยก่อนประวัติศาสตร์
จนถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13 มีอาณาจักรต่างๆ ที่ครอบครองดินแดนในแถบนี้ในเวลาต่อมาอีก ได้แก่ อาณาจักรขอม ครอบครองดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูนทางตะวันออก มีเมืองหลวงอยู่ที่นครวัด ในราชอาณาจักรกัมพูชาในปัจจุบัน อาณาจักรทวารวดีของชนชาติมอญ ครอบครองพื้นที่ทางตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาลงไปถึงตอนเหนือของคาบสมุทรมลายา โดยมีเมืองศูนย์กลางอยู่ที่นครปฐม อาณาจักรศรีวิชัยของชาวมลายู อยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรมลายา
ในระหว่างนั้นชนชาติไทยโบราณที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ได้อพยพโยกย้ายลงมาตั้งอาณาจักรน่านเจ้าขึ้นในบริเวณมณฑลยูนนาน ในเขตสิบสองปันนา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ก่อนจะถูกรุกรานจากชนชาติจีนซึ่งเข้มแข็งกว่า แล้วเดินทางถอยลงมาทางใต้ตามแนวแม่น้ำโขง ในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีน เพื่อหาพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิมสำหรับทำอาชีพกสิกรรม และตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่หลายแห่งในดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในความครอบครองของชนชาติขอม
ชาติไทยสมัยล้านนา
ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 13 ได้ปรากฏอาณาจักรล้านนาขึ้นบนฝั่งแม่น้ำโขง ในบริเวณที่ตั้งของอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน และอาณาจักรล้านช้าง อันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงพระบางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน
ชาติไทยสมัยสุโขทัย
ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ในช่วงเวลาเดียวกับยุคสมัยอาณาจักรล้านนารุ่งเรืองทางตอนเหนือ ชาวไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งเข้ามาอยู่ในดินแดนของขอม ได้รวมตัวกันและสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นเป็นอิสระจากขอม ภายใต้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระร่วงเจ้า หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นกษัตริย์พระองค์แรก มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่กรุงสุโขทัย หรือจังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน
พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยทรงปกครองประเทศด้วยพระองค์เอง โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ช่วยเหลือ รูปแบบการปกครองในสมัยนั้นอาจจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
การปกครองส่วนกลาง ได้แก่ เมืองหลวง และเมืองลูกหลวง หรือเมืองหน้าด่าน ที่อยู่รายล้อมเมืองหลวงทั้ง 4 ทิศ ประกอบด้วย เมืองศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก) ทางทิศเหนือ เมืองสองแคว (พิษณุโลก) ทางทิศตะวันออก เมืองสระหลวง (พิจิตร) ทางทิศใต้ และเมืองกำแพงเพชร (ชากังราว) ทางทิศตะวันตก
การปกครองหัวเมือง หรือเมืองที่อยู่นอกอาณาเขตเมืองลูกหลวง แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองประเทศราช
อาณาจักรสุโขทัยมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อมาอีกหลายพระองค์ และขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักร พระองค์ได้รวบรวมหัวเมืองต่างๆ เข้าไว้ในปกครองมากมาย จนยากที่จะปกครองได้อย่างทั่วถึง ต่อมาจึงประสบปัญหาทั้งจากภายนอกและภายใน และค่อยๆ ตกต่ำลงจนถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาไปในที่สุด
ชาติไทยสมัยอยุธยา   
ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 19 กลุ่มคนไทยที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้ตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ ภายใต้การนำของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง สถาปนาขึ้นเป็นกรุงศรีอยุธยา และได้รวบรวมอาณาจักรอื่นๆ รวมทั้งกรุงสุโขทัยเข้าไว้ในการปกครองเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ ยังขยายอำนาจออกไปทั่วบริเวณคาบสมุทรอินโดจีน แหลมมลายู จนถึงเกาะปีนังและสิงคโปร์ มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติหลายประเทศ จึงเป็นช่วงเวลาที่มีวัฒนธรรมจากดินแดนอื่นๆ เผยแพร่เข้ามามาก
พระเจ้าอู่ทองได้ปรับปรุงระบอบการปกครองในส่วนกลางของกรุงศรีอยุธยา เป็นแบบจตุสดมภ์ตามแบบอย่างของขอม คือ กษัตริย์เป็นผู้อำนวยการปกครอง มีเสนาบดี 4 คน คือ ขุนเมือง ขุนวัง ขุนคลัง และขุนนา พร้อมทั้งตรากฎหมายลักษณะอาญาหลวงและกฎหมายลักษณะอาญาราษฎรขึ้น เพื่อเป็นบรรทัดฐานในกระบวนการยุติธรรม
ต่อมากรุงศรีอยุธยาได้สูญเสียเอกราชครั้งที่ 1 ให้แก่พม่า ใน พ.ศ. 2112-2124 ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงกอบกู้เอกราชกลับคืน และได้ประกาศอิสรภาพเมื่อ พ.ศ. 2127 จากนั้นได้ทรงขยายอาณาเขตไปกว้างไกล กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมากและแผ่นดินร่มเย็นเป็นสุข มีกษัตริย์ปกครองสืบเนื่องกันมารวม 33 พระองค์
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2310 เป็นช่วงเวลาที่ผู้ปกครองขาดความสนใจในหน้าที่บ้านเมือง เกิดความแตกแยกภายใน บ้านเมืองระส่ำระสาย การปกครองขาดเสถียรภาพ ทั้งยังว่างเว้นจากการศึกสงครามมาเป็นเวลานาน กรุงศรีอยุธยาจึงถูกพม่ารุกราน และตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าอีกเป็นครั้งที่ 2

   
ชาติไทยสมัยธนบุรี
ในปี พ.ศ. 2310 เมื่อพม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา เจ้าพระยาตากได้รวบรวมไพล่พลประมาณ 500 นาย ตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่าออกไปตั้งมั่นที่เมืองจันทบุรี เมื่อรวบรวมไพร่พลได้อีกจำนวนหนึ่ง ก็ยกทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ในปีเดียวกัน แต่เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้นได้รับความเสียหายเกินกว่าที่จะฟื้นฟูได้ และเป็นเมืองที่พม่ารู้เส้นทางดีอยู่แล้ว ทำให้ยากต่อการปกป้องรักษาบ้านเมือง เจ้าพระยาตากจึงย้ายเมืองหลวงมาที่กรุงธนบุรี แล้วสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ปกครองอาณาจักรกรุงธนบุรี
สำหรับด้านการเมืองการปกครองของกรุงธนบุรีนั้น ยังคงใช้ระบอบที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา คือพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการปกครอง การปกครองส่วนกลางมีสมุหกลาโหมดูแลฝ่ายทหาร และมีสมุหนายกดูแลฝ่ายพลเรือน และจัดตั้งจตุสดมภ์ แบ่งการปกครองออกเป็น4 ส่วน คือ เวียง วัง คลัง นา
การปกครองหัวเมืองแบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หรือเมืองจัตวา มีผู้ปกครองเรียกว่าผู้รั้ง หัวเมืองชั้นนอก หรือเมืองพระยามหานคร มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าเมือง และหัวเมืองประเทศราช ที่มีอำนาจปกครองตนเอง ได้แก่ กัมพูชา ลาว เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราชสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชปกครองบ้านเมืองมาจนกระทั่งถึง พ.ศ. 2325 รวมระยะเวลาที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี 15 ปี
ชาติไทยสมัยรัตนโกสินทร์
หลังจากสถาปนากรุงธนบุรีแล้ว เศรษฐกิจของเมืองก็ตกอยู่ในสภาพที่ตกต่ำมากจากการทำศึกสงครามรวบรวมอาณาจักรไทยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การทำสงครามกับพม่าเพื่อปกป้องราชธานี และต้องทำนุบำรุงบ้านเมืองตลอดเวลา ต่อมาในปี พ.ศ. 2325 พระยาจักรี นายทหารซึ่งได้ร่วมกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกอบกู้เอกราชของบ้านเมืองเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 จึงได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และได้ทรงสร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ที่ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นชัยภูมิที่ดีกว่า และพระราชทานนามว่า “กรุงเทพมหานคร”
แม้ปัญหาด้านการปกครองภายในจะเบาบางลงในยุคนี้ แต่การรุกรานจากชาติตะวันตกกลายเป็นปัญหาใหม่ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 24 และ 25 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 และ 5 ประเทศในแถบเอเชียตอนใต้ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกเกือบทั้งหมด มีประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่ดำรงความเป็นเอกราชมาได้ เนื่องด้วยพระปรีชาสามารถในการดำเนินวิเทโศบายด้านการเมืองและการต่างประเทศของพระมหากษัตริย์ไทย โดยทรงเจริญสัมพันธไมตรีและดำเนินการด้านการค้าและสัญญาต่างๆ กับประเทศมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งบางครั้งต้องยอมสูญเสียดินแดนหรือผลประโยชน์ของประเทศบางส่วน เพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติ ในช่วงเวลานี้เองที่แนวคิดทางการเมืองการปกครองแบบใหม่ๆ ได้หลั่งไหลมาสู่ประเทศไทยมากขึ้น
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจของโลกตกต่ำเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นอันมาก และทำให้เกิดความไม่พอใจต่อผู้มีอำนาจปกครอง ซึ่งถูกมองว่ามีการหาประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง ทั้งที่ประชาชนตกอยู่ในสภาวะยากแค้น ในที่สุดคณะราษฎรจึงได้ทำการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์จักรีสืบเนื่องมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช หรือพระรามาธิบดีที่ 9 และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกในปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
จังหวัดกำแพงเพชร เป็นเมืองโบราณที่สำคัญยิ่ง มาตลอดยุคสมัย และเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ไทยมาโดยตลอด อาจนับตั้งแต่ พระร่วงโรจนราช กษัตริย์ต้นราชวงศ์พระร่วง
 จากตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ว่ามาจากบ้านโคน เมืองคณฑี จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งชาวบ้านโคนถือกันว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้ตำนานท้าวแสนปม ได้กล่าวถึงท้าวแสนปมเป็นพระราชบิดาของ พระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา..เป็นความเชื่อทั้งสองเรื่องที่คู่กับจังหวัดกำแพงเพชรเล่าขานสืบต่อกันมาช้านาน?ว่าปฐมกษัตริย์ทั้งกรุงสุโขทัย และอยุธยามาจากกำแพงเพชรทั้งสองพระองค์ ?.
จากตำนานสิงหนวติกุมาร ฉบับสอบค้น ของนายมานิต วัลลิโภดม ได้กล่าวถึงกำแพงเพชรที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์หลายตอนอาทิ?.พระเจ้าพรหม เป็นวีรบุรุษ เป็นศูนย์กลางของพวกเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในตระกูลไทย-ลาว เป็นผู้นำขับไล่พวกขอมดำสำเร็จ ในตำนานสิงหนวติกุมาร บอกว่าพรหมกุมารกำจัดพญาขอมดำและพวกขอมบริวารทั้งหลาย หนีลงไปทางทิศใต้ พรหมกุมารตามพิฆาตเข่นฆ่า จนร้อนถึงพระอินทร์ต้องเนรมิตกำแพงหินกั้นกางขวางหน้าไว้ เพื่อช่วยชีวิตพวกขอมดำมิให้สูญเผ่าพันธุ์ กำแพงขวางกั้นกลายเป็นกำแพงเพชร ในกาลต่อมา พระเจ้าชัยสิริ โอรสพระเจ้าพรหม หนีพระยาสุธรรมวดี มาเดือนหนึ่งถึงแนวกำแพงที่พระอินทร์เนรมิต จึงประกาศสร้างเมืองกำแพงเพชร ณที่นั้น?.
หลักฐานมาปรากฏชัดเจน เป็นที่ยืนยันได้อย่างแน่นอนว่า พญาลิไท กษัตริย์แห่งสุโขทัยเสด็จมาเมืองนครชุมในปีพ.ศ. 1900 โดยมีหลักฐานจากจารึกนครชุม (จารึกหลักที่ 3) ว่า พระยาลือไทยราช ผู้เป็นลูกพระยาเลอไทย เป็นหลานแก่พระยารามราช เมื่อได้เสวยราชย์ในเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัย ?..จึงขึ้นชื่อศรีสุริยพงศ์มหาธรรมราชิราช หากเอาพระศรีรัตนมหาธาตุอันนี้มาสถาปนาในเมืองนครชุมนี้ปีนั้น พระมหาธาตุอันนี้ใช่ธาตุอันสามานย์คือพระธาตุแท้จริงแล เอาลุกแก่ลังกาทวีปพู้นมาดาย เอาทั้งพืชพระศรีมหาโพธิ์ อันพระพุทธเจ้าเราเสด็จอยู่ใต้ต้นและผจญพลขุนมาราธิราช ได้ปราบแก่สัพพัญญุตญาณเป็นพระพุทธมาปลูกเบื้องหลังมหาธาตุนี้ ผิผู้ใดได้ไหว้นบกระทำบูชาพระศรีรัตนมหาธาตุและพระศรีมหาโพธิ์นี้ว่าว่าไซร้มีผลอานิสงส์พร่ำเสมอดังได้นบตนพระเป็นเจ้าบ้างแล??.
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระมหากษัตริย์ในยุคนั้นได้เสด็จมากำแพงเพชรหลายครั้งดังปรากฏในพระราชพงศาวดาร
 ครั้งแรกในปีพุทธศักราช 2088 สมเด็จพระชัยราชาธิราช ยกกองทัพไปเชียงใหม่ ประทับพักทัพหลวง ณ เมืองกำแพงเพชร ถึงหนึ่งเดือน ตามพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐบันทึกไว้ว่า สมเด็จพระชัยราชาธิราชเจ้าเสด็จไปทัพเชียงใหม่ ให้พระยาพิษณุโลกเป็นทัพหน้าและยกพลตั้งทัพชัยตำบลบางพาน (เมืองเก่าในอำเภอพรานกระต่าย) ทัพหลวงประทับแรมที่เมืองกำแพงเพชร 1 เดือน
 ครั้งที่ 2 ในปีพ.ศ. 2102 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสด็จมาคล้องช้าง ณ เมืองแสนตอ ซึ่งขึ้นกับเมืองกำแพงเพชร ได้ช้าง 40 เชือก
 ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2127 สมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพไปช่วยพระเจ้าหงสาวดีรบกับพระเจ้ากรุงอังวะจากพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐบันทึกไว้ว่า ศักราช ๙๔๖ วอกศก (พ.ศ. ๒๑๒๗) ครั้งนั้นสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า เสวยราชสมบัติ ณ เมืองพิษณุโลก รู้ข่าวมาว่าพระเจ้าหงสากับพระเจ้าอังวะผิดกัน ครั้งนั้นเสด็จไปช่วยการเศิกพระเจ้าหงสาและอยู่ในวันพฤหัสบดี แรม ๓ ค่ำ เดือน ๕ ช้างต้นพลายสวัสดิมงคลและช้างต้นพลายแก้วจักรรัตน์ชนกัน และงาช้างต้นพลายสวัสดิมงคลลุ่ยข้างซ้าย และโหรทำนายว่าห้ามยาตรา และมีพระราชโองการตรัสว่าได้ตกแต่งการนั้นสรรพแล้ว จึงเสด็จพยุหยาตราไป ครั้งเถิง ณ วันพุธ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๕ เสด็จออกตั้งทัพชัยตำบลวัดยม ท้ายเมืองกำแพงเพชรในวันนั้นแผ่นดินไหว แล้วจึงยกทัพหลวงเสด็จไปถึงเมืองแครง แล้วจึงทัพหลวงเสด็จกลับคืนมาพระนครศรีอยุธยา ฝ่ายเมืองพิษณุโลกนั้นอยู่ในวันพุธ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๐
 ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2148 สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จเมืองกำแพงเพชร และประทับที่เมืองกำแพงเพชร 15 วัน
 ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2310 พระยาวชิรปราการ (พระเจ้ากรุงธนบุรี) ได้เป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่มิทันได้มาครองเมือง ไปช่วยราชการที่กรุงศรีอยุธยาก่อน
 ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จไปตีเมืองเชียงใหม่ ยกกองทัพผ่านเมืองกำแพงเพชร
 ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2318 พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ครั้งเป็นพระยาจักรี ยกกองทัพมาตั้งที่เมืองกำแพงเพชร เกิดตำนานสมเด็จพุฒาจารย์(โต)
ครั้งที่ 8 พ.ศ. 2488 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิศริยยศที่พระบรมโอรสาธิราช เพื่อทอดพระเนตรโบราณสถาน ในระหว่างวันที่ 16-17 มกราคม 2448 ประทับแรมที่พลับพลา หน้าวัดชีนางเกา 2 ราตรี
 ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชร
 ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม ถึงวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2449 ทรงนำความเจริญและความสงบสุขมาสู่เมืองกำแพงเพชรอย่างมากมาย ทรงถ่ายภาพเมืองกำแพงเพชร ไว้จำนวนมาก และบันทึกการเดินทางประพาสต้นเมืองกำแพงเพชรไว้อย่างละเอียด
 ครั้งที่ 10 พ.ศ.2450 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิศริยยศที่พระบรมโอรสาธิราช เพื่อทอดพระเนตรโบราณสถาน ในวันที่ 15 มกราคม 2450 ประทับแรมที่พลับพลา หน้าวัดชีนางเกา 1 ราตรี พระบรมโอรสามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จเมืองกำแพงเพชรสองคราว มีการจารึกเล่าเรื่องราวการเสด็จประพาสไว้ในศิลาแผ่นหนึ่ง ความว่า? ศุภมัสดุพระพุทธศาสนายุกาลได้ 2448 พรรษา จุลศักราช 1267 ศกมะเส็ง รัตนโกสินทรศก 124 เป็นปีที่ 38 ในรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธมกุฎราชกุมารได้เสด็จพระราชดำเนินจากมณฑลพายัพ มาถึงเมืองกำแพงเพชรนี้ วันอังคารเดือนยี่ แรม7ค่ำ สุริยคติกาลกำหนด วันที่ 16 มกราคม เสด็จประพาสทอดพระเนตรโบราณสถานหลายแห่งเป็นครั้งแรก ประทับแรมอยู่สองราตรี ตั้งพลับพลานอกกำแพงเมืองกำแพงเพชร ที่วัดชีนางเการิมน้ำปิงฝั่งเหนือ ครั้นลุพระศาสนายุกาลได้ 2450 พรรษาจุลศักราช 1269 ศกมะแม รัตนโกสินทรศก 126 เป็นปีที่ 40 ในรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมโอรสาพระองค์นั้น ได้เสด็จพระราชดำเนินมาถึงเมืองกำแพงเพชรนี้ วันพุธเดือนยี่ขึ้น 13 ค่ำ สุริยคติกาลกำหนด วันที่ 15 มกราคม ได้เสด็จประพาสทอดพระเนตร โบราณสถานซ้ำอีกเป็นครั้งที่ 2 ประทับแรมอยู่ 3 ราตรี ที่พลับพลาเดิม
 ทั้งหมดคือในอดีตที่พระมหากษัตริย์เสด็จเมืองกำแพงเพชร ประวัติศาสตร์และพระราชพงศาวดารได้บันทึกเรื่องราวไว้
 แม้ในกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทยทั้งชาติ เสด็จไปเยี่ยมพสกนิกร ทั่วทั้งประเทศไม่มีสถานที่ใดในประเทศไทยที่พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้เสด็จไปเยี่ยม นำความผาสุกร่มเย็นมาสู่คนไทยทั้งชาติทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ล้ำเลิศด้วยทศพิธราชธรรม เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ มีน้ำพระราชหฤทัยห่วงใยประชาราษฏรทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าท้องถิ่นนั้นจะทุรกันดารเพียงใด เสด็จไปทุกหนแห่ง ทำให้เกิดโครงการพระราชดำรินับร้อยนับพันโครงการ ซึ่งไม่มีพระมหากษัตริย์ใดในโลกเสมอเหมือน
 ตลอดระยะเวลา หกสิบปีที่เถลิงถวัลยราชสมบัติ ระยะแปดสิบปีที่ปกครองดูแลพระบารมีแผ่ไพศาลทรง ทรงมีพระราชอุตสาหะอันแรงกล้าที่จะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขแห่งราษฎรของพระองค์ที่อยู่ใต้ร่มฟ้าพระบารมีทั้งทางตรงและทางอ้อม พระบารมีที่ปกเกล้าปกกระหม่อมประจักษ์จิตชัดเจนทุกก้าวย่างจารจารึกในจิตใจประชนของพระองค์ไม่รู้ลืม
 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดกำแพงเพชรของเรา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเสด็จมาเยือนถึงสามครั้ง แต่ละครั้งนำความปลื้มปิติ และสิ่งที่ดีมีมงคลมามอบให้ชาวกำแพงเพชรเสมอ
 ทุกรอยละอองธุลีพระบาทที่ทรงยาตรย่ำลง ณ สถานที่ใด ชาวกำแพงเพชรยังจดจำอยู่มิรู้คลาย
 ภาพต่างๆ ได้ประทับในดวงจิตชาวประชากำแพงเพชรมิลืมเลือน
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินจังหวัดกำแพงเพชรครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ . 2510 ถึงกำแพงเพชรเวลา 10.30 น. เพื่อบวงสรวงสังเวยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อพ.ศ. 2126 ทรงกรีธาทัพผ่านเมืองกำแพงเพชร ประทับที่วัดยมท้ายเมืองกำแพงเพชรปัจจุบันคือวัดกะโลทัย วันรุ่งขึ้นพักทัพชัยที่ตำบลหนองปลิงสามเพลา)วันที่ 25 มกราคม ด้วยเหตุผลที่ว่า วันนี้เมื่อ พ.ศ.2135 ตรงกับวันจันทร์ แรม 1 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จุลศักราช 954 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำการยุทธหัตถี มีชัยชนะต่อสมเด็จพระมหาอุปราชา แห่งกรุงหงสาวดี ซึ่งเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ แสดงออกถึงพระปรีชาสามารถ ความกล้าหาญเด็ดขาด และการเป็นผู้นำทัพที่อัจฉริยะ จนเป็นที่ยำเกรงแก่หมู่ปัจจามิตร เป็นผลให้ประเทศไทยคงคืนความเป็นเอกราชสืบมาจนทุกวันนี้(วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้เปลี่ยนแปลงกำหนดวันกองทัพไทยจากวันที่ 25 มกราคม ของทุกปีเป็นวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี และอนุมัติให้เป็นวันหยุดราชการของกระทรวงกลาโหมตามหลักการเดิม
 นายร้อยตำรวจโทปิ่น สหัสโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น เข้าเฝ้าถวายบังคมทูลอัญเชิญล้นเกล้าทั้งสองพระองค์เสด็จกระทำบวงสรวงสังเวยสมเด็จพระนเรศวร และเยี่ยมเยียนพสกนิกรของพระองค์ บรรดาราษฎรพากันตั้งโต๊ะหมู่บูชาสองข้างทาง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงรับศีลก่อนทำพิธีบวงสรวง เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์ จึงทรงบวงสรวงสังเวยสมเด็จพระนเรศวร แล้วเสด็จทอดพระเนตรผังเมืองเก่าและโบราณวัตถุที่กรมศิลปากรจัดให้ทอดพระเนตร จากนั้นเสด็จมายังศาลากลางจังหวัดกำแพงเพชร เพื่อเสวยพระกระยาหารกลางวัน จนกระทั่งเวลาประมาณ 14.30 น. จึงเสด็จออกมาปลูกต้นสัก ณ บริเวณ หน้าศาลากลางจังหวัด โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกต้นด้านขวา และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงปลูกต้นด้านซ้าย ของศาลากลาง แล้วจึงเสด็จเยี่ยมราษฎรของพระองค์ เสด็จกลับด้วยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เพื่อเสด็จสู่จังหวัดพิษณุโลกและประทับเครื่องบินพระที่นั่งเสด็จนิวัติพระนคร
 ปัจจุบันต้นสักที่ทรงปลูก จังหวัดกำแพงเพชร ได้นำภาพถ่ายที่ทั้งสองพระองค์ทรงปลูกมาขยายใหญ่ มาตั้งไว้ ณ ที่ นั้น นับว่าเป็นการทำที่ถูกต้องเหมาะสมยิ่ง และการได้ขยายพันธุ์สักพระราชทาน ไปปลูกทั่วทั้งจังหวัดกำแพงเพชร แสดงถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกล สมควรได้รับการยกย่อง
 ครั้งที่สอง ในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธร เสด็จมาบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินส่วนพระองค์ ณ วัดคูยาง อำเภอเมืองจังหวัดกำแพงเพชร ขณะนั้นพระวิเชียรธรรมคณี (ทองพาน) เป็นเจ้าอาวาส
 ทรงถวายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเป็นทุนเริ่มต้นในการก่อสร้างพระอุโบสถซึ่งกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล เป็นเงินหก
 หมื่นบาท ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. มาประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถด้านหน้า และพระนามาภิไธยย่อ ส. ก.มาประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถด้านหลัง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมพ.ศ. 2523 และพระราชทานนามพระพุทธรูปประธาน ซึ่งหล่อแบบศิลปะสุโขทัย หมวดกำแพงเพชร ขนาดหน้าตักกว้าง 6 ศอก 9 นิ้ว ว่าพระพุทธวชิรปราการ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 มีราษฎรมาเข้าเฝ้ารับเสด็จจำนวนมาก ทั้งสามพระองค์ ทรงเกษมสำราญพระราชหฤทัย ทรงเยี่ยมเยียนราษฎรอย่างใกล้ชิดนำความสุขมาสู่ประชาชนอย่างถ้วนหน้า พระองค์ เสด็จนิวัติพระนครในวันเดียวกัน
 เหตุผลสำคัญที่สร้างอุโบสถใหม่เพราะอุโบสถหลังเก่ากว้าง 8เมตร ยาว 22 เมตร สภาพทั่วไปชำรุดทรุดโทรมมาก จนมิอาจที่จะบูรณะให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ ในราวพ.ศ. 2517 ทางวัดคูยางมีมติให้รื้อหลังเก่าเพื่อสร้างหลังใหม่ ระยะแรกมิได้ตอกเสาเข็มรวมทั้งทางวัดต้องการขยายอุโบสถหลังใหม่ให้มีขนาดกว้าง 12 เมตร ยาว 32 เมตรจึงได้แก้ไขใหม่ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ.2521 เป็นต้นมา โดยมีพระวิเชียรธรรมคณี (ทองพาน)
เจ้าอาวาสวัดคูยางเป็นประธาน โดยได้ใช้ปัจจัยจำนวน 60,000 บาท ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีทรงถวายไว้ในคราวถวายผ้าพระกฐินต้น ที่วัดคูยาง เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2515 เป็นทุนเริ่มต้น โดยทางวัดคูยาง ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ผู้บริจาคทรัพย์สมทบโดยใช้คำว่าโดยเสด็จพระราชกุศล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอนุโมทนา เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาใหม่ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2524
ครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2521 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาพระราชทานธงประจำรุ่นลูกเสือชาวบ้าน ของอำเภอต่างๆในจังหวัดกำแพงเพชรจำนวน 117 รุ่น ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อพระราชทานธงประจำรุ่นลูกเสือชาวบ้านแล้วทรงพระราชทานพระบรมราโชวาท ต่อลูกเสือชาวบ้านและพสกนิกรที่มารับเสด็จ เมื่อเสร็จสิ้น
 พิธีการทรงเสด็จพระราชดำเนิน เยี่ยมเยียนราษฎรที่เข้าเฝ้ารับเสด็จฯ ในบริเวณนั้น จำนวนมากมาย ในขณะนั้น ประชาชน บ้านกิโลสอง บ้านกิโลสาม และบ้านกิโลหก และชาวบ้านใกล้เคียงในเขตอำเภอเมืองกำแพงเพชร ได้กราบทูลขอพระราชทาน ให้ทรงช่วยเหลือจัดหาน้ำให้เพื่อใช้ในการเพาะปลูกและในการอุปโภคและบริโภคได้ตลอดปี
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้กรมชลประทานพิจารณาวางโครงการพระราชดำริเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2521 ซึ่งในปัจจุบันประชาชน ทั้งหมดมีคลองชลประทาน ไปถึงหน้าบ้านและเรือกสวนไร่นาของประชาชน ทุกหนแห่ง สร้างความชื่นชมของชาวบ้านที่มีต่อพระองค์อย่างมิรู้คลาย
 การเสด็จกำแพงเพชรทั้งสามครั้งแม้เป็นเหตุการณ์ที่ ผ่านไปนานแสนนานแล้วก็ตาม แต่ประชาชนชาวกำแพงเพชร ทุกคนที่ได้ชมพระบารมี เมื่อไปสัมภาษณ์แต่ละท่าน ทุกท่านยังประทับใจในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างไม่ลืมเลือน เพราะชาวกำแพงเพชร
 จะอยู่ใต้ร่มฟ้ามหาบารมี ของพระองค์ตลอดตราบนิจนิรันดร์ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

 ทุกรอยพระ ยุคลบาท ประกาศก้อง กำแพงเพชร ทั้งผอง ร่วมสรรเสริญ
 ทรงปลูกสุข ดับทุกข์ ไทยจำเริญ ทอดพระเนตร บาทดำเนิน ทั่วแผ่นดิน
 พระการุณ ทั้งสามครา มาปรากฏ กำแพงเพชร เลอยศ ทั่วทุกถิ่น
 ดั่งฝนโปรย ดับร้อน ชนยลยิน ทุกชีวิน ใต้ร่มฟ้ามหาบารมี
      
                  สันติ อภัยราช 


 



บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!