จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
เมษายน 17, 2024, 02:08:56 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10
 81 
 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2021, 09:37:04 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
ฮืมฮืมฮืมฮืม

ขอกราบถวายมุฑิตาสักการะ ในโอกาสที่

พระราชวชิรเมธี (หลวงตาเอก) ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
รองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร รูปที่ 1
เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง
ตำบลนครชุม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร

ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร

ฮืมฮืมฮืมฮืม

พระราชวชิรเมธี (วีระ วรปญฺโญ ป.ธ.9,ผศ.ดร.)
 
เกิด  6 กรกฎาคม พ.ศ.2502
(หมายเหตุ ที่จริงท่านเกิด 12 สิงหาคม พ.ศ.2502 แต่ไปแจ้งทางอำเภอทำพลาด จึงเลยตามเลย ข้อมูลจากท่าน บอกผู้บันทึกเอง)
อายุ 62 ปี
อุปสมบท 22 มีนาคม พ.ศ.2522
พรรษา 43
วัด วัดพระบรมธาตุ
ท้องที่ ตำบลนครชุม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
สังกัด มหานิกาย
วุฒิการศึกษา น.ธ.เอก, ป.ธ.๙, พ.ม., น.บ., พธ.บ., ศษ.บ., อ.ม., กศ.ด., พธ.ด.

ชาติภูมิ
พระราชวชิรเมธี มีนามเดิมว่า วีระ ภูมิเมือง เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2502 นามบิดา นายทวี ภูมิเมือง นามมารดา นางบาง ภูมิเมือง บ้านเลขที่ 60 หมู่ที่ 5 ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร

อุปสมบท
อุปสมบท เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2522 ณ พัทธสีมา วัดสุวรรณาราม ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร โดยมี เจ้าอธิการประสิทธิ์ เตชวโร (พระครูวชิรวราภรณ์ เจ้าคณะอำเภอลานกระบือ) วัดราษฎร์บูรณะ ตำบลวังตะแบก อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร เป็นพระอุปัชฌาย์

การศึกษา
พ.ศ.2511 สำเร็จการศึกษาชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านคุยป่ารัง ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร
พ.ศ.2522 สอบได้ นักธรรมชั้นตรี วัดสุวรรณาราม สำนักเรียนคณะจังหวัดกำแพงเพชร
พ.ศ.2523 สอบได้ นักธรรมชั้นโท วัดสุวรรณาราม สำนักเรียนคณะจังหวัดกำแพงเพชร
พ.ศ.2524 สอบได้ นักธรรมชั้นเอก สำนักศาสนศึกษาวัดโพธาราม สำนักเรียนคณะจังหวัดนครสวรรค์
พ.ศ.2525 สอบได้ เปรียญธรรม 3 ประโยค สำนักศาสนศึกษาวัดโพธาราม สำนักเรียนคณะจังหวัดนครสวรรค์
พ.ศ.2529 สอบไล่ได้ ประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) โรงเรียนนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
พ.ศ.2530 สอบได้ เปรียญธรรม 6 ประโยค สำนักเรียนวัดราชบูรณะ แขวงวังบูรพาภิรมณ์ เขตพระนคร กรุงเทพ ฯ
พ.ศ.2533 สอบได้ ประกาศนียบัตรประโยคครูพิเศษมัธยม (พ.ม.)
พ.ศ.2533 สอบได้ เปรียญธรรม 9 ประโยค สำนักเรียนวัดราชบูรณะ แขวงวังบูรพาภิรมณ์ เขตพระนคร กรุงเทพ ฯ
พ.ศ.2534 สำเร็จ ปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประถมศึกษา (ศษ.บ.) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นนทบุรี
พ.ศ.2536 สำเร็จ ปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศาสนา (พธ.บ.) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ.2539 สำเร็จ ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ (อ.ม.) มหาวิทยาลัยมหิดล
พ.ศ.2552 สำเร็จ ปริญญาการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา (กศ.ด.) มหาวิทยาลัยนเรศวร
พ.ศ.2558 สำเร็จ ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (พธ.ด.) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ.2561 สำเร็จ ปริญญานิติศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ (น.บ.)

ตำแหน่ง ฝ่ายปกครอง
พ.ศ.2540 เป็น ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพธาราม พระอารามหลวง
พ.ศ.2544 เป็น ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง
พ.ศ.2545 เป็น เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง
พ.ศ.2546 เป็น พระอุปัชฌาย์ วิสามัญ รองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร

ฝ่ายการศึกษา
พ.ศ.2539 เป็น อาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์
พ.ศ.2542 เป็น อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษาวัดโพธาราม โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา
พ.ศ.2542 เป็น รองผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์
พ.ศ.2543 - 2546 เป็น ประธานกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ 7
พ.ศ.2559 เป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์
พ.ศ.2560 เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์
พ.ศ.2561 เป็น ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิชาการ วิทยาเขตนครสวรรค์
สมณศักดิ์
พ.ศ.2533 เป็น เปรียญธรรม 9 ประโยค
5 ธันวาคม พ.ศ.2544 เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ที่ พระศรีวชิราภรณ์
5 ธันวาคม พ.ศ.2553 เป็น พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชวชิรเมธี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
และ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เป็น รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร

⏰จันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
ฮืม?By Mickysun

 82 
 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2021, 10:53:33 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
พระธรรมภาณพิลาสล้ำ        สาธุการ
จริยาวัตรเจริญฌาณ            เพริศฟ้า
เจ้าคณะภาคสี่ขาน               ภูมิยิ่ง   ยลนา
เจิดกำแพงแกร่งกล้า           กราบได้สนิทคง

 83 
 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2021, 06:58:57 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
บันทึกคุณอาทิตย์ สุวรรณโชติ

ร่วมพิธีบรรจุศพพระนักพัฒนาชาวกำแพงเพชร
พระครูถาวรวชิรสาร (ทูล ฐานทตฺโต นิลรัตน์)
อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม ตำบลท่าไม้ อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร
ชาตะ วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2473
มรณภาพ วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2564
อายุ 91 ปี พรรษา 47
เมื่อวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564  เวลา 14.00 น.ที่วัดอินทาราม ตำบลท่าไม้ อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร นายสุรสิทธิ์(กำนันตู้) วงศ์วิทยานันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พร้อมด้วย นายเพชรภูมิ  อาภรรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดกำแพงเพชร เขต2 ,ดร.เสริมวุฒิ  - นางอมรรัตน์  สุวรรณโรจน์ ประธานบริษัท เฉาก๊วยชากังราว จำกัด (ซึ่งเป็นศิษย์เอกและโยมอุปถากในตัวหลวงพ่อทูล เป็นประธานดำเนินการ) พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และพุทธศาสนิกชนชาวบ้านร่วมพิธีจำนวนมาก โดยมี พระวิเชียรมุนี (ผดุงกิจ กิตฺติธโร)  วัดพัฒนราษฎร์บำรุง ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร  ประธานในพิธีวางผ้าไตร มหาบังสุกุล และ นายเชาวลิตร  แสงอุทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานพิธีบรรจุศพ (วางทราย) พระครูถาวรวชิรสาร (หลวงพ่อทูล  ฐานทตฺโต) อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม ตำบลท่าไม้  อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งมรณภาพ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2564   และเคลื่อนศพ ไปไว้ที่วิหารแก้ว วัดอินทาราม ต่อไป
ประวัติ พระครูถาวรวชิรสาร (หลวงพ่อทูล ฐานทตฺโต)
อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม ต.ท่าไม้ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร
ประวัติชาติภูมิ
พระครูถาวรวชิรสาร (หลวงพ่อทูล ฐานทตฺโต) นามสกุล นิลรัตน์ เกิดเมื่อ วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2473 ณ บ้านทำไม้ หมู่ที่ 10 ต.ท่าไม้ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร เป็นบุตรของพ่อเคลือบ - แม่ส้มลิ้ม นิลรัตน์ มีพี่น้องรวม 4 คน ดังนี้
1. นายเสริม นิลรัตน์ เสียชีวิตแล้ว
2. พระครูถาวรวชิรสาร (ทูล ฐานทตุโต) นามสกุล นิลรัตน์
3. นายวิสุทธิ์ กัลปา เสียชีวิตแล้ว
และ 4. นายเสน่ห์ กัลปา เสียชีวิตแล้ว
ประวัติด้านการศึกษาในวัยเยาว์ หลวงพ่อทูล ฐานทตุโต นามสกุล นิรัตน์ เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนบ้านท่าไม้ ต.ท่าไม้ อ.พร้านกระต่าย จ.กำแพงเพชร ในราวปี พ.ศ. 2483
ประวัติด้านการประกอบอาชีพและการอุปสมบท
เมื่อหลวงพ่อเรียนจบระดับชั้นประถมศึกษาแล้วจึงออกมาประกอบอาชีพกสิกรรม ทำนา ทำไร่ และเมื่ออายุครบบวชจึงได้อุปสมบทตามประเพณีที่วัดอินทาราม ได้หนึ่งพรรษาจึงลาสิกขามาประกอบอาชีพการงานเลี้ยงดูบิดา - มารดาด้วยความขยันขันแข็ง และได้สมรสกับ นางแกะ พนัส มีบุตรธิดา 2 คน คือ นายมุย นิลรัตน์ และนางปาน นิลรัตน์ และในราวปี พ.ศ. 2503 ท่านได้สมัครเข้าทำงานเป็นนักการการโรง ที่โรงเรียนบ้านท่าไม้ ท่านปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความขยันขันแข็งจนเป็นที่กล่าวถึงของบุคคลทั่วไป ต่อมาใน พ.ศ.2516 ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ที่มีแต่การคำเนินชีวิตที่หมุนเวียนไปมา เมื่อบุตรทั้งสองได้เติบโตพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ท่านจึงตัดสินใจกลับมาบวชในพระบวรพระพุทธศาสนาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2517 ณ วัดกุฏิการาม อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร โดยมีพระครูวชิรปัญญาคุณ (หลวงพ่อจวบ ปญฺญาคโม)เป็นพระอุปัชฌาข์ พระใบฎีกาจำรัส ติสฺสเทโว  วัคไตรภูมิ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระดำรงค์ศักดิ์ ธมฺมกาโม(พระครูวิศาลวัชรกิจ) วัดกุฏิการาม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และจำพรรษาที่วัดอินทาร าม และต้องรับหน้าที่รักษาการแทนเจ้าอาวาสตั้งแต่พรรษาแรก เนื่องจากไม่มีพระสงฆ์ที่มีพรรษามากกว่าและได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ.2523 ในปี พ.ศ. 2548 ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูถาวรวชิรสาร เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2548 ปฏิบัติหน้าที่ เจ้าอาวาสวัดอินทาราม ต.ท่าไม้อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร
ประวัติด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมและส่งเสริมพระสงฆ์ สามเณรให้ศึกษา ฯ
ปี พ.ศ.2518 สอบได้นักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนวัดอินทาราม ต. ท่าไม้ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร
ปี พ.ศ.2519 สอบได้นักธรรมชั้นโท สำนักเรียนวัดอินทาราม ต. ท่าไม้ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร
ปี พ.ศ.2520 สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนวัดอินทาราม ต. ท่าไม้ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร
หลวงพ่อยังได้ส่งเสริมให้พระสงฆ์และสามเณรศึกษาด้านพระปริยัติธรรม โดยเข้าสอบในสนามหลวงทุกปีและได้ส่งไปศึกษาต่อที่ต่างจังหวัด เช่น วัดโพธาราม จังหวัคนครสวรรค์ เป็นต้น
ประวัติด้านอุปนิสัยของหลวงพ่อ
หลวงพ่อเป็นพระนักพัฒนา ขยันขันแข็ง พูดน้อยและสันโดษ มีเมตตากับบุคคลทั่วไป ทำงานสิ่งใดท่านจะมีความมุ่งมั่นอย่างจริงจังจนกว่างานจะสำเร็จ อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรให้อยู่พระธรรมวินัย นอกจากนั้นท่านยังอบรมธรรมะ สั่งสอนชาวบ้านในทุกเช้าก่อนสว่างในวันพระอยู่เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จนท่านอายุมากแล้วจึงมอบให้พระสงฆ์รูปอื่นพูดอบรมแทนท่าน
นอกจากนั้นท่านยังเป็นพระสงฆ์ที่ชอบศึกษาธรรมะ โดยสอบ นักธรรมชั้นตรี โท และเอกได้ในพรรษาต้นๆ และยัได้ศึกษาตำราคัมภีร์โบราณ ยันต์ ภาษาขอม และตำราคาถาอาคมของลุงถ้วย มณีเขียว ซึ่งตำราปัจจุบันยังเก็บรักษาไว้ที่วัดอินทาราม และหลวงพ่อได้ใช้ตำรานี้ในการชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือจากท่านโดยเท่าเทียมกัน
ประวัติด้านการพัฒนาวัด และชุมชน
ปี พ.ศ.2519 ได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาการเปรียญ  ที่สร้างยังไม่แล้วเสร็จจนสมบูรณ์และมีการฉลองยกช่อฟ้า
ปี พ.ศ.2520 ได้ดำเนินการบูรณะซ่อมแซมอุโบสถหลังเก่า ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้านประมาณสามหมื่นบาทเศษ
ปี พ.ศ.2528 ได้ดำเนินการบูรณะซ่อมแซมวิหารหลังเก่า ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้านประมาณสองแสนบาทเศษ
ปี พ.ศ.2536 ได้ดำเนินการก่อสร้างเมรุเผาศพ ด้วยเงินบริจากของชาวบ้านและบุคคลทั่วไปใช้ประมาณก่อสร้างประมาณสามแสนบาทเศษ
ปี พ.ศ.2537 ได้ดำเนินการบูรณะซ่อมแซมมณฑปหลังเก่า ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้าน
ประมาณหนึ่งแสนบาทเศษ
ปี พ.ศ.2540 ได้ดำเนินการสร้างซุ้มประตูด้านทิศเหนือ ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้านประมาณห้าหมื่นบาทเศษ
ปี พ.ศ.2541 ได้ดำเนินการสร้างสะพานข้ามกลองแม่ระกา หมู่ที่ 10 บ้านคลองสงกรานต์ ต.ท่าไม้ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้านประมาณสองหมื่นบาทเศษ
ปี พ.ศ.2543 ได้ดำเนินการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ ทดแทนอุโบสถหลังเก่าซึ่งทรุดโทรมยากแก่การบูรณะซ่อมแซม ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้านและบุคคลทั่วไป
ปี พ.ศ.2546 ได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้าน และบุคคลทั่วไปประมาณสองล้านบาทเศษ
ปี พ.ศ.2550 ได้ดำเนินการก่อสร้างกุฏิสงฆ์แบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้านและบุคคลทั่วไปประมาณสองแสนบาทเศษ
ปี พ.ศ.2552 ได้ดำเนินการก่อสร้างหอระฆังแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก โคยมีคุณเสริมวุฒิ - คุณอมรรัตน์ สุวรรณโรจน์ บริษัทเฉาก๊วยชากังราว เป็นเจ้าภาพและมีชาวบ้านร่วมบริจาค
ปี พ.ศ.2554  ได้ดำเนินการก่อสร้างกุฏิเจ้าอาวาสแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้านและบุคคลทั่วไปประมาณสองล้านบาทเศษ
ปี พ.ศ.2555 ได้ดำเนินการก่อสร้างซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก ด้วยเงินบริจาคของชาวบ้านและบุคคลทั่วไปใช้เงินประมาณสองแสนบาทเศษ
ปี พ.ศ.2556 ได้ดำเนินการก่อสร้างวิหารหลังใหม่ โคยมีคุณเสริมวุฒิ - คุณอมรรัตน์ สุวรรณโรจน์ บริษัทเฉาก๊วยชากังราว เป็นเจ้าภาพและมีชาวบ้านร่วมบริจาค ใช้งบประมาณก่อสร้าง ประมาณ 10 ล้านบาทเศษ
ปี พ.ศ.2559 ได้ดำเนินการก่อสร้างกูฏิสงฆ์แบบคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยมีคุณเสริมวุฒิ - คุณอมรรัตน์ สุวรรณโรจน์ บริษัทเฉาก๊วยชากังราว เป็นเจ้าภาพและมีชาวบ้านร่วมบริจาค ใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 3 ล้านบาท
ปี พ.ศ.2560 ได้ดำเนินการซื้อที่ดินด้านหลังวัดเพิ่มเติม ให้เป็นสมบัติของวัดด้วยเงินบริจาค ของ นายสุรสิทธิ์(กำนันตู้) วงศ์วิทยนันท์ และคุณเสริมวุฒิ-คุฌอมรรัตน์ สุวรรณโรจน์ เป็นเจ้าภาพ
ปี พ.ศ.2563 ได้บริจากเงินให้กับโรงพยาบาลพรานกระต่าย 100,000 บาท เดื้อจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์
ปี พ.ศ.2563 ได้บริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าไม้ 200,000 บาท เพื่อจัดสร้างห้องฉุกเฉินและเครื่องมือแพทย์
นอกจากนั้น หลวงพ่อยังได้บริจาคทุนการศึกษาให้กับนักเรียนและบริจาคเงินให้กับผู้สูงอายุในงานวันอายุวัฒนมงคลของท่านเป็นประจำทุกปี
ประวัติด้านการนำพระสงฆ์ สามเณรและชาวบ้านพัฒนาวัด
วัดอินทาราม เป็นเก่าที่มีประวัติการก่อสร้างมาหลายร้อยปี ในช่วงก่อนหลวงพ่ออุปสมบทวัดมีความทรุดโทรมเป็นอย่างมากไม่มีพระสงฆ์ที่มีพรรษามากพอที่จะเป็นหัวหน้าได้ มีแต่พระบวชใหม่เพียง 2-3 รูป ญาติโยมจึงต้องพากันไปขอความอนุเคราะห์จากหลวงพ่อพระครูวชิรปัญญาคุณ (หลวงพ่อจวบ) วัดกุฏิการาม เจ้าคณะอำเภอพรานกระต่ายในสมัยนั้น เพื่อขอพระสงฆ์จากวัดกุฏิการาม มาจำพรรษาที่วัดอินทาราม หลวงพ่อพระครวชิรปัญญาคุณ(หลวงพ่อจวบ) จึงได้ส่งคณะสงฆ์จำนวนหนึ่งประมาณ 4-5 รูป มาอยู่จำพรรษาและเป็นหัวหน้าพระสงฆ์อยู่ระยะหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อทูล ฐานทตฺโต ได้อุปสมบทในต้นปี พ.ศ.2517 พระสงฆ์ที่มาจากวัดกุฏิการาม จำเป็นต้องไปศึกษาพระธรรมต่อที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงได้มอบหมายภารกิจดูแลวัดอินทารามให้กับหลวงพ่อทูล ฐานทตฺโต ดูแลต่อในขณะที่หลวงพ่อเพิ่งจะบวชใหม่ยังมิได้พรรษาแต่เนื่องจากคณะสงฆ์และญาติโยมเห็นว่าหลวงพ่อเป็นคนในท้องถิ่นและมีความเหมาะสมที่จะดูแลวัดให้เจริญรุ่งเรืองได้
หลังจากหลวงพ่อได้อุปสมบทและรับภาระดูแลวัดอินทาราม จากหลวงพ่อ พระครูวชิรปัญญาคุณ(หลวงพ่อจวบ) พระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อทูล ได้นำพาพระสงฆ์ สามเณรและชาวบ้าน พัฒนาวัดอินทาราม อย่างขันแข็งไม่ย่อท้อทำให้วัดที่ทรุดโทรมได้รับพัฒนารุ่งเรืองให้มีความเหมาะสมสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นกูฏิสงฆ์ โบสถ์ วิหารลานเจดีย์ อีกทั้งศาลาการเปรียญ ก็ยังสร้างค้างไว้ยังไม่เสร็จ หลวงพ่อก็นำสร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์ ด้วยความขยันขันแข็งอดทน และบางอย่างท่านสร้างด้วยตนเอง เช่น การสร้างหอระฆังสร้างด้วยเสาไม้ต่อกันหลายต้นหลวงพ่อทูลขึ้นมุงหลังคาด้วยตนเองซึ่งในขณะนั้นหลวงพ่อก็มีอายุมากแล้ว แต่ไม่มีใครที่สามารถขึ้นไปมุงหลังคาได้ ไม่ว่าหลวงพ่อท่านจะออกปากว่าจะสร้างสิ่งใด ชาวบ้านจะร่วมกันบริจาคเงินคนละเล็ก คนละน้อย ช่วยสร้าง
สำเร็จลงได้ เพราะเห็นในความตั้งใจจริงของท่าน
หลวงพ่อทูล ฐานทตฺโต ท่านเป็นพระนักพัฒนาที่เน้นให้วัดมีความสะอาด ในทุกวันท่านจะนำพระสงฆ์ สามเณร กวาดลานวัดให้สะอาดอยู่เสมอ จนเป็นที่รู้กันไปทั่วหรือแม้แต่ในวงการพระสงฆ์ต่างก็พูดถึงและยอมรับกันว่าวัดอินทาราม ของหลวงพ่อทูลเป็นวัดที่สะอาด สวยงามเป็นแบบอย่างให้กับวัดอื่นๆได้ มาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติด้านการอาพาธหรือเจ็บป่วย
ในระยะ 2-3 ปีมานี้ หลวงพ่อมีอาการอาพาธอยู่บ่อยครั้ง ลูกศิษย์และญาติโยมได้นำหลวงพ่อเข้ารักษาที่โรงพยาบาลกำแพงพชร และเมื่อหายดีแล้วจึงกลับมาพักฟื้นอยู่ที่วัดอินทาราม และฉันยาตามแพทข์สั่งอย่างสม่ำเสมอ โดยมีพระสงฆ์และญาติโยมอยู่อุปัฎฐากตลอดเวลา จนถึงคืนวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เวลาประมาณส 23.20 น. หลวงพ่อได้เรียกพระสงฆ์และญาติโยมที่นอนเฝ้าอยู่ด้านนอกให้เข้าไปหา แต่หลวงพ่อมิได้สั่งเสียสิ่งใดไว้ และละสังขารด้วยอาการอันสงบ ด้วยโรคชรา เมื่อเวลา 23 28 น. ของคืนวันที่ 3 พฤษกาคม พ.ศ.2564 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 6 ปีฉลู สิริรวมอายุได้ 91 ปี พรรษา 47

ฮืมฮืมฮืมฮืม
By Mickysun

 84 
 เมื่อ: เมษายน 09, 2021, 08:35:22 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
แด่แม่ ส่งเสริม ถมเถื่อน
        โอ้เดือนดับ ลับล่วง อีกดวงแล้ว                        ดั่งดวงแก้ว อาสาสมัคร . จักลับแสง
เสียสละ ให้สังคม ระดมแรง                                     ทุกหนแห่ง รู้จัก  และรักเธอ
      ยอด อสม. เมืองกำแพง กล้าแกร่งนัก                   พี่น้องรัก   คุณความดี  สม่ำเสมอ
ทำงานหนัก ประจักษ์จิต ได้เจอะเจอ                          เธอเสนอ สนองงาน  อย่างมั่นใจ
     แม่ส่งเสริม ถมเถื่อน ไม่เลือนจาก                        แม้กรรมพราก  จากคนรัก ไม่สดใส
เธอขยัน อาสางาน ท่วมฤทัย                                     อยู่กลางใจ คนรู้จัก ต้องรักนาง
     เอื้ออาทร สอนงาน เธอสานต่อ                             มีความสุข ได้จุนเจือ เธอถากถาง
งานยากง่าย เธอเต็มใจ ไม่จืดจาง               ไม่เคยว่าง ขยันอาสา น่านิยม
     เป็นหัวหน้า  แม่ค้า ตลาดศูนย์                              เธอเกื้อกูล ดูแล อย่างเหมาะสม
ทุกคนรัก  ปรับทุกข์สุข รับอารมณ์                              ชาวตลาด ชื่นชม  น้ำใจจริง
     แล้วฟ้าพราก เธอจากไป ให้เศร้าแสน                     ไปสู่แดน  สุขาวดี  มีทุกสิ่ง
เธอคือเดือน ที่ดับไป ไม่ประวิง                                   เป็นความจริง มิใช่ฝัน พลันจากไป
     ขอเธอสู่ สวรรค์  อาสาสมัคร                                        เทพพิทักษ์ ความดีงาม ที่สดใส
เสวยสุข เสวยอาสา นิรันดร์ไป                                   ทุกดวงใจ  ยังรัก ตระหนักเธอ

     


 85 
 เมื่อ: เมษายน 01, 2021, 09:36:02 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
กว่าจะมาเป็น คณฑี เทพนคร
ภาคที่ ๑ อดีตเมื่องเอกราช

ถิ่นกำเนิดพ่อขุนศรี      ปราสาทเก่าเจ็ดร้อยปี           คณฑี เมืองโบราณ
                                           เล่าขานพระพุทธลีลา          กราบวันทาหลวงพ่อโต

ี           ตำบลคณฑี หรือตำบลบ้านโคน หรือ เมืองคณฑี เมืองที่ยิ่งใหญ่ ในอดีตมีคำขวัญประจำตำบลที่นำเสนอเอกลักษณ์ของตำบลอย่างชัดเจนคือ       
ถิ่นกำเนิดพ่อขุนศรี
 ปราสาทเก่าเจ็ดร้อยปี
คณฑี เมืองโบราณ
เล่าขานพระพุทธลีลา
 กราบวันทาหลวงพ่อโต
ถิ่นกำเนิดพ่อขุนศรี
 
มีหลักฐานชัดเจนจากชินกาลมาลีปกรณ์ ว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มีกำเนิดที่บ้านโคน ยังมีชายคนหนึ่ง(จันทราชา)รูปงามมีกำลังมาก ท่องเที่ยวอยู่ในป่า มีนางเทพธิดาองค์หนึ่ง(สาวชาวบ้านเมืองคณฑี)เห็นชายคนนั้นแล้ว ใคร่ร่วมสังวาสด้วยจึงแสดงมารยาหญิง ชายคนนั้นก็ร่วมสังวาสกับนางเทพธิดาองค์นั้น เนื่องจากการร่วมสังวาสของทั้งสองคนนั้นจึงเกิดบุตรชายคนหนึ่ง และบุตรชายคนนั้นมีกำลังมาก รูปงาม เพราะฉะนั้น ชาวบ้านทั้งปวงจึงพร้อมใจกันทำราชาภิเษกบุตรชายคนนั้น บุตรชายซึ่งครองราชย์สมบัติในเมืองสุโขทัยนั้น ปรากฏพระนามในครั้งนั้นว่า โรจราช ภายหลังปรากฏพระนามว่าพระเจ้าล่วง (ร่วง)
ปราสาทเก่าเจ็ดร้อยปี
 

ซึ่งหมายถึง สิ่งก่อสร้างคล้ายพระเจดีย์ทรงปราสาท ภายในวัดปราสาท เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองคณฑี ปราสาท ที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง วันดีคืนดี มีพระพุทธรูปทองคำออกมาจากปราสาท ซึ่งแสดงปาฏิหาริย์ให้ชาวบ้านพบเห็นเนืองๆเป็นที่สักการะของชาวกำแพงเพชรและชาวจังหวัดใกล้เคียง
คณฑีเมืองโบราณ
ซึ่งหมายถึง เมืองคณฑีเป็นเมืองยุคแรกๆของกำแพงเพชร ตามตำนานเมืองเหนือกล่าวไว้ว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงสุโขทัย เสด็จไปจากบ้านโคน หรือเมืองคณฑี แสดงว่า เมืองคณฑีนี้เก่าแก่กว่าสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองมาก่อนกรุงสุโขทัย นับร้อยปี ทำให้ชาวบ้านโคนภูมิใจในบรรพบุรุษจึงนำมาเป็นคำขวัญประจำเมือง



เล่าขานพระพุทธลีลา
 
 ที่เมืองคณฑีมีพระพุทธรูปลีลา ปางประทานพร ขนาดใหญ่สูงถึง 1.50เมตรมีพุทธลักษณะที่งดงามมาก เชื่อกันว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ประดิษฐานที่ วัดปราสาทมาช้านาน แม้จะถูกโจรกรรมไป ด้วยอภินิหารของพระพุทธลีลา ทรงเสด็จกลับมาประดิษฐานที่วัดปราสาทดังเดิม


กราบวันทาหลวงพ่อโต
 
 หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปสำคัญ ในวิหารวัดปราสาท ทรงความศักดิ์สิทธิ์และศรัทธายิ่งแก่ประชาชน เป็นที่พึ่งทางจิตใจ เมื่อสังเกตดูให้ดีพระพุทธรูปหลวงพ่อโต ได้มีปูนฉาบไว้ภายนอก องค์จริงน่าจะเป็นทองสัมฤทธิ์ ที่มีพุทธลักษณะงดงามมากประชาชนพากันมากราบไหว้มิได้ขาด
เมืองคณฑี จึงมีคำขวัญที่อธิบายเรื่องราวของบ้านเมืองไว้อย่างชัดเจนยิ่งนัก........เมืองคณฑีมีประวัติความเป็นมาที่พิสดารยิ่ง เกินพรรณนา เมืองคณฑี เป็นชุมชนโบราณ ที่ไม่มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของลำน้ำปิง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มหาวชิราวุธ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จมาเมืองกำแพงเพชรครั้งที่ 2 เมื่อปี 2450 ทรงกล่าวถึงชุมชนบ้านโคนว่า
คงเป็นเมืองมาแต่โบราณ แต่หาคูหรือเชิงเทินและกำแพงไม่ได้ วัดเก่าที่อยู่ในบริเวณนี้คือวัดกาทึ้ง มีสิ่งก่อสร้างสำคัญ อุโบสถก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่ ถัดจากอุโบสถไปทางทิศตะวันออก เป็น
วิหารที่มีขนาดใหญ่กว่า ก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่เช่นเดียวกัน พระประธานภายในวิหารมีพระพุทธรูปเป็นพระพุทธรูปหมวดเมืองกำแพงเพชร ตามโคกเนิน พบเศษภาชนะดินเผา แบบธรรมดาและแบบเผาไม่แกร่ง ไม่เคลือบ และเครื่องเคลือบแบบสุโขทัย ชุมชนโบราณบ้านโคนนี้ เชื่อกันว่าน่าจะเป็นเมืองคณฑี ตามที่กล่าวไว้ในจารึกหลักที่ 1 ว่าเมืองหัวนอน รอดคณฑี พระบาง นอกจากนี้ยังมีตำนานเกี่ยวกับบรรพบุรุษของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์อีกด้วย
ตามตำนานเมืองเหนือ กล่าวว่า ที่บ้านโคน มีชายรูปงาม รูปร่างใหญ่โต แข็งแรง ได้เป็นที่พอใจของนางเทพธิดา จึงได้ร่วมสังวาสด้วย จึงเกิดบุตรชายที่สง่างาม มีบุญยิ่ง ชื่อโรจราช ได้ไป
เป็นกษัตริย์องค์แรกของเมืองสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จึงน่าจะมาจากเมืองคณฑี หรือบ้านโคนแห่งนี้
เมืองคณฑี เป็นเมืองใหญ่ มาก่อนเมืองใดๆในลุ่มน้ำปิง ดังจารึกหลักที่ 1 ที่กล่าวถึงอาณาจักรสุโขทัยว่า ทิศใต้ ได้เมืองคณฑี ดังความว่า
สุโขทัยมีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออก รอดสระหลวง สองแคว ลุมบาจาย
สคา เท้าฝั่งของ เถิงเวียงจันทร์ เวียงคำเป็นที่แล้ว เบื้องหัวนอน รอดคณฑี พระบาง แพรก สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ศรีรรมราช ฝั่งมหาสมุทรเป็นที่แล้ว…………….
ในจารึกหลักที่ 3 กล่าวถึงเมืองคณฑี ตั้งตนเป็นใหญ่ประกาศอิสรภาพ ตอนที่พญาลิไท เสด็จมาเมืองกำแพงเพชร ในปี พ.ศ. 1900 ประกาศตนเป็นเอกราช มีเจ้าผู้ครองนครของตน ความว่า
……….. หาเป็นขุนหนึ่ง เมืองคณฑีพระบาง หาเป็นขุนหนึ่ง เมืองเชียงทอง หาเป็นขุนหนึ่ง เมืองบางพานหาเป็นขุนหนึ่ง จากนั้นเมืองคณฑี แทบจะหายไป จากประวัติศาสตร์
จากการสำรวจครั้งสุดท้าย ปี 2549 เมืองคณฑี ที่มีที่ตั้งบริเวณวัดกาทึ้ง น่าใช้ลำคลองกาทึ้งเป็นคูเมืองป้องกัน อาจใช้ไม้เป็นระเนียด แทนแนวกำแพงเมือง หรือมีแนวกำแพงเมืองแต่ร้างไปนาน จึงทำให้ กำแพงเมืองซึ่งเป็นกำแพงดิน สลายตัวไปตามสภาพ สภาพวัดกาทึ้งอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ถูกรุกที่ ไม่เห็นความสำคัญ ที่เป็นโบราณสถานที่มีอายุนานนับพันปี น่าเสียดายยิ่ง…
นอกจากวัดกาทึ้ง แล้ว ยังมีวัดปราสาท ที่เก่าแก่ใกล้เคียงกัน น่าจะมีอายุราวสมัยทวารวดี
จากการวิเคราะห์ สภาพโบราณสถาน โบราณวัตถุ พบซากโบราณสถานโบราณวัตถุจำนวนมาก
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งแต่พ.ศ. 2450 มีเจดีย์ทรงปราสาทที่เรียก กันว่าวัดปราสาท
ทำให้วัดนี้น่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิพิธภัณฑวัดปราสาท ที่งดงาม และมีโบราณวัตถุที่ยิ่งใหญ่มาก
โดยเฉพาะพระปางลีลา ที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
……. เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จผ่านวัดปราสาทว่า วันที่ 21 สิงหาคม 2449 ออกเวลา 2โมงเช้า 4โมงขึ้นเรือเหลือง
จนถึงบ้านโคน ซึ่งเดากันว่าเป็นเมืองเทพนคร แต่ไม่มีหลักฐานอันใด บ้านเรือนดี มีวัดใหญ่ เสาหงส์มากเกินปกติ……………
เมืองคณฑี จึงเป็นเมืองที่เก่าแก่ เสมอด้วยนครไตรตรึงษ์ เมืองเทพนคร เมืองคลองเมือง อายุกว่าพันปี จึงเป็นเมืองที่น่าศึกษายิ่ง ....
 ประวัติพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
                      ตามพงศาวดาร และคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์  ได้กล่าวไว้ว่าพ่อขุนศรี  อินทราทิตย์มีพระนามเต็ม  คือ  กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์  พระนามเดิม  พ่อขุนบางกลางหาว (ไม่ใช่  “กล่างท่าว”)  ทรงเป็นปฐมวงศ์ราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัย  ครองราชย์สมบัติ  ตั้งแต่  พ.ศ.  1782 - 1822 (30 ปี คำนวณศักราชจากคัมภีร์สุริยยาตรตามข้อเสนอของ  ศ.ประเสริฐ  ณ  นครและ  พ.อ.พิเศษ  เอื้อนมณเฑียรทอง)
 
                       เมื่อจุลศักราช 536 พระเจ้าสุริยราชา ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ได้ทรงตบแต่งซ่อมแซมแปลงเมืองพิจิตรปราการ(กำแพงเพชร)ขึ้นใหม่ครองราชย์สมบัติต่อไป มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่า สิริสุธาราชเทวี มีพระราชโอรสองค์หนึ่งด้วยพระอัครมเหสี ทรงพระนามว่าจันทกุมารพระเจ้าสุริยราชา เมื่อแรกได้ราชสมบัติพระชนม์ได้ 20 พรรษา อยู่ในราชสมบัติ 28 ปี เสด็จสวรรคตพระชนม์ได้ 47 พรรษา พระองค์ประสูติวันจันทร์ จุลศักราช 570 พระจันทกุมารราชโอรส ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ทรงพระนามว่า พระเจ้าจันทรราชาและตามพระราชพงศาวดารโยนก หน้า 80 วรรค 2 กล่าวไว้ว่ายังมีข้อความในหนังสือชินกาลมาลินี กล่าวถึงมูลประวัติของพระเจ้าโรจนราชผู้ได้ พระพุทธสิหิงค์มาจากศรีธรรมนครนั้นว่า บุรุษผู้หนึ่งหลงป่าที่บริเวณ บ้านโคณคาม(เข้าใจว่าบ้านโคนริมเมืองเทพนคร)และได้พบนางเทพธิดาแปลงเป็นมนุษย์(สาวชาวบ้านเมืองคณฑี)มาร่วมสมัครสังวาสเกิดบุตรได้มาเป็นเจ้ากรุงสุโขทัยทรงนามว่า โรจราช
                           ประวัติพระองค์ท่านจากคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์  หน้า  112-113  ตอนหนึ่งกล่าวถึงการประสูติของพระองค์ ได้ยินว่าที่บ้านโค  (บ้านโคน จังหวัดกำแพงเพชร  ในปัจจุบัน)  ยังมีชายคนหนึ่ง(จันทราชา)รูปงามมีกำลังมาก ท่องเที่ยวอยู่ในป่า  มีนางเทพธิดาองค์หนึ่ง(สาวชาวบ้านเมืองคณฑี)เห็นชายคนนั้นแล้ว  ใคร่ร่วมสังวาสด้วยจึงแสดงมารยาหญิง  ชายคนนั้นก็ร่วมสังวาสกับนางเทพธิดาองค์นั้น  เนื่องจากการร่วมสังวาสของทั้งสองคนนั้นจึงเกิดบุตรชายคนหนึ่ง  และบุตรชายคนนั้นมีกำลังมาก  รูปงาม  เพราะฉะนั้น  ชาวบ้านทั้งปวงจึงพร้อมใจกันทำราชาภิเษกบุตรชายคนนั้น  บุตรชายซึ่งครองราชย์สมบัติในเมืองสุโขทัยนั้น ปรากฏพระนามในครั้งนั้นว่า  โรจราช    ภายหลังปรากฏพระนามว่าพระเจ้าล่วง
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์  ทั้งหมดเชื่อได้ว่า  เมืองคณฑีโบราณ  หรือตำบลคณฑี
จังหวัดกำแพงเพชร  ในปัจจุบันนั้นอยู่ในอาณาจักร  สุโขทัย  เนื่องจากพระเจ้าสุริยราชา  (พระอัยกาของ  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ )  ครองราชย์สมบัติที่เมืองพิจิตปราการ  (เมืองกำแพงเพชร  ปัจจุบัน) หลังจากนั้นก็เสด็จสวรรคตและต่อมาพระจันทกุมารราชโอรส  (พระเจ้าจันทรราชา  พระราชบิดา  ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์)  ก็เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติต่อ  ระหว่างนี้เกิดปาฏิหาริย์หลายสิ่งมากมายจนกระทั่งได้มเหสีเป็นเชื้อชาตินางนาคกุมารี  และมีพระราชโอรสคือ  พระร่วง  (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์)  นั่นเอง  เพราะอีกเหตุผลหนึ่งที่น่าเชื่อถือคือ  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  หรือพระนามเต็ม กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์  ชินกาลมาลีปกรณ์  ว่า  บ้านเดิมของพระองค์อยู่ที่  “บ้านโคน ” ในจังหวัดกำแพงเพชร  พระองค์ทรงนำชนชาติไทยต่อสู้กับชนชาติขอมซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในสุวรรณภูมิ  อันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงกรุงสุโขทัยด้วย  ทรงได้ชัยชนะขอมและประกาศอิสรภาพ  ตั้งราชอาณาจักรสุโขทัย  ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรกและเป็นต้นราชวงศ์พระร่วง-             เป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย
ส่วนพระราชกรณียกิจที่สำคัญ
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เมื่อครั้งยังเป็นพ่อขุนบางกลางหาวได้ร่วมกับพ่อขุนผาเมือง  เจ้า  เมืองราด
แห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถมรวมกำลังพลกัน  กระทำรัฐประหารขอมสบาดโขลญลำพง  โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมือง  ศรีสัชนาลัย  และเมืองบางขลงได้  และยกทั้งสองเมืองให้พ่อขุนผาเมือง  ส่วนพ่อขุนผาเมืองตีเมืองสุโขทัยได้  ก็ได้มอบเมืองสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางหาว  พร้อมพระขรรค์ชัยศรีและยกพระกนิษฐา(นางเสือง)ให้เป็นมเหสีอีกด้วยส่วนพระนาม  “ศรีอินทรบดินทราทิตย์”  ซึ่งได้นำมาใช้เป็นพระนาม  ภายหลังได้กลายเป็น  ศรีอินทราทิตย์  โดยคำว่า “บดินทร” หายออกไป  เชื่อกันว่าเพื่อเป็นการแสดงว่ามิได้  เป็น  บดีแห่งอินทรปัต  คืออยู่ภายใต้อิทธิพลของเขมร  (เมืองอินทรปัต)  อีกต่อไป การเข้ามาครองสุโขทัยของพระองค์  ส่งผลให้  ราชวงศ์พระร่วง  เข้ามามีอิทธิพลในเขตนครสุโขทัยเพิ่มมากขึ้น  และได้แผ่ขยายดินแดนกว้างขวางมากออกไป  แต่เขตแดนเมืองสลวงสองแคว  ก็ยังคงเป็นฐานกำลังของราชวงศ์ศรีนาวนำถมอยู่ในกลางรัชสมัย  ทรงมีสงครามกับขุนสามชน  เจ้าเมืองฉอด  ทรงชนช้างกับขุนสามชน  แต่ช้างทรงพระองค์  ได้เตลิดหนีดังคำในศิลาจารึกว่า  “หนีญญ่ายพ่ายจแจ” ขณะนั้นพระโอรสองค์เล็ก  ทรงมีพระปรีชาสามารถ  ได้ชนช้างชนะขุนสามชนภายหลังจึงทรงเฉลิมพระนามพระโอรสว่า  รามคำแหงในยุคประวัติพ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์มีพระราชโอรสและพระธิดารวม  5 พระองค์  ได้แก่
1.       พระราชโอรสองค์โต  (ไม่ปรากฏนาม)  เสียชีวิตตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
2.       พ่อขุนบานเมือง
3.       พ่อขุนรามคำแหงมหาราช  (พระนามขณะที่ยังทรงพระเยาว์ไม่ปรากฏ)
4.       พระธิดา  (ไม่ปรากฏนาม)
5.       พระธิดา  (ไม่ปรากฏนาม)
วิธีการคิดปั้นรูปหล่อ(จินตนาการ)พ่อขุนศรีฯ
เมื่อเทียบเคียงวิเคราะห์ในแง่มุมต่างๆ ของหลักฐานที่มีอยู่ จัดแบ่งลำดับขั้นตอนความสำคัญที่มีลักษณะเด่นเฉพาะ โดยนำมาประมวลออกแบบสร้างสรรค์ให้เป็นรูปธรรมขององค์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งกำหนดลักษณะตามแบบอย่างพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงเครื่องพระอิสริยยศทรงจอมทัพไทย ประทับยืนทรงถือพระแสงขรรค์ชัยศรีด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้าง พระพักตร์ทอดพระเนตรเบื้องหน้าเสมือนกับทรงดูแลอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขขณะเดียวกันก็ยังคงดูลักษณะการประทับยืนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นท่าประทับยื่นที่สง่างามกว่าทุกพระองค์) ประกอบไปด้วย
                เมื่อได้ลักษณะของรูปแบบจากความคิดแล้วออกแบบเขียนภาพร่าง โดยคัดเลือกคนผู้เป็นหุ่นยืนเป็นแบบเพื่อดูลักษณะการยืน ดูกล้ามเนื้อ ดูโครงสร้างของร่างกายแต่ละส่วน เพื่อพิจารณาถึงรายละเอียดที่จะต้องแสดงให้ปรากฏออกมา ซึ่งจะต้องมีความเป็นพิเศษต่างจากบุคคลทั่วไป เพื่อให้มีภาพลักษณ์เป็นองค์พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ จากนั้นเป็นเรื่องของแบบเครื่องทรง
                  เครื่องทรงของแบบรูปปั้นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์พระวรกายตอนบนเป็นลักษณะเครื่องทรงแบบสุโขทัยโบราณ ทรงสวมพระมงกุฎทรงเทริด ยอดพระมงกุฎเป็นลวดลายกลับบัว 3 ชั้น
พระศอมีสร้อยพระศอ และพระกรองศอ สร้อยสังวาลพร้อมทับทรวงพระพาหุตอนบน ประดับ
พาหุรัด ข้อพระหัตถ์เป็นทองกร พระวรกายจากบั้นพระองค์ถึงพระบาททรงฉลองพระภูษายาวกรอบข้อพระบาท พร้อมคาดปั้นเหน่งทับและห้อยพระสุวรรณกันถอบด้านหน้าพระภูษาทรงด้านเปิดชายผ้าชั้นนอกซ้าย-ขวาลักษณะทิ้งชายผ้าให้พลิ้วเคลื่อนไหว ชายผ้าทั้งชั้นนอกและชั้นในเป็น
ลายกรวยเชิงประดับ และข้อพระบาทประดับทองบาท(กำไลเท้า) พร้อมฉลองพระบาท ทั้งนี้เพื่อต้องการให้พระบรมรูปมีลักษณะของฉลองพระองค์เป็นแบบมหากษัตริย์สมัยสุโขทัยโบราณตามที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้า












     ภาค๒ ก่อนถึงปัจจุบัน                   
    ผู้บุกเบิกบ้านโคนในยุคปัจจุบัน
บ้านโคนร้างมานานกว่า ห้าร้อยปี เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์   นายพวง  และนางปุย ได้เมาบุกเบิกบริเวณป่าบ้านโคน จนกำเนิดผู้นำคนสำคัญของบ้านคณฑี ตือ  กำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ ในระยะแรก ท่านได้พาญาติพี่น้องอพยพไปตั้งบ้านเรือนบริเวณไร่นาของบิดา ( บ้านโคนเหนือ ) ในตอนแรกที่อพยพไปมีครอบครัวตั้งอยู่ก่อนแล้วประมาณ 5 ครอบครัว  พอกำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ และญาติพี่น้องพร้อมกับคนงานเข้าไปสมทบก็ประมาณราวๆ 20 ครัวเรือน  กำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ เป็นคนที่มีที่ดินมากหลายร้อยไร่ ก็ชวนชาวบ้านในแถบอื่นๆ เข้ามาตั้งบ้านเรือนสมทบ โดยได้แบ่งที่ดินขายให้ราคาถูกเพื่อจะได้มีเพื่อนบ้านเพราะในสมัยนั้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุม มีการปล้นสะดมบ่อยครั้ง จะได้มีเพื่อนบ้านไว้คอยต่อสู้กับพวกผู้ร้าย  ต่อมาในบริเวณที่กำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ ไปตั้งถิ่นฐานชาวบ้านเรียกว่า “ บ้านโคนเหนือ “ซึ่งต่อมาท่านได้เป็นกำนันคนสำคัญของบ้านโคนมาเกือบ ๒๐ ปี คือกำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ นั่นเอง  ท่านมีส่วนสำคัญในการทำให้บ้านโคนเจริญรุ่งเรือง ขึ้นอย่างรวดเร็ว
 ต่อมาเมื่อความเจริญมากขึ้นประชากรมากขึ้น บ้านโคน จึงเมีการเปลี่ยนแปลงโดยแยกบ้านโคนเป็น  ๒ หมู่บ้าน คือบ้านโคนใต้และบ้านโคนเหนือ
บ้านโคนใต้  คือหมู่ที่ ๒ ตำบลคณฑี อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชรมีอาณาเขต
   ทิศเหนือ         ติดกับบ้านโพธิ์อำนวย
   ทิศใต้         ติดต่อกับบ้านท่าเสลี่ยง
   ทิศตะวันออก      ติดกับบ้านโพธิ์พัฒนา
           ทิศตะวันตก      ติดกับลำน้ำปิง
สภาพทั่วไปของหมู่บ้าน ห่างจากตัวเมืองกำแพงเพชร ไปทางทิศใต้ตามเส้นทางกำแพงเพชรท่ามะเขือ ประมาณ ๒๒ กิโลเมตรมีทั้งบ้านเรือนที่ตั้งริมน้ำและอยู่ในแนวถนน ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
   บ้านโคนเหนือ คือหมูที่ ๙ตำบลเทพนครอำเภอเมืองจังหวัดกำแพงเพชรแยกตัวมาจากบ้านโคนใต้ แต่กลับมาขึ้นกับตำบลเทพนครโดยมีอาณาเขต
      ทิศเหนือ         ติดกับหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร
      ทิศใต้         ติดต่อกับแม่น้ำปิง
      ทิศตะวันออก      ติดกับบ้านเกาะสง่า
                           ทิศตะวันตก      ติดกับบ้านท่าตะคร้อ
ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเหมือนบ้านโคนใต้ มีการพัฒนามาตลอดนอกจากการทำไร่ ทำนาแล้ว ที่บ้านโคนมีป่าไม้มากมากมาย อาชีพค้าไม้ จึงเป็นอาชีพสำคัญ

บุคคลสำคัญแห่งบ้านโคน
 

     นายประสิทธิ์  วัฒนศิริ อาจเรียกท่านว่า  กำนันนักบุญตำบลคณฑี     ท่านดำรงตำแหน่งกำนันที่ตำบลคณฑีมาเกือบ ๒๐ปี กำนันตำบลคณฑี อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร (๒๔๗๐ ถึง ๒๔๘๙)       
 นายประสิทธิ์ วัฒนศิริ เกิดเมื่อวันที่ ๒๑กรกฎาคม  ๒๔๔๗ ในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ปากคลองลุน (บ้านโคนใต้) ซึ่งปัจจุบัน อยู่ในเขตหมู่ที่ ๑ ตำบลคณฑี อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร บิดาชื่อนายพวง แซ่ลิ้ม มารดาชื่อ นางปุย  ได้เรียนหนังสือจนอ่านออก เขียนได้ ทั้งภาษาไทยและภาษาขอม จากสำนักเรียนวัดปราสาท บ้านโคนใต้ จากนั้นในปี ๒๔๖๑ ได้เรียนจบการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จากโรงเรียนประชาบาล อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร  นายประสิทธิ์ วัฒนศิริ สมรสกับกลำภัก โพธิ์แย้ม ในปี ๒๔๗๑  มีธิดา 1 คน คือ น.ส.ทองรวม และบุตร 1 คน คือ ด.ช.บุญเลิศ ซึ่งต่อมาทั้งสองได้ถึงแก่กรรม จากนั้นได้สมรสอีกครั้งหนึ่งกับนางสุมาลี เฉยไว ในปี 2489 โดยได้รับความเห็นชอบจากนางกลำภัก นายประสิทธิ์ มีบุตรกับนางสุมาลีทั้งสิ้น ๕ คน ได้แก่
        ๑ นายแพทย์ดำรงศิริ วัฒนศิริ
          ๒. นายเลิศศิริ วัฒนศิริ
          ๓. นายสุวัฒน์  วัฒนศิริ 
          ๔. นายชำนาญ  วัฒนศิริ
          ๕. นายพิชัย  วัฒนศิริ
        นายประสิทธิ์ วัฒนศิริ เป็นคนเก่ง อ่านออก เขียนได้ มีความขยัน มีความเป็นผู้นำ จนได้รับคัดเลือกให้เป็นกำนันตำบลคณฑี (ตั้งแต่ปี ๒๔๗๐ ถึง ๒๔๘๙รวม ๑๙ ปี) และได้รับคัดเลือกให้เป็นกำนันดีเด่นของจังหวัดกำแพงเพชร ท่านได้มุ่งมั่นพัฒนาชุมชนให้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัลคนขยันของจังหวัดกำแพงเพชรในปี  ๒๔๗๙  และพ่อตัวอย่างของจังหวัดกำแพงเพชร ในปี  ๒๕๒๕
        กำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ ได้มุ่งมั่นพัฒนาการศึกษา ควบคู่ไปกับการพัฒนา ได้บริจาคที่ดินให้สร้างโรงเรียนประถมศึกษาแห่งแรกในชุมชน ปัจจุบันคือโรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี (ประสิทธิ์ อุปภัมภ์) และในปี ได้มอบที่ดินเพื่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก "ศูนย์พัฒนาเด็กวันมหาราช" ซึ่งปัจจุบันคือศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลคณฑี และ ได้บริจาคที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนคณฑีพิทยาคม ซึ่งเปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ปัจจุบันเปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น-ปลาย) จึงกล่าวได้ว่า กำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ บริจาคที่ดินให้กับชุมชนเพื่อให้การศึกษาแก่เยาวชนตั้งแต่เด็กเล็ก จนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย   นอกจากนี้ ท่านและบิดาได้ถวายที่ดินแก่สงฆ์  เพื่อสร้างวัด ดังมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
๑.   พ.ศ. ๒๔๘๐ มอบที่ดินตั้งโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี(ประสิทธิ์ อุปถัมภ์)  เนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๖๐ ตารางวา
๒.   พ.ศ.๒๔๘๓ จัดหาที่ดินเพื่อสร้างวัดคณฑีศรีวชิราราม เนื้อที่ ๕ไร่เศษ
๓.   พ.ศ.๒๔๘๘ มอบที่นาส่วนตัว เป็นสมบัติของวัด เนื้อที่ ๑๐๐ ไร่เศษ
๔.   พ.ศ. ๒๔๙๓ มอบที่ดินเพื่อจัดตั้งสถานีอนามัย เนื้อที่ ๔ไร่๒ งาน
๕.   พ.ศ. ๒๕๑๕ มอบที่ดินเพิ่มให้โรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี(ประสิทธิ์ อุปถัมภ์) เนื้อที่ ๙ ไร่ ๒ งาน ๕๐ ตารางวา
๖.   พ.ศ.๒๕๑๘ มอบที่ดินสร้างศูนย์เด็กวันมหาราช เนื้อที่ ๓งาน
๗.   พ.ศ.๒๕๒๑ มอบที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนมัธยม คณฑีพิทยาคม เนื้อที่ ๓ตไร่ ๒งาน
๘.   พ.ศ. ๒๕๒๗ มอบเงินเพื่อจัดตั้งมูลนิธิประสิทธิ์ วัฒนศิริ  จำนวน ๑๑๒,๐๐๐ บาท
๙.   พ.ศ. ๒๕๓๔ มอบที่ดินให้โรงเรียนประถมศึกษาโรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี(ประสิทธิ์ อุปถัมภ์) เพิ่มอีก ๑ไร่ ๓ งาน
กำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ ประพฤติคุณธรรมมาตลอดชีวิต ที่บ้านโคน ไม่มีใครเลยที่ไม่รักและเคารพท่าน ในที่สุดเมื่อชราภาพ ท่านจากไป เมื่อวันที่ ๒๘  กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ รวมอายุได้ ๘๖ ปี  ท่านผ่านชีวิต นักสู้ นักบุกเบิก นักปกครอง เป็นพ่อที่วิเศษของลูกๆ สมควรที่ได้รับการบันทึกไว้ให้เป็นแบบอย่าง ในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบ้านโคน คณฑี กำแพงเพชร ด้วยความคารวะ
ผลงานของกำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ
บริจาคที่ดินเพื่อสร้าง โรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี (ประสิทธิ์อุปถัมภ์)   
ประวัติโรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี (ประสิทธิ์อุปถัมภ์)   
 
โรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี (ประสิทธิ์อุปถัมภ์)  ตั้งอยู่เลขที่ 444  หมู่  9 บ้านโคนเหนือ ตำบลเทพนคร  อำเภอเมืองกำแพงเพชร  จังหวัดกำแพงเพชร  รหัสไปรษณีย์  62000  โทรศัพท์  055-760131  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ
            โรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี(ประสิทธิ์อุปถัมภ์) เดิมมี   นายประสิทธิ์   วัฒนศิริ    กำนันตำบลคณฑี ในสมัยนั้นได้ยกบ้านพักชั่วคราวถวายให้แก่ท่านพระครูนิทาน   โพธิ์วัฒน์  เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์(พระราชพรหมมาภรณ์ในปัจจุบัน) แต่ยังมิได้รื้อถอนไป  ต่อมานายประสิทธิ์   วัฒนศิริ ได้ยกที่ดินปลูกบ้านหลังนั้นให้เป็นสมบัติของกระทรวงศึกษาธิการ   เพื่อจัดตั้งโรงเรียน   ท่านพระครูนิทานจึงยกบ้านหลังดังกล่าวให้เป็นที่เรียนของนักเรียน    ทางโรงเรียนได้รับเด็กเข้าเรียน
เมื่อวันที่   26   มิถุนายน    พ.ศ.  2481
โรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี   (ประสิทธิ์อุปถัมภ์) เดิมชื่อ  “โรงเรียนประชาบาลตำบลคณฑี 4 “ก่อตั้งเมื่อ 26 มิถุนายน 2481 โดยกำนันประสิทธิ์  วัฒนศิริ แกนนำชาวบ้านร่วมกันก่อตั้ง บนที่ดินของตนเอง ต่อมาในปีพ.ศ.2483 คณะกรรมการศึกษาได้อนุมัติเงินร่วมสมทบสร้างโรงเรียนหลังใหม่เพิ่มและเปิดดำเนินการได้เมื่อปี พ.ศ.2485โดยให้ใช้ชื่อโรงเรียนใหม่ว่าโรงเรียประชาบาลตำบลคณฑี 4 (ประสิทธิ์วิทยาคาร) และในปี พ.ศ. 2496  ทางราชการได้ตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ว่า  “หมู่บ้านเกาะพังงา”อยู่ติดริมแม่น้ำปิง ทางโรงเรียนจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนบ้านเกาะพังงา” (ประสิทธิ์วิทยาคาร) ตามชื่อหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ติดกับบริเวณทิศเหนือของถนนสายกำแพงเพชร – ท่ามะเขือ หลักกิโลเมตรที่ 18 หมู่ที่ 9 ตำบลเทพนคร อำเภอเมืองกำแพงเพชรปัจจุบันปีการศึกษา   ๒๕๕๔  ได้เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลศึกษาปีที่  ๑  ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่  ๖   รวม ๘  ห้องเรียน  มีนักเรียนทั้งสิ้นจำนวน ๑๕๖  คน  มีครู  ๙  คน  มีลูกจ้างประจำตำแหน่ง นักการ๑  คน
นายอวยชัย  พิลึก   ชุมชนบ้านคณฑี (ประสิทธิ์อุปถัมภ์)  ดำรงตำแหน่ง  ผู้อำนวยการโรงเรียน



ท่านกำนันประสิทธิ์  วัฒนศิริ    บริจาคที่ดินเพื่อสร้าง วัดคณฑีศรีวชิราราม
 
                   หลวงพ่อธรรมบาล
เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่แต่โบราณ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ประจำวัด  คณฑีศรีวชิราราม  เป็นที่สักการะบูชาของประชาชน ชาวเทพนครและคณฑี
จากการสืบค้น ตั้งแต่การก่อสร้างวัดบ้านโคนเหนือ(วัดคณฑีศรีวชิราราม ) ประมาณปีพุทธศักราช  ๒๔๘๒ ๒๔๘๓
ได้มีการสร้างศาลาใหญ่ชาวบ้านได้พร้อมใจไปอัญเชิญหลวงพ่อธรรมบาลซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่แก่อยู่ในโบสถ์เก่าโบราณ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามกับวัด ชาวบ้านเรียกว่าเกาะพริกแกว ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็นเกาะไอ้แจว
เกาะอีแจว ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดเสมางาม หมู่๒ ตำบลธำรง .อ.เมืองกำแพงเพชร สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย นำขึ้นล้อเกวียนมาในฤดูแล้ง น้ำลดลงต่ำมาก เมื่อพระพุทธศักราช ๒๔๙๖ ได้มีการเฉลิมฉลองสมโภชหลวงพ่อธรรมภิบาล ต่อมาสร้างศาลาใหญ่ พุทธศักราช ๒๔๙๗ ผู้ดำเนินการจะมีนายประสิทธิ์ วัฒนศิริ นายพายุ เกิดพันธ์ นายโม้ รัตถา และประชาชนชาวคณฑี ปัจจุบัน หลวงพ่อธรรมบาล เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของประชาชน ในตำบลคณฑี และตำบลใกล้เคียง

 

วัดคณฑีศรีวชิราราม  ตั้งอยู่เลขที่ ๑๗ บ้านโคนเหนือ หมู่ที่ ๙ ตำบลเทพนคร อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินที่ตั้งวัดมี เนื้อที่ ๖ไร่ ๑ งาน ๔๗ ตารางวา  วัดคณฑีศรีวชิาราม ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๓ ชาวบ้านเรียกสั้นๆว่า “วัดคณที” ตามชื่อหมู่บ้าน วัดดังกล่าวมี นายประสิทธิ์  วัฒนศีริ เป็นผู้ริเริ่มนำชาวบ้านสร้างวัดขึ้นมา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสี เมือวันที่ ๒๓ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๑  เขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร

 










พ.ศ. ๒๔๙๓ มอบที่ดินเพื่อจัดตั้งสถานีอนามัย เนื้อที่ ๔ไร่๒ งาน
 
 

 
โรงเรียนคณฑีพิทยาคม
ได้รับบริจาคที่ดินจากกำนันประสิทธิ์ วัฒนศิริ จำนวน 35 ไร่ 2 งาน 31 ตารางวา เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียน โดยมีกำนันสมบูรณ์ รัตถา เป็นแกนนำร่วมกับประชาชนในท้องถิ่น สร้างอาคารชั่วคราว 1 หลัง จำนวน 3 ห้องเรียน
 
     โรงเรียนคณฑีพิทยาคม ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2522 และเริ่มเปิดทำการเรียนการสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2522 โดยมีนักเรียนรุ่นแรก จำนวน 30 คน มีครู - อาจารย์ จำนวน 4 คน ลูกจ้างประจำ 2 คน และมีนายอนันต์ น่วมอินทร์ เป็นครูใหญ่
     ปัจจุบันโรงเรียนคณฑีพิทยาคม มีนักเรียนทั้งสิ้น จำนวน 455 คน ครูจำนวน 31 คน พนักงานราชการจำนวน 3 คน ครูอัตราจ้างจำนวน 3 คน ครูธุรการ จำนวน 1 คน เจ้าหน้าที่วิชาการจำนวน 1 คน ครูต่างชาติจำนวน 1 คน ลูกจ้างจำนวน 1 คน ลูกจ้างชั่วคราวจำนวน 3 คน โดยมีนายนายเผ่าชาย ชาญชึ่ยว ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน และนายชำนาญ  วัฒนศิริ ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน





 
 

 










 







ภาคที่ ๓ ภาคผนวก
คณฑี เทพนคร  ไตรตรึงษ์ สามนครที่ยิ่งใหญ่
ตามตำนานท้าวแสนปม...ได้กล่าวถึงเมืองเทพนคร ว่าเป็นเมืองเนรมิต จากอำนาจของ พระอินทร์ดังเรื่องที่เล่ากันว่าเมื่อท้าวแสนปมได้นางอุษาเป็นชายาแล้ว...ถูกขับออกไปทำไร่หักล้างถางพงแต่วันรุ่งขึ้น ต้นไม้เหล่านั้นได้กลับขึ้นมาใหม่....จึงซุ่มดูอยู่เห็นวานรตัวหนึ่งซึ่งเป็น พระอินทร์แปลงกายถือ อินทรเภรี คือกลองวิเศษ ..ท้าวแสนปมได้จับวานรได้..วานรได้มอบกลองวิเศษให้ และบอกว่า ตีกลองขอได้สามสิ่ง ท้าวแสนปมจึงตีครั้งที่ 1 ขอให้ปมทั้งหลายหายไปกลายเป็นบุรุษรูปงาม ตีครั้งที่ 2 ขอเมืองใหม่จึงเกิดเมืองเนรมิต ขึ้น เมืองนี้คือเมืองเทพนคร ตีครั้งที่ 3 ขออู่หรือเปลทองคำให้ราชโอรส ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นเป็นพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเราจึงคิดว่าเมืองเทพนครจึงแค่เป็นเมืองที่เล่าขานตามตำนานมิได้มีจริง.... จึงมิได้ค้นหาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อหาร่องรอยเมืองเทพนครไม่พบ จึงเลิกค้นหา...
         .อาจารย์รุ่งเรือง สอนชู แห่งโรงเรียนบ้านเทพนคร สนใจเรื่องราวของเมืองเทพนครอย่างยิ่งได้แจ้งให้คณะทำงานโทรทัศน์วัฒนธรรมว่าได้ค้นพบ เมืองเทพนครแล้ว....เราจึงนัดหมายกันเพื่อไปค้นคว้า ...เมืองเทพนครเมืองที่หายสาปสูญไปหลายร้อยปี....อาจารย์รุ่งเรือง สอนชู อาจารย์วิไลพร สอนชู จากโรงเรียนบ้านเทพนคร นายสิน คำหงษา อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 15 ตำบลเทพนคร ประธานกรรมการสถานศึกษา โรงเรียนบ้านเทพนคร.... นางมรินทร์ ประสิทธิเขตกิจ สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล เทพนคร อาจารย์เรืองศักดิ์ แสงทอง นักนิยมประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จักรพรรดิ ร้องเสียง ตากล้องทีวีมือหนึ่งของเรา พร้อมด้วย คณะนักเรียนประถมปีที่ 6 โรงเรียนเทพนครอีก ประมาณ 20 คน.....ออกเดินทางไปยังบริเวณที่เรียกว่าคูเมืองเทพนคร ห่างจากถนนราว 800 เมตร เราพบแนวคูเมือง ที่เป็นลักษณะ สี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างจงใจ แนวกำแพงเมือง พบแล้ว เดินตามแนวกำแพงเมืองเทพนครไปราว 500 เมตร พบเนินดินที่เป็นลักษณะ เหมือนป้อมมุมเมืองเนื้อที่ราว 200 ตารางเมตร ยังอยู่ในสภาพดี ได้สำรวจจนทั่ว ทุกคนยืนยันว่าเป็นป้อมมุมเมือง แนวกำแพงที่เลี้ยวไปทางแม่น้ำ ถูกไถทำที่นา ทั้งหมด เมื่อไม่มีหลักฐานบริเวณนี้ คณะสำรวจได้เดินกลับไปทางเดิม เดินสำรวจไปทิศตรงกันข้าม ตามแนวคันดินและคูเมืองเทพนครด้านนอก อีกประมาณ 200 เมตร พบป้อมมุมเมืองเช่นเดียวกัน เห็นคันคูน้ำ ยาวเหยียดสุดสายตา.... ทั้งหมดเมืองเทพนคร มีหลักฐานให้เห็น คูเมือง เป็นลักษณะมุมฉาก เหลือประมาณ ร้อยละ 40 ส่วนกำแพงเมืองไม่พบร่องรอย นอกจากแนวถนนที่เราสันนิษฐานว่าเป็นกำแพงเมืองเท่านั้น....
         เรากลับมาที่บ้านของนายยงค์ ทองปรางค์ ตั้งอยู่ริมน้ำปิง ห่างจากแม่น้ำราว 20เมตร พบร่องรอยของวัดโบราณอาจเป็นวัดประจำเมืองเทพนคร มีหลักฐานแค่ฐานพระประธานให้เห็น และแนวฐานพระวิหารยังเห็นชัดอยู่ นายยงค์ ทองปรางค์ เล่าว่าค้นพบพระพุทธรูป ในบริเวณนี้ เมื่อขุดหลุมปลูกพริก ที่ได้นำพระพุทธรูปมาให้เราชมด้วย....มีพุทธลักษณะงดงามมาก... เมืองโบราณเทพนคร สร้างอย่างใหญ่โต.....และมีสถาปัตยกรรมที่ถูกต้องตามหลักยุทธศาสตร์ กล่าวกันว่า เมืองเทพนคร ป็นราชธานีอยู่เพียง 30 ปี ท้าวแสนปมขึ้นครองราชย์ ที่เมืองเทพนคร ทรงพระนามว่าพระเจ้าศิริชัยเชียงแสน ่วนราชโอรสที่เกิดจากนางอุษาที่ทรงบรรทมอู่ทองเนรมิตนั้น มีพระนามสืบกันมาว่าพระเจ้าอู่ทอง พระเจ้าศิริชัย เชียงแสน อยู่ในราชสมบัติ 25 ปี สวรรคตในปีพ.ศ. 1887 พระเจ้าอู่ทอง ครองราชย์สมบัติต่อมา อีก 5 ปีจึงอพยพผู้คนไปตั้งราชธานีที่กรุงศรีอยุธยา....ทำให้ทิ้งให้เมืองเทพนครร้าง ตั้งแต่ปี 1900 .....ไม่มีผู้คนอพยพไปตั้งบ้านเรือนอีกเลย.. ตำนานก็คือตำนาน...แต่มีเค้าความจริงอยู่ เมื่อเราค้นพบแนวกำแพงเมืองเทพนคร ประมาณ 2 กิโลเมตร มีคูเมืองปรากฏอย่างชัดเจน.....
.......ตามข้อสันนิษฐาน พระเจ้าศิริชัยเชียงแสน คงอพยพผู้คนมาจากทางเหนือ ปลอมตนเป็นชายเข็ญใจ และเมื่อได้กับนางอุษาที่เมืองไตรตรึงษ์แล้ว...จึงสร้างบ้านเมืองที่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองไตรตรึงษ์ เมืองที่สร้างใหม่คือเมืองเทพนคร.....แต่เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วเมืองเทพนครมีปัญหาเหมือนเมืองนครชุมคือ แม่น้ำปิงกัดเซาะ ให้กำแพงในส่วนริมน้ำปิงพังพินาศหมด ....จึงต้องอพยพผู้คนไปหาชัยภูมิใหม่....อาจเป็นต้นกำเนิดคนไทยที่กรุงศรีอยุธยาจริง....
.....เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ใจ พระร่วงเจ้าไปจากเมืองคนฑี กำแพงเพชร เพื่อไปสร้างกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
.....พระเจ้าอู่ทอง ไปจากเมืองเทพนคร ไปสร้างกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี.
......พระยาวชิรปราการไปจากเมืองกำแพงเพชร .....ไปสร้างกรุงธนบุรี เป็นราชธานีเช่นกัน เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็มีหลักฐานที่ชัดเจน........
เราจึงร่วมกันภูมิใจ ในการที่เราเป็น ชาวคณฑี เทพนคร  และไตรตรึงษ์   กำแพงเพชร ร่วมกัน

 86 
 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2020, 12:07:33 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
พระกำแพงสามขา พระบูชาล้ำค่า แห่งเมืองกำแพงเพชร
เมืองกำแพงเพชร ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโก แห่งสหประชาชาติ ให้เป็นเมืองมรดกโลก ร่วมกับสุโขทัยและศรีสัชนาลัย ย่อมแสดงถึงความสำคัญของเมืองกำแพงเพชร ที่โลกยกย่องว่ามีอารยธรรม วัฒนธรรม และศิลปกรรมอันสูงส่ง มีค่าล้ำมีความเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง มาตลอด กำแพงเพชรจึงมีพระพุทธรูปที่ล้ำค่าและมีพุทธศิลป์เป็นของตนเอง อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญ ของเมืองกำแพงเพชร เมืองมรดกโลก พระบูชาที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะเมืองกำแพงเพชร               องค์นี้คือ   พระกำแพงสามขา
พระกำแพงสามขา มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าพระกำแพงขาโต๊ะ เป็นพระพุทธรูปของกำแพงเพชรแท้ๆ สร้างสมัย กำแพงเพชร เป็นเมืองลูกหลวง แห่งอาณาจักสุโขทัย สร้างราวพุทธศักราช  ๑๙๐๐ - ๒๐๐๐ พบได้ทั่วไป ในเกือบทุกวัดในเมืองและนอกเมือง กำแพงเพชร  มีหลายขนาด ที่ผู้เขียน เคยพบมีตั้งแต่ หน้าตัก สามนิ้ว  จนถึง สิบสองนิ้ว  เหตุที่เรียกขานว่าสามขาเพราะ แท่นที่ประทับของพระพุทธรูป มีสามขา เพราะมีด้านหน้าสอง ขา และด้านหลังหนึ่งขา รวมเป็นสามขา ผู้ค้นพบครั้งแรกๆเมื่อประมาณ ร้อยปีที่ผ่านมา ตั้งแต่กรุพระเมืองกำแพงเพชรยังไม่แตก ระยะแรกๆ ผู้แสวงหาทั้งหลาย เก็บแต่ของมีค่าในกรุพระ เช่น เครื่องเงิน เครื่องทอง เพชรนิลจินดา พระกำแพงสามขาและพระบุชา ตลอดจนพระเครื่อง ไม่เป็นที่ต้องการของผู้แสวงหา  เมื่อราวร้อยปีกว่า (๒๔๓๐ถึง ๒๔๕๓) ที่ผ่านมา พระบูชาเริ่มมีผู้สนใจเก็บไปเป็นสมบัติส่วนตัวมากขึ้น พระกำแพงสามขา ค่อยๆหายไป ในช่วงปี ๒๔๕๐ -ถึง๒๔๗๐ คติที่ว่า “พระควรอยู่วัด” หายไปจากความเชื่อ  พระบูชากลายเป็นที่ต้องการของผู้แสวงหา มากขึ้น เมื่อพระบูชา หมดไป จากกรุ พระเครื่อง เริ่มหายากมากขึ้น ในที่สุด ในราวปีพุทธศักราช ๒๔๗๐ ถึงปี ๒๔๙๐ พระเครื่อง ก็กลายเป็นสมบัติ ของนักแสวงหา ในหายไปหมดจากกรุ  อยู่ในครอบครองของ ข้าราชการและคหบดี ในเมืองกำแพงเพชร ตลอดจนคหบดีและข้าราชการต่างเมืองที่สนใจสะสมพระเครื่องและพระบูชามากขึ้น สนนราคา ของพระราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนคนสามัญจับต้องเป็นเจ้าของไม่ได้
พุทธลักษณะ ของพระกำแพงสามขา ที่พบส่วนใหญ่เป็นปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ  พระหัตถ์ขวาวางบนพระชานุ ขวาพระองคุลีทั้ง ๕ ไม่เท่ากัน เหมือน มนุษย์ธรรมดา พระดัชนี ชี้ลงล่างราว ให้แม่พระธรณีเป็นพยาน ในคราวปราบพญามาร พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา หงายพระหัตถ์แผ่งดงาม พระวรกายงดงามพระอุระนูน พระอุระใหญ่เม็ดพระถัน เห็นได้ชัดแม้ข้างซ้ายจะปกคลุมด้วยจีวร แต่ก็เห็นได้ชัดราวไม่ได้สวมจีวรกระนั้น บั้นพระองค์คอดงดงามสังฆาฏิ ด้านหลังยาวจรดฐาน ด้านหน้ายาวจรดพระนาภี อยู่ท่ามกลางพระถัน เบี่ยงมาทางซ้าย  พระศอมีรอยหยัก พระหนุเสี้ยม พระพักตร์รูปไข่ พระนลาฎกว้าง  พระโอษฐ์ แย้มยิ้มน้อยๆ เหมือนทรงเมตตา กับมวลพุทธศาสนิกชน พระขนงชิดติดกัน  โก่งราวคันศร ที่กำลังน้าวยิง พระเนตร มองลงล่างเล็กน้อย งดงาม พระนาสิกเป็นสันงามสมกับพระพักตร์  พระกรรณ ยาวเกือบถึงพระอังสา แนบพระพักตร์ พระศกเม็ดเล็กงดงาม สมกับขนาดพระเศียร  เปลวเพลิงเหนือพระเศียรสูง งดงามกว่าพระบูชาทุกแบบ  ฐานงดงาม มีความสูง เหมาะกับขนาดของพระกำแพงสามขา ซึ่งนับว่าน่าชม ที่สุด ในบรรดาพระบูชาของเมืองกำแพงเพชร ทุกแบบ พระกำแพงสามขา จึงกลาย          เป็นสัญลักษณ์ ของพระบูชา ในเมืองกำแพง ที่ผู้คนที่ชื่นชอบ และสนใจพระบูชา แสวงหา ที่จะได้บูชา กันทุกคน
พุทธคุณ ของพระกำแพงสามขา คนกำแพงเพชร เชื่อว่า มีพุทธคุณ ด้านโชคลาภ แคล้วคลาด ก้าวหน้า และเมตตามหานิยม 
พระกำแพงสามขา จึง มีความหมาย ต่อผู้ต้องการพระบูชา ไปบูชา เพื่อแสดงว่า เป็นพระกำแพง เป็นคนกำแพง และเป็นของดี กำแพงเพชร ไปนิจนิรันดร์
                     สันติ อภัยราช
                                                                                              ๒๕  พฤศจิกายน   ๒๕๖๓





 87 
 เมื่อ: กันยายน 28, 2020, 04:55:13 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
                                     แด่คุณพี่ เสมา อภัยราช
          ร่มโพธิ์ทอง  ของน้อง  ของลูกหลาน     อันตรธาน  เพียงร่างกาย  หายสาบสูญ
ตามกฎแห่ง ธรรมชาติ แสนอาดูร                ยังเพิ่มพูน วิปโยค โศกเศร้าใจ
      เก้าสิบเอ็ดปี ยืนเด่น  เป็นสง่า              พี่เสมา  กล้าแกร่ง  ไม่สงสัย
ยอดขุนศึก แสนสง่า  กลางฤทัย                  กำแพงเพชร อยู่ในใจ ทุกผู้คน
       ยอดฝีมือ ยอดความคิด ยอดสร้างสรรค์   ศิลปะ จำนรรจ์  ทุกแห่งหน
งานฝีมือ สรรค์สร้าง ราวเทพดล                   ทุกผู้คน ยลยิน  ทุกถิ่นไทย
       พระอิศวร  องค์จำลอง ที่ผ่องผุด            ฤทธิรุทธิ์ ฤทธิเลิศ ที่ศาลใหญ่
คือฝีมือ  พี่เสมา  ยังเกริกไกร                        คนกราบไหว้ บูชา ศิวาองค์
        พี่ปลูกปั้น สอนสั่ง ลูกหลานเหลน         ยืนต้นเป็น  ศรีสง่า อานิสงส์
พี่รักน้อง รักลูกหลาน รักมั่นคง                    พี่เสริมส่ง ทุกคน เป็นคนดี
       ต่อแต่นี้ ไม่มี  พี่ใหญ่แล้ว                    ดั่งดวงแก้ว  แตกสลาย ในวิถี
แต่โพธิ์ใหญ่ ยังยืนเด่น ในปฐพี                    อยู่กลางใจ  ทุกนาที แม้จากไป
       เคยเล่าเรื่อง สอนเรื่องราว ทุกคราวพบ   เคยบรรจบ  เคยบอกกล่าว เคยเล่าให้
มีความรู้ เรื่องราว ที่กว้างไกล                      เพราะพี่ใหญ่ ให้วิชา มาทุกวัน
      เติบโตมา เคียงกัน พลันมาจาก               เทพมาพราก พี่ไป ให้โศกศัลย์
จากครานี้ จากลา แรมนิรันดร์                       ไม่ได้เห็น หน้ากัน นิรันดร์กาล
       ร่มโพธิ์ใหญ่ หักล้ม ต้องข่มจิต                ราวนิมิต  พี่จากไป ใครเล่าขาน
ต่อแต่นี้ พี่เสมา คือตำนาน                            จะสืบสาน ความดีงาม ทุกยามไป
       ขอพี่สู่ สรวงสวรรค์ ชั้นเทพศิลป์              เทพกวี ศิลปิน ผู้ยิ่งใหญ่
สรวงสวรรค์ ชั้นเทพ เลิศวิไล                         พี่เสมา คือเทพไท้  กลางใจคน

                                                                                                     สันติ  อภัยราช
                                                                              ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓


   

 88 
 เมื่อ: กันยายน 27, 2020, 05:02:46 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
                                       ประวัติ คุณพ่อเสมา อภัยราช
พ่อเสมา อภัยราช เป็นชาวกำแพงเพชร โดยกำเนิด บิดาชื่อ นายเสรี อภัยราช ปลัดอำเภอเมืองกำแพงเพชร มารดาชื่อ คุณละไม อินทรสูต เป็นหลานตา ของหลวงมนตรีราช (หวานอินทรสูต) ยกกระบัตรเมืองกำแพงเพชร ตาทวดคือ พระยาสุจริตรักษา(ทองคำ อินทรสูต) เจ้าเมืองตาก เทียดคือ พระยาสุรบดินทรสุรินทรฤาชัย (ทองอิน) เจ้าเมืองไชยนาท ต่อมาดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาสุรบดินทร์สุรินทรฤาชัย เจ้าเมืองกำแพงเพชรสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านกำเนิดเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พศ.๒๔๗๒ ท่านมีน้องทั้งหมด ๕ คน คิอ
   ๑.นางสุนันทนา  วารีเพชร  (ถึงแก่กรรม)
   ๒.นายอิสระ   อภัยราช      (ถึงแก่กรรม)
   ๓.นางศิวดี     ใจอินทร์     
   ๔.นายสันติ   อภัยราช
   ๕.นายสัมพันธ์  อภัยราช
ตุณพ่อเสมา อภัยราช ได้รับราชการตำรวจ ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกยานพาหนะจังหวัดกำแพงเพชร ต่อมาได้ลาออกจากราชการ มาประกอบธุรกิจส่วนตัว ท่านสมรสกับ คุณแม่ระเวีย หาญกำจัดภัย บุตรตรี ร้อยตำรวจตรีหมื่นหาญกำจัดภัย(บก กันภัย) นายตำรวจสถานีตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร มีบุตรธิดา ๗ คนคิอ
   ๑.นางสุวิมล  อภัยราช อดีต ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ และผู้พิพากษาสบทบศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดกำแพงเพชร ๒สมัย
สมรส กับ นายสัญลักษณ์ กาญจนะโกมล อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกำแพงเพชร มีบุตรชาย ๑.คน คือ
 นายแพทย์ณัฐพงศ์ กาญจนะโกมล  อายุกรรมชำนาญการด้านหลอดเลือดและหัวใจ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์นครปฐม จังหวัดนครปฐม
   ๒.นางนวลอนงค์  อภัยราช อดีตพนักงานการประปากำแพงเพชร มีบุตรชายชื่อ นายชวนภ วงศ์สินอุดม  ผจก.ฝ่ายอำนวยการกลางการผลิต บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะจำกัด สาขากำแพงเพชร
   ๓.นายปฐมชัย อภัยราช อดีตหัวหน้าฝ่ายแบบแผนและก่อสร้างกองช่างเทศบาลเมืองกำแพงเพชร สมรสกับนางสาวพรรณี  น้อยสวรรค์  มีบุตรธิดา ๒ คนคือ
   ๓.๑ นายปริยพัฒน์  อภัยราช   เจ้าหน้าที่ ไอที บริษัทเอกชน
   ๓.๒ นางสาวภัทรสุดา อภัยราช พนักงานธุรกิจสัมพันธ์ลูกค้า ธนาคารออมสิน ศูนย์ smes ๗ กำแพงเพช         
         ๔.นางสาวสาวิตรี  อภัยราช อดีตหัวหน้าพยาบาล โรงพยาบาลกำแพงเพชร
         ๕. นายชัยพร  อภัยราช อดีต อาจารย์โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎกำแพงเพชร สมรสกับนางสาวอัญชุลี อ่วมสถิตย์ ประกอบธุรกิจส่วนตัว   มีบุตรชาย ๒ คนคือ
   ๕.๑ นายเอกชัย อภัยราช  ฝ่ายซ่อมบำรุงบริษัทเอกชน
   ๕.๒ นายอุภัยพล  อภัยราช ผู้จัดการสาขาพิษณุโลก บริษัทเอสไอเอสดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน)
๖.นายชาญศักดิ์  อภัยราช  อดีตพนักงาน บริษัททีเคซี จังหวัดกำแพงเพชร (ถึงแก่กรรม) สมรสกับ นางสาวพัชรา คำกมล อดีตครูโรงเรียนเทศบาล๒ มีบุตร ๑ คน คือ
   นายพัชรพล  อภัยราช  นักศึกษา ม.ศิลปากร (ถึงแก่กรรม)
๗. นางสาวสุชีลา  อภัยราช  ผู้อำนวยการ โรงเรียนชากังราววิทยา จังหวัดกำแพงเพชร
   คุณพ่อเสมา  อภัยราช เป็นผู้มีสุขภาพดี แข็งแรง ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ โดยการขี่จักรยานรอบตลาดกำแพงและริมแม่น้ปิง จนกระทั่งอายุย่างเข้าเก้าสิบปี ลูกหลานเห็นว่า  กลัวรถจะล้มหรือมีอุบัติเหตุ จึงขอร้องให้พ่อออกกำลัง อยู่ภายในบ้าน
   ต่อมาคุณพ่อเข้ารักษาตัวที่ โรงพยาบาลกำแพงเพชร หลายครั้ง และในครั้งสุดท้าย  ท่านเสียชีวิต เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พศ. ๒๕๖๓ สิริรวมอายุ ได้ ๙๑ ปี ยังความเศร้าเสียใจ แก่ลูกหลานและญาติมิตร ขอให้คุณ่อเสมา อภัยราช มีความสุข ในสัมปราภพด้วยเทอญ















 89 
 เมื่อ: กันยายน 24, 2020, 09:27:29 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
                       เกษียณ  อย่าง  เกษม
           คุณสุทัศน์  ภักดีการ
                ผู้อำนวยการกองการศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลวังแขม อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร
                กาลเวลา  ผันผ่าน วันวานจาก             ทำงานยาก   มากล้ำ   นำทางถาง
        ผ่านร้อนหนาว  มากมาย ได้นำทาง              อุปสรรค  ต้องปล่อยวาง  ตามทางธรรม
      สาวบ้านนา ถามหา สิ่งถูกต้อง              ความงดงาม หมายปอง  เจ้างามขำ
         ขยันเรียน ขยันงาน  ความจดจำ            ตั้งใจทำ  ตั้งจิตสรรค์   อย่างมั่นใจ
               ทำงานครู  คือครูดี ที่สอนสั่ง             ระมัดระวัง กายจิต  อย่างสดใส
        ผ่านงานครู  อย่างดงาม ตามวินัย              ผ่านไปได้ อย่างดียิ่ง มิ่งชีวี
   ย้ายงานมา ศึกษาธิการ ก็ชาญเชี่ยว         คือแรงเรี่ยว  ท่านศึกษา เป็นศักดิ์ศรี
        ประทับใจ ประสานงาน ได้อย่างดี              คือวิถี ของสุทัศน์  รัตนา
          เปลี่ยน โอนมา  วัฒนธรรม กำแพงเพชร   ราวก่องเก็จ แสงสว่าง แสวงหา
        ทำงานด้วย ดวงจิต นักพัฒนา                    งานวัฒนธรรม  ล้ำหน้า ด้วยมือเธอ
           มาท้องถิ่น  แห่งสุดท้าย ในวันนี้             อบต. วังแขมดี  หมั่นเสมอ
         ผอ.กองการศึกษา ได้พบเจอ                    งามเสมอ  คุณสุทัศน์  ภักดีการ
   เกษียณเกษม ตำแหน่งรัก  ประจักษ์จิต     ทั้งชีวิต  ทุ่มเท  มหาศาล
        เธอรักงาน  การศึกษา มาเนิ่นนาน                จิตผันผ่าน อย่างเปรมปรีดิ์ มีคนรัก
            แสนเสียดาย ในฝีมือ เขาลือก้อง              หกสิบต้อง เกษียณ คนรู้จัก
       แสนเสียดาย  คุณสุทัศน์ ทุกคนทัก                 คนประจักษ์ ความดีงาม นามใดเกิน
           ใบไม้ร่วง ใบใหม่ ผลัดใบแล้ว                    ดั่งดวงแก้ว  ลับหาย ต้องห่างเหิน
        แสนเสียดาย คนดี  ที่ประเมิน                        ต้องห่างเหิน วิชาชีพ ที่เชี่ยวชาญ
     วันเวลา ราชการ รานพลัดพราก                    จำต้องจาก ในวิถี  ผู้กล้าหาญ
จะจดจำ คุณสุทัศน์  ภักดีการ                         มือประสาน ด้วยศรัทธา  มาพร้อมใจ
                                                                                       สันติ   อภัยราช

     
    
       

 90 
 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2020, 08:57:25 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
แด่ท่านปิยะ  เพชรพรรณ (โกเม่ง)
คือนักบุญ คือนักสร้าง นักเสกสรร          อสม´คนสำคัญ  ผู้สรรหา
คือนักสู้  เสกชิวิต  จิตศรัทธา                 คือเทวา มาอุบัติ อย่างชัดเจน
จิตสาธารณะ ช่วยหลือเอื้อเฟื้อราษฎร์    ไม่เคยขาด   อาทร ทุกคนเห็น
ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เมื่อลำเค็ญ            ใจท่านเช่น ดั่งทองคำ ที่นำทาง
เมื่อเวลามาพราก ท่านจากโลก              แสนวิโยค  โศกศัลย์ ให้หมองหมาง
ฟ้าร่ำไห้ ใจแสนโศก ไม่จืดจาง       ผุ้ถางทาง  อสม, ให้มั่นคง
ชั่วชีวิต ทำงาน เพื่อผู้อื่น                     แปดสิบสอง หยิบยื่น ตามประสงค์
ถมทำทาง ให้คนเดิน เพลินดำรง         อสม´มั่นคง เพราะท่านทำ
บริจาค  ที่ ดิน ให้ วัชระ                      วิทยา คงจะ  มั่นคงซ้ำ
คือที่เรียน สำหรับเด็ก ไม่ระกำ            โลกจดจำ โกเม่ง   เร่งวิชชา
มาจากไกล ไร้ร่าง  กลางคนโศก         วิปโยค โศกแสน  สิ้นหรรษา
ขอท่านสู่ สรวงสวรรค์  วัฒนา           ขอนิทรา ชั่วนิรันดร์  ท่านปิยะ                                                                  ก














หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!