จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
เมษายน 30, 2025, 08:46:07 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
 11 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2025, 06:14:54 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
๑๙มีนาคม ๒๕๖๘ ครบรอบ ๕๔ ปี แห่งการเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานประจำแหล่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี เพื่อเก็บรวบรวม สงวนรักษา และจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่ได้จากการดำเนินงานทางโบราณคดีภายในเขตจังหวัดกำแพงเพชร เพื่ออนุรักษ์และเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปกรรมท้องถิ่นของจังหวัดกำแพงเพชร โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายสุกิจ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นเป็นผู้แทนพระองค์

หมายเหตุ ภาพถ่ายเก่าเป็นภาพในพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๔

 12 
 เมื่อ: มีนาคม 14, 2025, 04:50:39 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
ฮืมฮืม??⚡มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร จัดกิจกรรม "มรดกวิถีชุมชน 2 ฝั่งสายน้ำ ตามรอยเสด็จประพาสต้นรัชกาลที่ 5 จังหวัดกำแพงเพชร" สืบสานมรดกวัฒนธรรม Soft Power ด้านอาหารและวัฒนธรรม

วันที่ 13 มี.ค.68 เวลา 19.30 น. ที่พิพิธภัณฑสถานจังหวัดกำแพงเพชร เฉลิมพระเกียรติ (พิพิธภัณฑ์เรือนไทย) ต.ในเมือง อ.เมือง นายชธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร มอบหมายให้ นายอนุชา พัสถาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร ร่วมให้การต้อนรับ นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในโอกาสเดินทางมาเป็นประธานเปิดกิจกรรม "มรดกวิถีชุมชน 2 ฝั่งสายน้ำ ตามรอยเสด็จประพาสต้นรัชกาลที่ 5 จังหวัดกำแพงเพชร" สืบสานมรดกวัฒนธรรม Soft Power ด้านอาหารและวัฒนธรรม โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปรียนุช พรหมภาสิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร, นางกาญจนี รุจนเสรี ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกำแพงเพชร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ, ข้าราชการ, เจ้าหน้าที่, ประชาชน ภาครัฐและเอกชนในจังหวัดกำแพงเพชร,องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสถาบันการศึกษา และบริษัทเอกชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมในวันและเวลาดังกล่าว
ภายในกิจกรรม มีการจัดแสดงวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมอันหลากหลายของ 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนตำบลไตรตรีงษ์ ชุมชนตำบลนครชุม และชุมชนตำบลในเมือง นอกจากนั้นทางสำนักศิลปะและวัฒนธรรมฯยังได้ทำการศึกษาและพัฒนาอาหารและผลิตภัณฑ์ผ่านกรอบแนวคิดตามรอยเสด็จประพาสต้นรัชกาลที่ 5 สำหรับอาหาร 7 เมนู ประกอบด้วยอาหารทรงโปรดและอาหารพื้นถิ่น ได้แก่ ขนมจีน-น้ำยาจากตำบลไตรตรีงษ์ ผักห่อจากตำบลนครชุม พล่าน้ำเพลี่ยจากตำบลในเมือง ข้าวคลุกน้ำพริกกะปิ กรีนคาเวียร์แกงไข่น้ำใส่เป็ดย่าง (ไข่ผา) และข้าวแช่ชาววัง (ข้าวสามสี) ซึ่งในเมนูอาหาร 2 เมนูสุดท้ายได้มีการพัฒนาโดยการนำไข่ผำและข้าวสามสีที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรร่วมกับชุมชนในพื้นที่ทั้งนี้เพื่อต่อยอดองค์ความรู้จากงานวิจัยสู่การนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรมอีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิง วัฒนธรรมและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ซึ่งนอกจากเมนูอาหารแล้วยังมีผลิตภัณฑ์ที่ได้พัฒนาเป็นของที่ระลึก แบ่งออกเป็นประเภท เสื้อ กระเป๋า และพวงกุญแจ อีกด้วย

 13 
 เมื่อ: มีนาคม 12, 2025, 04:53:20 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๒: (ต่อ) แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

๕ ปีสวย
เป็นช่วงเวลาที่หลวงพ่อได้กำหนดไว้สำหรับการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในวัด พระบรมธาตุตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ ถือเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิง กายภาพของวัดพระบรมธาตุเป็นอย่างมาก เพราะมีการปรับผังอาคารและเสนาสนะภายในวัดใหม่ เกือบทั้งหมด นำมาซึ่งความสง่างามขององค์พระบรมธาตุนครชุมในปัจจุบัน ซึ่งนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นมาถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้มาสัมผัสกับแนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ “๕ ปี สวย” ของหลวงพ่อ เนื่องจากผู้เขียนมาอยู่วัดพระบรมธาตุในช่วงกลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ใน ฐานะเด็กวัดที่ช่วยเป็นเลขานุการโครงการวิจัยของหลวงพ่อ ก่อนที่ภายหลังจะได้รับมอบหมายจาก หลวงพ่อให้เข้าสอนแทนในชั้นปีที่ ๔ สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ ของหน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร และเป็นอาจารย์ประจำในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลังจากนั้นก็ได้รับรู้ในการพัฒนาสิ่ง ต่าง ๆ ของหลวงพ่อเรื่อยมา

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ถือเป็นปีที่เริ่มความเปลี่ยนแปลงของวัดพระบรมธาตุตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากในช่วงกลางเดือนมกราคมปีนั้น รัฐบาลของนาวสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มาจัดประชุม คณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดกำแพงเพชร ทางรัฐบาลเปิดโอกาสให้หน่วยงานในท้องถิ่นเสนอ โครงการพัฒนาต่าง ๆ เข้ารับการพิจารณางบประมาณจากคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษ เมื่อทาง หน่วยงานราชการทราบเรื่องก็ได้แจ้งให้หลวงพ่อทราบ เผื่อว่าหลวงพ่อจะเสนอโครงการเพื่อรับการ พิจารณา และก็เป็นเช่นนั้น หลวงพ่อได้เสนอโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดพระบรมธาตุเพื่อขอรับ งบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล

ผู้เขียนจำได้ว่าในระหว่างที่หน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร จัดกิจกรรม ปฏิบัติเฉลิมพระเกียรติประจำปีที่วัดเกาะรากเสียดนอก อำเภอโกสัมพีนคร หลวงพ่อได้เรียกให้ ผู้เขียนกับคุณจันทรา กุลนันทคุณ นักวิชาการวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร หรือที่หลวงพ่อเรียกว่า “คุณนายจันทร์” มาหารือและช่วยเขียนโครงการว่าจะปรับปรุงภูมิทัศน์วัด พระบรมธาตุอย่างไรบ้างที่ศาลากองอำนวยการ ณ วัดเกาะรากเสียดนอก หลวงพ่อ ผู้เขียนและ คุณนายจันทร์ก็ระดมความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง สุดท้ายก็ตกผลึก ส่งข้อมูลให้ทางหน่วยงาน โยธาธิการดำเนินการต่อ และเสนอโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดพระบรมธาตุไปยังที่ประชุม คณะรัฐมนตรีในวงเงินที่จำได้คร่าว ๆ ราว ๓๐ ล้านบาท และเป็นที่โชคดีว่าในรัฐบาลมีนายวราเทพ รัตนากร ซึ่งเป็นชาวอำเภอบึงสามัคคี จังหวัดกำแพงเพชร เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาลงพื้นที่เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณา ปรากฏว่าทางคณะรัฐมนตรีอนุมัติ โครงการดังกล่าว ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิดน่าจะได้รับอนุมัติงบประมาณที่ ๒๘ ล้านบาท โดยให้ใช้ งบประมาณจากปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ซึ่งสามารถเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๗ เมื่อมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีออกมา ทีมงานทุกคนดีใจตื่นเต้นกันใหญ่ และเป็นเกียรติของผู้เขียนอย่างยิ่งที่หลวงพ่อให้โอกาสและไว้ใจในการร่วมงาน ซึ่งขณะนั้น ผู้เขียนมีอายุเพียง ๒๕ ปีเท่านั้น

ในระหว่างที่รอการปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งใหญ่ หลวงพ่อได้ขออนุญาตกรมศิลปากร ดำเนินการรื้อพื้นคอนกรีตลานรอบองค์พระบรมนครชุมออก เนื่องจากไม่สามารถระบายความชื้น และเกิดผลกระทบต่อองค์พระบรมธาตุ แล้วปูพื้นลานพระบรมธาตุด้วยกระเบื้องโบราณ (กระเบื้อง ดินเผา) สิ้นงบประมาณ ๓.๕ ล้านบาท ทั้งได้ปลูกต้นชวนชมขนาดใหญ่ประดับบริเวณรอบฐานองค์ พระบรมธาตุ จำนวน ๑๕๐ กระถาง โดยใช้กระถางเคลือบอย่างดีจากจังหวัดราชบุรี และปลูกต้น ตะโกดัด ๔ ทิศ เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมชาติรอบองค์พระบรมธาตุ เมื่อถึงรอบปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ทางหน่วยงานราชการที่ รับผิดชอบโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดพระบรมธาตุก็เข้ามาดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ถือเป็น การปรับภูมิทัศน์ครั้งใหญ่ของวัดพระบรมธาตุ นำไปสู่การเปลี่ยนพื้นที่ทางทิศใต้ซึ่งเดิมเป็นด้านหลังวัดให้เป็นด้านหน้าวัดเพื่อให้สอดคล้องกับการคมนาคมในปัจจุบัน การปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งนี้ ประกอบด้วย
 ๑. รื้อถอนระเบียงรอบองค์พระบรมธาตุทางทิศใต้ออก รวมทั้งกองอำนวยการเดิมของวัด แล้วย้ายพระพุทธรูปปูนปั้นจำนวนมากที่ประดิษฐานอยู่ที่ระเบียงไปประดิษฐานที่เนินเขาที่ที่พัก สงฆ์หินชะโงก บ้านคุยป่ารัง ซึ่งเป็นที่พักสงฆ์ที่หลวงพ่อได้นำพาชาวบ้านคุยป่ารังพัฒนา เพื่อให้ เป็นที่จำพรรษาของพระภิกษุสามเณรที่สนใจในการปฏิบัติกรรมฐานเป็นการเฉพาะ
๒. รื้อถอนหอระฆังเดิมที่ตั้งข้างลานพระบรมธาตุออก
๓. รื้อถอนหมู่กุฏิสงฆ์ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ขององค์พระบรมธาตุออกทั้งหมด รวม ๒๘ หลัง กุฏิสงฆ์ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นอาคารคอนกรีตยกพื้น ๑ ชั้น สร้างมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่ง ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ในช่วงหน้าฝนเกิดน้ำท่วมขัง ไม่สะดวกต่อการ พักของพระภิกษุสามเณร แล้วให้พระภิกษุสามเณรย้ายไปพักที่อาคารเรียนเดิมของโรงเรียนวัด พระบรมธาตุซึ่งปรับปรุงให้เป็นห้องพัก บางส่วนพักที่กุฏิไม้สักน๊อคดาวน์ ซึ่งจัดโซนไว้เป็นเขต สังฆาวาสโดยเฉพาะทางบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของวัด ซึ่งเป็นบริเวณต่อกับกุฏิเฉาก๊วยชากังราว ประชาสรรค์ที่สร้างไว้ก่อนหน้า
๔. เคลื่อนย้ายกุฏิหลวงปู่วิเชียรโมลี (ปลั่ง) อดีตเจ้าอาวาสที่มีการสร้างมาตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๗๐ จากเดิมที่หันหน้าเข้าหาองค์พระบรมธาตุ ให้เข้าแนวภูมิทัศน์ใหม่ โดยหันหน้ามาทางทิศ ตะวันออก ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์หลวงปู่วิเชียรโมลี
๕. เคลื่อนย้ายอาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรมหลังเก่าซึ่งเป็นอาคารไม้ ๒ ชั้น จากเดิมที่อยู่ ติดกับกุฏิหลวงปู่วิเชียรโมลีและหันหน้าเข้าหาองค์พระบรมธาตุ ให้เข้าแนวภูมิทัศน์ใหม่ โดยหัน หน้ามาทางทิศตะวันออก ถัดจากจากกุฏิหลวงปู่วิเชียรโมลี ปัจจุบันบูรณปฏิสังขรณ์และใช้เป็นหอ คัมภีร์โบราณ
๖. ตัดถนนจากถนนหลักสายนครชุมไปยังลานพระบรมธาตุ ทำฟุตบาท ทำวงเวียน ตรงหน้าองค์พระบรมธาตุ
๗. สร้างลานจอดรถ เทพื้นคอนกรีต ฝั่งตรงขามกับเขตสังฆาวาสใหม่ ซึ่งสามารถจอด รถยนต์ได้ประมาณ ๑๐๐ คัน
๘. สร้างรั้วด้านหน้าวัด และรั้วกั้นเขตสังฆาวาสกับเขตพุทธาวาส
๙. สร้างปุญญาคาร เป็นอาคารอำนวยการทำบุญและประชาสัมพันธ์ของวัด
๑๐. ตัดตั้งเสาไฟฟ้า ออกแบบเป็นเสาหงส์ส่องสว่างรอบลานพระบรมธาตุและถนน
๑๑. ปรับปรุงอาคารเรียน ป.๑ ข. ซึ่งเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนวัดพระบรมธาตุเดิม ใช้ ประโยชน์เป็นกุฏิสามเณร สามารถพักได้ประมาณ ๑๐๐ รูป

ในปีงบประมาณเดียวกันนี้ ทางจังหวัดกำแพงเพชรโดยนายสุรพล วาณิชเสนี ผู้ว่าราชการ จังหวัด ยังได้อนุมัติงบประมาณเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณคลองสวนหมากทางทิศเหนือของวัด พระบรมธาตุ จากที่ตื้นเขินให้มีน้ำไหลเข้าเหมือนในอดีต มีการถมดินบริเวณร่องแนวคลองสวน หมากเดิมกับคลองสวนหมากปัจจุบันให้มีพื้นราบเสมอกับลานพระบรมธาตุ เพื่อที่จะสร้างอาคาร เพื่อส่งเสริมทางการท่องเที่ยวและเป็นอาคารทำกิจกรรมของชุมชน เบื้องต้นนั้นตามแผนคือว่าจะ สร้างให้เป็น “ตลาดน้ำนครชุม” ซึ่งท่านผู้ว่า ฯ สุรพลเคยมีประสบการณ์การทำตลาดน้ำที่ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ประสบความสำเร็จมาแล้ว

ในระหว่างการถมดินได้มีการค้นพบก้อนศิลาแลงขนาดใหญ่จำนวนมากที่บริเวณใกล้กับ ลานพระบรมธาตุ ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นศิลาแลงส่วนประกอบของเสาและฐานวิหารหลวงของ วัดพระบรมธาตุในสมัยสุโขทัย ซึ่งครั้งสร้างพระบรมธาตุองค์ใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการนำ ก้อนศิลาแลงเหล่านี้ลงมาเป็นแนวกั้นกระแสน้ำเซาะตลิ่ง ทำให้ชาวนครชุมเรียกบริเวณนี้ว่า “หัว รอ” ผู้เขียนเสนอหลวงพ่อให้ทางผู้รับเหมาขุดศิลาแลงทั้งหมดขึ้นมาไว้แล้วค่อยถมดิน เพื่อเป็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลวงพ่อเห็นด้วยและขอร้องผู้รับเหมาตามนั้น ภายหลังหลวงพ่อได้นำ ก้อนศิลาแลงบางส่วนมาจัดแสดงไว้ตามมุมขององค์พระบรมธาตุ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา ความเป็นมาในอดีตของวัดพระบรมธาตุ

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๓
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม

 14 
 เมื่อ: มีนาคม 12, 2025, 03:23:24 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๑: (ต่อ) แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

๕ ปีสร้าง(๒)
๔. สร้างคนผ่านการอบรมยุวมัคคเทศก์ หลังจากที่หลวงพ่อบูรณปฏิสังขรณ์ศาลาการ เปรียญหลังเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านของศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม ผู้เขียนได้มีโอกาสมารู้จักกับหลวงพ่อครั้งแรกผ่านการอบรมยุวมัคคเทศก์เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๕๒ จำ ได้ว่าปีนั้นทางกระทรวงวัฒนธรรมได้มีการประกวดศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนทั่วประเทศ หลวงพ่อได้ติดต่อกับผู้เขียนผ่านทางคุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ และคุณครูอัญชรี กัลปพฤกษ์ โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม ซึ่งรู้จักกับผู้เขียนโดยบังเอิญในคราวคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จัดโครงการอบรมครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษาในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดย ผู้เขียนแนะนำผ่านคุณครูทั้งสองคนว่าวัดพระบรมธาตุมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่น่าสนใจ หากมีการนำ เยาวชนมาอบรมเป็นยุวมัคคุเทศก์ก็จะทำให้น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนขณะนั้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม ประวัติศาสตร์สองข้างทาง สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ยินดี ที่จะมาช่วยอบรม คุณครูทั้งสองคนได้มาเล่าให้หลวงพ่อฟัง และคิดว่าควรมีการอบรมยุวมัคคเทศก์ ลองดู เผื่อจะถูกใจคณะกรรมการที่มาประเมินให้คะแนน

ผู้เขียนกับคณะเดินทางจากมหาวิทยาลัยนเรศวรโดยรถโดยสารมาถึงวัดพระบรมธาตุก็ราว เพลพอดี กินข้าวเที่ยงทำความคุ้นเคยกับนักเรียนที่จะมาอบรมราว ๒๐ คน จากนั้นก็อบรมความรู้ ภาคทฤษฎีเล็กน้อย ก่อนนำไปสู่การฝึกบรรยายนำชมจริง โดยหลวงพ่อให้โจทย์ว่า “ทำยังไงก็ได้ ขอให้เด็กพวกนี้พูดได้ บรรยายได้ และเข้าใจในสิ่งที่กำลังพูด” ปรากฏว่าเมื่อถึงบ่าย ๓ โมงกว่า ๆ นักเรียนที่เข้าอบรมก็สามารถบรรยายนำชมได้แล้ว วันนั้นหลวงพ่อได้ทำหน้าที่เป็นนักท่องเที่ยว เพื่อทดสอบการนำชมของยุวมัคคุเทศก์ด้วย ซึ่งหลวงพ่อประทับใจมาก ไม่คิดว่าทั้งคนฝึกและ นักเรียนจะสามารถทำได้ขนาดนี้ ก่อนที่จะกำชับว่าให้นักเรียนหมั่นเข้ามาฝึกฝน และนำชมจริง ๆ ได้เลยในช่วงวันหยุด ทางวัดจะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารเอง จากนั้นผู้เขียนและคณะก็เดินทางกลับ โดยหลวงพ่อจัดรถยนต์ของวัดมาส่งที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมทั้งเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อค่ำ เป็นการขอบคุณด้วย

ต่อมาเมื่อทางคณะกรรมการจากกระทรวงวัฒนธรรมมาประเมินตรวจเยี่ยมศูนย์ส่งเสริม วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมที่วัดพระบรมธาตุ ทางยุวมัคคุเทศก์ที่ผ่านการอบรมก็ได้ แสดงฝีมือให้คณะกรรมการชม ปรากฏว่าผลการประกวดศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมได้รับรางวัลดีเด่นระดับ ภาคเหนือ ผู้เขียนจำคร่าว ๆ ได้ว่าได้รับเงินรางวัล ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมโล่เกียรติยศ เมื่อรับ รางวัลมาแล้วหลวงพ่อได้ประสานกับผู้เขียนอีกครั้ง บอกว่าครั้งนี้จะจัดอบรมยุวมัคคุเทศก์อย่าง เป็นทางการ มีนักเรียนจากโรงเรียนในชุมชนเข้าร่วม ๔๐ คน ใช้เวลาอบรม ๒ วัน ๑ คืน เรียกการ อบรมครั้งนั้นว่า “การอบรมยุวชนน้อยทูตวัฒนธรรม” การอบรมลุล่วงไปด้วยดีด้วยความช่วยเหลือ ของคุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ คุณครูอัญชรี กัลปพฤกษ์ คุณครูธิดามาตย์ สถิตย์อยู่ และคุณครูอีกหลายคนจากโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมและโรงเรียนอนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) หลังจากนั้นในช่วงวันหยุดก็จะมีนักเรียนหมุนเวียนกันตามเวรมาประจำที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านศูนย์ ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมที่วัดพระบรมธาตุ เพื่อต้อนรับและบรรยายข้อมูล ให้กับนักท่องเที่ยวเรื่อยมา

จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม ก็ได้รับ รางวัลโล่เกียรติยศดีเด่นระดับประเทศ ซึ่งคณะกรรมการผู้ประเมินให้ความเห็นว่า ที่ได้รับรางวัลก็ เพราะที่วัดพระบรมธาตุมียุวมัคคุเทศก์ ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนได้เรียนรู้และอนุรักษ์ วัฒนธรรมท้องถิ่น มีคนหลายวัยมาร่วมทำกิจกรรม เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ของโครงการศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนของกระทรวงวัฒนธรรม

แม้ว่าในช่วงหลังจากการอบรมราว ๒ ปี ยุวมัคคุเทศก์ที่มาคอยนำชมจะลดลง เนื่องจาก สำเร็จการศึกษา แต่หลวงพ่อก็พยายามที่จะ “สร้างคน” ให้เป็นคนที่มีจิตอาสาและรักบ้านเกิดผ่าน กิจกรรมอบรมยุวมัคคุเทศก์ ดังพบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลวงพ่อได้จัดอบรมยุวมัคคุเทศก์อีกครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการวิจัยเรื่อง “การอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งโบราณคดีตำบลนครชุม อำเภอ เมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร” ซึ่งหลวงพ่อเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย และได้รับการยกย่อง ให้เป็นงานวิจัยดีเด่นของสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในปี นั้นด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก็ได้มีการพัฒนาจากการอบรมยุวมัคคุเทศก์เป็น “ยุววิจัย” ผ่าน โครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาองค์ความรู้เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้การอนุรักษ์และพัฒนา แหล่งโบราณคดีจังหวัดกำแพงเพชร” ซึ่งได้รับการเงินสนับสนุนการวิจัยจากกองทุนสนับสนุนการ วิจัย (สกว.) จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อพยายามที่จะ “สร้างคน” ในท้องถิ่นตั้งแต่ระดับนักเรียนและ เยาวชนให้เป็นผู้มีความรู้และมีจิตสำนึกรักบ้านเกิดมาโดยตลอด

ผลในความทุ่มเทในการ “สร้างคน” ไม่เพียงแต่หลวงพ่อจะเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วน ในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรมให้กับสังคมประเทศชาติเท่านั้น แต่ผลงาน อันเป็นรูปธรรมเชิงประจักษ์ของหลวงพ่อยังทำให้หลวงพ่อได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องมากมาย เช่น ได้รับรางวัล “วัฒนคุณาธร” ซึ่งเป็นรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์แก่กระทรวงวัฒนธรรม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และรางวัล “พุทธคุณูปการ” ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ในงาน ครบรอบ ๖๕ ปี คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้น

ในช่วง “๕ ปีสร้าง” หลวงพ่อไม่ได้แค่เพียงสร้างถาวรวัตถุและสร้างคนเท่านั้น ที่สำคัญคือ หลวงพ่อยัง “สร้างตน” อีกด้วย สร้างตนในที่นี้หมายถึงหลวงพ่อได้พยายามที่จะศึกษาหาความรู้ เพื่อพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง โดยสมัครเข้าศึกษาต่อระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหาร การศึกษา ที่บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ หลวงพ่อ ทุ่มเทกับการเรียนอย่างเต็มที่ควบคู่กับการพัฒนาวัด โดยเดินทางมาเรียนในทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ จนในที่สุดก็สำเร็จการศึกษาหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา จาก มหาวิทยาลัยนเรศวร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิตเรื่อง “อนาคต ศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย” ซึ่งเป็นความพยายามของหลวงพ่อที่จะใช้ข้อมูลจากการทำ วิทยานิพนธ์นี้ไปพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์

และในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ยังได้เข้าศึกษาต่อหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (รุ่นที่ ๑) ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ซึ่งหลวงพ่อต้องเดินทางลงมาเรียนทุกวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ในทุกสัปดาห์ โดยช่วงนี้หลวงพ่อมีรถตู้ส่วนตัวเป็นรถยี่ห้อฮุนไดเป็นพาหนะในการเดินทาง มีโยมพระนมหรือ คุณทณภพ ศิรินาค ชาวบ้านคุยป่ารังทำหน้าที่คนขับและอุปัฏฐากในระหว่างการเดินทาง นอกจาก จะเดินทางมาเรียนแล้ว หลวงพ่อยังต้องมาเป็นอาจารย์ผู้สอนในหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยด้วย เพราะหลวงพ่อ ได้รับแต่งตั้งเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรชุดแรกของหลักสูตรนี้ เนื่องจากมีคุณวุฒิระดับปริญญา เอกที่ตรงกับหลักสูตรที่ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทำการเปิดการเรียนการสอน

โชคดีว่าในการมาเรียนและมาสอนนั้นหลวงพ่อได้ชวนพระสังฆาธิการหลายรูปในจังหวัด กำแพงเพชรให้มาเรียนต่อระดับปริญญาเอกด้วยกัน นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าน้ำมันรถแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อจะได้เปิดสอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสน ศาสตร์ ที่หน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร ต่อไปในอนาคต ซึ่งประกอบด้วย พระครู วชิรคุณพิพัฒน์ (เอนก คุณวุฑฺโฒ ป.ธ. ๓) วัดถาวรวัฒนาใต้ เจ้าคณะอำเภอทรายทองวัฒนา และ รองผู้อำนวยการหน่วยวิทยบริการ ฯ ฝ่ายบริหาร (ปัจจุบันเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร

ผลงานที่หลวงพ่อทุ่มเทในการสร้างคนและสร้างวัดในช่วงเวลานี้ ทำให้เป็นที่ประจักษ์ต่อ สายตาบุคคลทั่วไปที่เข้ามายังวัดพระบรมธาตุ ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้หลวงพ่อได้รับ ยกย่องและได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจากหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้รับโล่ “คุรุสดุดี” จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต ๑ และในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อยังได้รับรางวัลผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาระดับ “กาญจนเกียรติคุณ” โดย คณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น

ด้วยอานิสงส์ผลบุญที่หลวงพ่อได้กระทำในการพัฒนาวัดพระบรมธาตุ พัฒนาคนและ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ขึ้นมารับภารธุระเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ยังทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ให้หลวงพ่อเป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ “พระราชวชิรเมธี” ดังปรากฏในสัญญาบัตรว่า “ให้พระศรีวชิราภรณ์ เป็นพระราชวชิรเมธี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดพระบรม ธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดกำแพงเพชร” ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งราชทินนามที่ “พระราชวชิรเมธี” นั้นยังไม่เคยปรากฏว่าเป็นราชทินนามที่เคยมีการพระราชทานให้แก่พระภิกษุ รูปใดมาก่อน หลวงพ่อจึงเป็นพระภิกษุหรือพระราชาคณะรูปแรกของประเทศไทยที่ได้รับ พระราชทานราชทินนามว่า “วชิรเมธี” นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ในการจัดงานต้อนรับสัญญาบัตร พัดยศและสมโภชสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นราชของ หลวงพ่อ จัดขึ้น ณ ศาลาเปรียญวัดพระบรมธาตุ ในงานได้มีพระเถรานุเถระและพุทธศาสนิกชน จำนวนมากมาร่วมแสดงมุทิตายินดีกับหลวงพ่อ หลวงพ่อเมตตาให้จัดสร้างวัตถุมงคลที่เป็นภาพ หลวงพ่อขึ้นเป็นรุ่นแรกในการนี้ เป็นเหรียญรูปพัดยศ แหนบรูปพัดยศ และเหรียญทรงกลม ซึ่งเป็น ที่กล่าวกันในภายหลังว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อรุ่นนี้เน้นเนื่องเมตตามหานิยมเป็นหลัก

ตอนนั้นผู้เขียนขึ้นไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ เมื่อได้ทราบข่าวอันเป็นมงคลก่อนที่หลวงพ่อจะเข้ารับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ จึงได้ ประสานกับคุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ เพื่อแจ้งความประสงค์ว่าจะขอเขียนหนังสือ “เมืองโบราณ นครชุมและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน วัดพระบรมธาตุ” ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทความเรื่องเมืองโบราณนครชุมและศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม วัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง เพื่อจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาสดังกล่าว คุณครูสุภิตราจึงได้เรียนให้หลวงพ่อทราบ และหลวงพ่อ มีความยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้มีหนังสือที่มี องค์ความรู้ทางประวัติท้องถิ่นมอบให้ผู้มาร่วมงาน โดยทางคณะสงฆ์ กรรมการทายก ทายิกา วัดพระบรมธาตุ ได้จัดพิมพ์ถวายจำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๒
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม

 15 
 เมื่อ: มีนาคม 11, 2025, 05:06:04 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๐ : (ต่อ) แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

๕ ปีสร้าง (๑)
แม้หลวงพ่อจะกำหนดไว้ว่าช่วง พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๕ แต่ในความเป็นจริงการ ซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในวัดพระบรมธาตุนั้นดูเหมือนจะลงตัวเข้าที่เข้าทางตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๙ จึงทำให้หลวงพ่อเริ่มที่จะสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในวัดเพิ่มเติมขึ้นใหม่เพื่อใช้งานในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เริ่มต้นจากการก่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ซึ่งเป็นอาคารชั้น เดียว กว้าง ๘ เมตร ยาว ๕๐ เมตร แบ่งเป็นห้องต่าง ๆ ทั้งห้องเรียนและห้องทำกิจกรรมของ นักเรียน (ปัจจุบันเป็นห้องเรียนของวิทยาลัยสงฆ์กำแพงเพชร) การตั้งชื่อโรงเรียนพระปริยัติธรรม ของวัดพระบรมธาตุว่า โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” นั้น สืบเนื่องมาจากตั้งเป็น เกียรติแด่พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) เป็นผู้อุปถัมภ์การ ก่อสร้าง ทั้งเป็นต้นแบบของพระภิกษุผู้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉาน ได้รับพระกรุณาโปรด เกล้า ฯ เป็นราชบัณฑิต ทั้งยังเป็นพระภิกษุชาวกำแพงเพชรที่เคยอาศัยอยู่ที่วัดพระบรมธาตุมา ก่อน ซึ่งในขณะนั้นท่านมีสมณศักดิ์และราชทินนามที่ “พระธรรมกิตติวงศ์”

จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อและพระเถระภายในวัดให้ข้อมูลตรงกันว่า ก่อนหน้าที่จะมี การสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” นั้น บริเวณทางทิศตะวันออก ของพระอุโบสถนั้นถูกปล่อยให้เป็นป่ารกร้าง มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่หลายต้น ด้านล่างเป็นป่าหญ้าคา แทบไม่มีใครอยากจะเดินไปทางนั้น บางครั้งเมื่อจะมีงานบวชทางเจ้าภาพก็ต้องไปถางป่าให้เตียน ให้เวียนรอบพระอุโบสถได้ เพราะเป็นพื้นที่ว่างไม่ได้ใช้ประโยชน์ หลวงพ่อจึงดำริให้มีการสร้าง อาคารเรียนขึ้นที่บริเวณดังกล่าว เพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ของวัดให้คุ้มค่ามากที่สุด

จากนั้นหลวงพ่อยังได้ดำเนินการปรับถมที่ดินภายในบริเวณวัดทางทิศใต้ (บริเวณลานจอด รถปัจจุบัน) ที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่น โดยการนำดินมาถมแล้วเกรดปรับระดับให้เท่ากับพื้นปกติ ขณะเดียวกันก็ดำเนินการปรับถมที่บริเวณสนามฟุตบอลของโรงเรียนวัดพระบรมธาตุและปลูก สนามหญ้า ทั้งนี้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น มหาเถรสมาคมมีมติจัดพิธีทรงตั้งเปรียญธรรม ๓ ประโยค และมอบวุฒิบัตรประโยค ๑ - ๒ ของคณะสงฆ์หนเหนือ ณ วัดพระบรมธาตุ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑ จึงจำเป็นต้องปรับสถานที่เพื่อรองรับพระเถรานุเถระ สามเณรและญาติโยมจาก ทุกจังหวัดในภาคเหนือที่เดินทางมาร่วมงาน ถือว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของวัดพระบรมธาตุ ในสมัยนั้น

พ.ศ. ๒๕๕๒ หลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีก ๑ หลัง เป็นอาคาร ทรงไทยพื้นถิ่น แบบนครชุม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียวจำนวน ๕ ห้อง หลังคามุงด้วย กระเบื้องโบราณ พื้นปูด้วยหินแกรนิตอย่างดี มีพื้นที่ใช้สอย ๑๔๒ ตารางเมตร และมีเรือนมุขหน้า สำหรับเป็นห้องพักครูสอนด้วย ตลอดจนดำเนินการสร้างอาคารควบคุม - จ่ายน้ำประปาใช้ภายในวัดพระบรมธาตุ ตัวอาคารเป็นโครงเหล็กมุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิค ถังน้ำ สแตนเลส

พ.ศ. ๒๕๕๓ หลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติมอีกเพื่อรองรับ จำนวนพระภิกษุสามเณรที่มาเรียนพระปริยัติธรรมจำนวนมากขึ้นเป็นอาคารทรงไทยพื้นถิ่น แบบ นครชุม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว จำนวน ๑ ห้องเรียน ๑ ห้องบริหาร และ ๑ ห้อง ประชุม หลังคามุงด้วยกระเบื้องโบราณ พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิคอย่างดี มีพื้นที่ใช้สอย ๑๗๐ ตารางเมตร และเริ่มดำเนินการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีก ๑ หลัง เป็นอาคารทรงไทย ประยุกต์ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว จำนวน ๑ ห้องเรียนรวม หลังคามุงด้วยกระเบื้อง ลอนคู่ พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิคอย่างดี

พ.ศ. ๒๕๕๔ หลวงพ่อได้เริ่มปรับภูมิทัศน์ทางฝั่งคลองสวนหมากโดยปลูกสร้างสวนหย่อม บริเวณริมคลองสวนหมากทางทิศเหนือของวัด เพื่อเป็นการปรับภูมิทัศน์และใช้เป็นที่พักผ่อน หย่อนใจของพระภิกษุสามเณร และประชาชนโดยทั่วไป ทั้งยังสร้างลานปฏิบัติธรรมรอบต้นพระศรี มหาโพธิ์ภายในบริเวณวัด โดยการเทพื้นด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ปูด้วยกระเบื้องเซรามิคอย่างดี ขณะเดียวกันก็ได้เทพื้นคอนกรีตลานด้านหน้าพระบรมธาตุ เพื่อใช้เป็นที่จอดรถ โดยการปรับ พื้นดินเดิมให้เสมออัดเกลี่ยทราย วางโครงเหล็กเทคอนกรีตผสมเสร็จ ในปีเดียวกันนี้หลวงพ่อยังได้ ดำริให้มีการสร้างกุฏิสงฆ์น๊อคดาวน์จำนวน ๒๐ หลัง เป็นอาคารไม้สักทรงไทยแบบนครชุม เพื่อใช้ เป็นที่พักของผู้ปฏิบัติธรรมและพระนวกะในช่วงเข้าพรรษา โดยเปิดรับบริจาคเจ้าภาพร่วมสร้าง และหลวงพ่อยังได้ดำเนินการบูรณะเตาเผาศพของวัด โดยเปลี่ยนจากเตาเผาถ่านเป็นเตาเผาระบบ ไร้ควันพิษตามแบบของกระทรวงสาธารณสุข

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ยังเป็นปีที่หลวงพ่อต้องตัดสินใจในการที่จะหาวิธีการรักษาโรงเรียนวัด พระบรมธาตุเอาไว้ด้วย โรงเรียนวัดพระบรมธาตุเดิมตั้งอยู่ภายในวัดพระบรมธาตุทางทิศใต้ ซึ่งเป็น ส่วนกุฏิสงฆ์และลานจอดรถในปัจจุบัน หลวงพ่อเป็นประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขึ้นพื้นฐาน โรงเรียนวัดพระบรมธาตุมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้เห็นว่าจำนวนนักเรียนลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ส่งบุตรหลานไปเรียนโรงเรียนอื่น เพราะเห็นว่ามีคุณภาพมากกว่า โรงเรียนวัด จนทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โรงเรียนวัดพระบรมธาตุมีนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มีจำนวนนักเรียนเพียง ๓๙ คน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากำแพงเพชร เขต ๑ จึงมีแนวคิดที่จะยุบโรงเรียนวัดพระบรมธาตุ

คุณครูเพ็ญรำเพย ขวัญวงศ์ ซึ่งเคยเป็นครูที่โรงเรียนวัดพระบรมธาตุได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
“เมื่อหลวงพ่อทราบว่าเขาคิดจะยุบโรงเรียน หลวงพ่อไม่ยอมเด็ดขาด วัดกับโรงเรียนวัด เป็นของคู่กัน หลวงพ่อจึงได้วางแผนพัฒนาโรงเรียนใหม่ทั้งหมด เริ่มต้นใหม่ เริ่มจากย้ายโรงเรียนไปอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ฟากถนน ซึ่งหลวงพ่อจัดซื้อที่ดินจากชาวบ้านได้ ๒ ไร่ เงินที่ซื้อ ที่ดินนั้นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ เป็นผู้อุปถัมภ์ จากนั้นให้เรียกชื่อโรงเรียนใหม่ ว่า โรงเรียนสาธิตวัดพระบรมธาตุ ไม่ยอมเอาชื่อวัดออกจากชื่อโรงเรียนเด็ดขาด แล้วให้ทาง โรงเรียนยื่นของบประมาณจัดสร้างอาคารเรียนหลัก ๆ จากทางกระทรวง ส่วนอาคารใช้สอยอื่น ๆ รวมทั้งรั้วโรงเรียน หลวงพ่อได้ใช้งบประมาณของทางวัดและใช้คนงานของวัดเป็นผู้ดำเนินการ

จากนั้นหลวงพ่อก็ให้เงินสนับสนุนให้จ้างครูที่จบใหม่เฉพาะด้าน ยังสอบบรรจุไม่ได้มาสอน เป็นครูอัตราจ้าง เช่นครูภาษาอังกฤษ ครูภาษาจีน ส่งพระเข้าไปเป็นพระวิทยากรอบรมธรรมศึกษา ทุกสัปดาห์ และทุกเช้าต้องมีพระหรือเณรไปบรรยายธรรมะสั้น ๆ ที่หน้าเสาธงให้นักเรียนฟังทุกวัน ทำกิจกรรมมัคนายกน้อย โดยให้นักเรียนมาร่วมทำบุญตักบาตรที่วัดในทุกวันพระ แล้วให้นักเรียน เป็นผู้นำในการไหว้พระ อาราธนาศีล ถ้ามีงานเผาศพในวัด แต่เดิมนักเรียนก็จะโดดเรียนมาแย่ง เหรียญโปรยทาน หลวงพ่อก็ให้นำนักเรียนมาเป็นจิตอาสา เสิร์ฟน้ำ แล้วให้เจ้าภาพมอบเป็น ทุนการศึกษาให้นักเรียนแทน ทางโรงเรียนก็หมุนเวียนจัดนักเรียนมาให้ทั่วถึง จากนั้นก็เริ่มมี ชาวบ้านนำลูกหลานมาเข้าเรียนเพิ่มมากขึ้น จากนักเรียน ๓๙ คนในปี ๕๔ ตอนนี้โรงเรียนสาธิตวัด พระบรมธาตุมีนักเรียนราว ๒๔๐ คน มันจะมีใครสักกี่คนที่จะกล้ามาลงทุนสร้างอะไรขนาดนี้ หลวงพ่อพูดตลอดเลยว่า ถ้าทางโรงเรียนขาดเหลืออะไรก็ขอให้บอก ไม่รู้จะมีปัญญาหาให้ได้ไหม แต่ก็จะพยายามสุดความสามารถที่มี”

ปีสุดท้ายตามแผน “๕ ปีสร้าง” ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างกุฏิสงฆ์ซึ่ง หลวงพ่อตั้งชื่อว่า “กุฏิเฉาก๊วยชากังราวประชาสรรค์” เนื่องด้วยมีบริษัทเฉาก๊วยชากังราว นำโดย ดร. เสริมวุฒิ สุวรรณโรจน์ เป็นเจ้าภาพหลัก กุฏิหลังนี้เป็นอาคารทรงไทยแบบนครชุม สร้างด้วย คอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้น จำนวน ๒๘ ห้อง หลังคามุงด้วยกระเบื้องโบราณ พื้นปูด้วยหินแกรนิต อย่างดี และดำเนินการบูรณะพระวิหารของวัดทางทิศใต้ขององค์พระบรมธาตุนครชุม โดยต่อเติมจากเดิม ๕ ห้องเป็น ๑๐ ห้อง และต่อมุขออก ๑ มุข โดยแบ่งประโยชน์ใช้สอยเป็น ๓ ส่วน คือ ใช้เป็นห้องสมุดของวัด ๑ ห้องโถงใหญ่ (๕ ห้องเล็กเดิม) เป็นห้องคอมพิวเตอร์ ๑ ห้องโถงใหญ่ และหน้ามุขที่ต่อใหม่เป็นวิหารที่ประดิษฐานรูปหล่ออดีตเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุและเจ้าคณะ จังหวัดกำแพงเพชร ๓ รูป คือ พระครูธรรมาธิมุตมุนี (สี) พระวิเชียรโมลี (ปลั่ง) และพระสิทธิวชิร โสภณ (ช่วง)

ที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นการสร้างถาวรวัตถุภายในวัดพระบรมธาตุเพื่อประโยชน์ใช้สอย แต่นอกจากการสร้างถาวรวัตถุแล้ว ในช่วง “๕ ปีสร้าง” ของหลวงพ่อ ยังได้มีการ “สร้างคน” ซึ่ง หลวงพ่อบอกว่าเป็นการสร้างที่ยากและมีความสำคัญมากกว่าการสร้างสิ่งอื่นใด เพราะการสร้าง คนคือการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรมให้กับสังคมประเทศชาติ การสร้างคนของ หลวงพ่อสามารถแยกได้เป็น ๔ ส่วน

ได้แก่ ๑. สร้างคนผ่านการเรียนการสอนสามเณรในโรงเรียนพระปริยัติธรรม หลังจากหลวงพ่อ ตั้งและสร้างอาคารเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ขึ้น ก็มีการเปิดรับพระภิกษุ สามเณรเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งมีการเรียนการสอนทั้งแผนกธรรม แผนกบาลี และแผนก สามัญในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม. ๓) เป็นการสร้างศาสนทายาทไปพร้อมกัน โดยหลวงพ่อ มีความโชคดีที่มีพระมหาจำเนียร จิรวํโส ป.ธ. ๙ ซึ่งเป็นนาคหลวงจากสำนักเรียนวัดนิมมานรดี กรุงเทพ ฯ ซึ่งเป็นชาวจังหวัดกำแพงเพชรมาเป็นอาจารย์ใหญ่ช่วยหลวงพ่อในการดูแลบริหารการ จัดการเรียนการสอนโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งพระมหาจำเนียรก็ได้ติดตามมาช่วยงานหลวงพ่อ และได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ (ปัจจุบันพระ มหาจำเนียร จิรวํโส ป.ธ. ๙ ได้รับพระราชทานสมศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เปรียญ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙ ที่พระเมธีวชิรภูษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ และรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระ บรมธาตุ) ปัจจุบันมีพระครูศรีวชิรธำรง (ทรงวุฒิ อายุโท ป.ธ. ๗) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่ต่อจากพระเมธีวชิรภูษิต ซึ่งมีภาระงานทางคณะสงฆ์เพิ่มมากขึ้น

การเรียนการสอนในช่วงแรกหลวงพ่อทุ่มเทกับการสอนมาก ในช่วงเย็นจะให้สามเณรมา สอบท่องบาลีเป็นประจำ หลวงพ่อจะให้กำลังใจนักเรียนเสมอ ขอให้ตั้งใจเรียนเพื่ออาศัยพระบาลี รักษาพระพุทธศาสนาและทำให้มีอนาคตที่เจริญยิ่งขึ้นเหมือนหลวงพ่อ ช่วงเวลาดังกล่าวมี พระภิกษุสามเณรมาบวชเรียนที่วัดพระบรมธาตุจำนวนมาก ปีละไม่น้อยกว่า ๑๐๐ รูป ต่อมา เนื่องจากครูสอนมีไม่มากจึงสามารถเรียนได้ถึงเปรียญธรรม ๖ ประโยคเท่านั้น หากรูปไหนมีความ ประสงค์จะศึกษาต่อหลวงพ่อก็จะฝากฝังให้เข้าเรียนในสำนักเรียนต่าง ๆ ในกรุงเทพ ฯ ทำให้มี พระภิกษุสามเณรที่เคยศึกษาอยู่ที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ผ่านการสอบไล่ตั้งแต่เปรียญธรรม ๗ ประโยคจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยคจำนวนหลายรูป ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้แก่หลวงพ่อเป็นอย่างมาก เวลาเล่าถึงพระมหาที่สอบได้ประโยคสูง ๆ ที่หลวงพ่อเคยสอน ท่าน จะเล่าอย่างมีความสุขและภาคภูมิใจเสมอ เช่น พระมหาสุขุม อุตฺตโม ป.ธ. ๙ เจ้าอาวาสวัดบุญมั่น ศรัทธาราม พระมหานพรัตน์ ภทฺทวิญฺญู ป.ธ. ๙ ครูสอนบาลีวัดสุทัศนเทพวราราม และพระครู ปลัดสุวัฒนสารคุณ (สุชาติ สุชาตเมธี ป.ธ. ๘) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นต้น

พระมหานพรัตน์ ภทฺทวิญฺญู ป.ธ. ๙ วัดสุทัศนเทพวราราม ได้บันทึกคำสอนของหลวงพ่อ ที่มอบให้กับนักเรียนบาลีที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” วัดพระบรมธาตุเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งหลวงพ่อเรียกว่า “คาถาประสบความสำเร็จ” เอาไว้ว่า
“พอจะจำความได้ว่า เมื่อครั้งประชุมประจำเดือนหรือการปฐมนิเทศของวัดพระบรมธาตุ กำแพงเพชรนี่แหละแต่จำได้แม่นคือ เป็นปี ๒๕๕๔ แน่ หลวงพ่อพระราชวชิรเมธี (ปัจจุบัน พระเทพวชิรเมธี) ได้กล่าวให้กำลังใจกับนักเรียนบาลีและได้ให้คาถาประสบความสำเร็จ ท่านบอก ว่า ถ้าใครอยากประสบความสำเร็จในการเรียนบาลีให้ท่องจำคาถานี้ไว้ให้ดี (ไอ้เราก็นึกในใจด้วย ความดีใจว่า คงจะเป็นคาถาเด็ดจากหลวงพ่อเป็นแน่ จึงตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างดี) ท่านว่าคาถานี้มี อยู่แค่ ๓ คำเท่านั้น คือ “ทน ทน ทน” อดทนถึงที่ได้ดีทุกคน ไม่น่าเชื่อด้วยคำเพียงเท่านี้ กระผม จำได้ตั้งแต่วันนั้นไม่ลืมจนถึงวันนี้ เมื่อครั้งเรียนบาลี เรียนทางโลก หรือทำอะไรก็ตาม พอเกิดความ เบื่อ เหนื่อย เมื่อย ล้า หน่าย ก็จะระลึกถึงคาถาของหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา จึงทำให้มีแรงใจสู้ ตลอดเรื่อยมา กระทั่งปัจจุบันเป็นครูสอนบาลีก็จะใช้คาถานี้บอกกับนักเรียนเพื่อเป็นกำลังใจให้เขา อดทนกับการเรียน”

แม้ในช่วงจากนี้ไปหลวงพ่อจะมีภารธุระทั้งงานบริหารวัด บริหารมหาวิทยาลัยสงฆ์ และ กิจนิมนต์ต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยทิ้งการเป็นครูสอนบาลีเลย วันไหนที่ว่าง ๆ อยู่ ภายในวัด หลวงพ่อก็จะให้นักเรียนบาลีชั้นเปรียญธรรม ๕ - ๖ ประโยคเข้ามาเรียนที่กุฏิเสมอ นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้รับแต่งตั้งจากแม่กองบาลีสนามหลวงให้เป็นกรรมการตรวจบาลี สนามหลวง ชั้นประโยค ป.ธ. ๕ ณ วัดสามพระยา กรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๓ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจบาลีสนามหลวง ชั้นประโยค ป.ธ. ๖ ทุกปีหลวงพ่อจะลงไปทำหน้าที่กรรมการตรวจข้อสอบมิเคยขาด จนกระทั่งอาพาธหนักจึง แจ้งให้ทางแม่กองบาลีสนามหลวงทราบว่าไม่สามารถไปตรวจข้อสอบได้

๒. สร้างคนผ่านการสอบธรรมศึกษา หลวงพ่อได้ส่งเสริมให้โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ โรงเรียนอนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) และโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมซึ่งอยู่ในเขต ชุมชนนครชุมและอยู่ใกล้กับวัดพระบรมธาตุเข้าร่วมโครงการสอบธรรมศึกษาของคณะสงฆ์ โดย หลวงพ่อได้สนับสนุนพระภิกษุสามเณรเข้าไปสอนธรรมศึกษาและอบรมธรรมศึกษาในโรงเรียน ดังกล่าวสัปดาห์ละ ๑ วัน ซึ่งทำอย่างนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้ว และมีผู้กล่าวว่านี่ เป็นบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของหลวงพ่อที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

คุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ ข้าราชการบำนาญ อดีตครูโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม ซึ่ง เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้มีการสอบธรรมศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวชิรปราการ วิทยาคมได้กล่าวเน้นย้ำกับผู้เขียนว่า “การเขียนประวัติหลวงพ่อครั้งนี้ อย่าลืมเขียนเรื่องการสอบ ธรรมศึกษาโดยเด็ดขาด เพราะเป็นผลงานที่สุดยอดของหลวงพ่อที่หาใครมาเทียบไม่ได้ การสอบ ธรรมศึกษามันไม่ใช่ได้ผลงานจากจำนวนผู้เข้าสอบหรือตัวเลขผู้สอบผ่านนะ แต่หลวงพ่อให้พระ เณรเข้ามาอบรมนักเรียนช่วงก่อนสอบ และมีพระเณรมาสอนทุกสัปดาห์ หมุนเวียนกันมา การสอน ก็ไม่ได้มีแค่มุ่งให้สอบผ่านอย่างเดียวไง แต่มันเป็นกระบวนการขัดเกลาจิตใจและพฤติกรรมของ นักเรียนร่วมด้วย สมัยนั้นก่อนที่หลวงพ่อยังไม่อาพาธ นักเรียนนี่เชื่อฟังครูนะ ไม่เหมือนทุกวันนี้ที่ พระเณรก็ห่าง ๆ โรงเรียนไปตามบริบทนั่นแหละ”

คำพูดดังกล่าวก็ไม่เกินไปจากความเป็นจริง เพราะเป็นผลงานการสร้างคนที่ทำให้เยาวชน ในเขตตำบลนครชุมและพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดกำแพงเพชรได้เรียนรู้หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นที่ชื่นชมของบุคคลต่าง ๆ ซึ่งทาง โรงเรียนก็ร่วมมือกับหลวงพ่อเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นการจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาแนว ใหม่ ทำให้มีการขยายสถานที่สอบจากวัดไปสู่โรงเรียน เริ่มต้นจากโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมซึ่ง ขณะนั้นมี ดร. สุทธิพงษ์ ธรรมสอน เป็นผู้อำนวยการก็ได้เอาใจใส่กิจกรรมสอบธรรมศึกษาและสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของวัดเป็นอย่างดี ก่อนที่จะขยายไปยังโรงเรียนวัดพระบรมธาตุ โรงเรียน อนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) โรงเรียนเพ็ชระศึกษา และโรงเรียนเจริญสุขอุดมวิทยา

สนามสอบธรรมสนามหลวง โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม ถือเป็นสนามสอบธรรมศึกษาที่ ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกำแพงเพชร หลวงพ่อจะเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทนมาเป็นประธานนพิธี เปิดการสอบเสมอ โดยมีหลวงพ่อเป็นผู้แทนแม่กองธรรมสนามหลวงอ่านคำปรารภแม่กองธรรม สนามหลวง เมื่อผลของการสร้างคนเริ่มผลิบาน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและสนับสนุน การสอบธรรมศึกษาในโรงเรียน หลวงพ่อก็ส่งเสริมให้ได้รับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ผู้ทำ คุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา โดยเข้ารับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักรจากสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งดำรงพระยศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา เช่น โรงเรียนว ชิรปราการวิทยาคม โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ คุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ คุณครูเพ็ญรำเพย ขวัญ วงศ์ เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติงานสนองงานคณะสงฆ์ด้านการสอบธรรมศึกษาเกิดขวัญกำลังใจเป็น อย่างมาก

๓. สร้างคนผ่านการเรียนที่หน่วยวิทยบริการ มจร กำแพงเพชร แม้ว่าหลวงพ่อจะย้าย ขึ้นมาอยู่วัดพระบรมธาตุแล้ว แต่หลวงพ่อก็ยังต้องเดินทางลงไปสอนที่วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์เป็น ประจำ และได้ทราบว่ามีพระภิกษุสามเณรในเขตจังหวัดกำแพงเพชรที่สนใจศึกษาต้องเดินทางไกล ลงไปเรียนที่จังหวัดนครสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อจึงดำเนินการขออนุญาตเปิดหน่วยวิทยบริการ วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ ณ วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (หน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยหลวงพ่อได้รับ แต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการหน่วยวิทยบริการ มจร จังหวัดกำแพงเพชร ทำการเรียนการสอนใน หลักสูตรประกาศนียบัตร การบริหารกิจการคณะสงฆ์ (ป.บส.) สำหรับพระสังฆาธิการ แล้วปีต่อมา ก็เปิดหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ สำหรับพระภิกษุสามเณร และ หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สำหรับบุคคลทั่วไป ตามลำดับ

การตั้งหน่วยวิทยบริการ มจร จังหวัดกำแพงเพชรขึ้นนั้นได้ใช้อาศัยเรียนส่วนหนึ่งของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ภายในวัดพระบรมธาตุเป็นสถานที่เล่าเรียนและเป็นที่ ปฏิบัติงานของบุคลากร กล่าวได้ว่าหน่วยวิทยบริการ มจร จังหวัดกำแพงเพชร ถือว่าเป็นแหล่ง สร้างพระสังฆาธิการที่มีความรู้ความสามารถทางวิชาการและการบริหารกิจการคณะสงฆ์ให้กับ คณะสงฆ์จังหวัดกำแพงเพชร เพราะนิสิตที่มาเรียนส่วนใหญ่ที่มาเรียนล้วนแต่เป็นพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะตำบลในเขตจังหวัดกำแพงเพชร ส่วนหลักสูตรรัฐศาสตร์ก็มี บุคคลทั่วไปมาเรียนจำนวนมาก นิสิตกลุ่มนี้ก็เป็นกำลังในการส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๑
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม

 16 
 เมื่อ: มีนาคม 11, 2025, 05:00:30 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๙ :  แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

 เมื่อหลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ตามระเบียบ กฎหมายของคณะสงฆ์ก็ถือว่าหลวงพ่อเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดพระบรมธาตุ ที่มี ความอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์และคุณวุฒิ (ซึ่งแต่เดิมพระมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยคก็เป็น สมณศักดิ์ที่สูงกว่าพระครูผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับภายใน วัด) ทางเจ้าคณะผู้ปกครองจึงเสนอชื่อหลวงพ่อเพื่อรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้งให้ หลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ จังหวัดกำแพงเพชร

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน ป.ธ. ๙) เมื่อครั้งดำรง พระยศสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จึงอาศัยอำนาจตาม ความในข้อ ๓๓ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระ สังฆาธิการ ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และตามมติมหาเถรสมาคม ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๔๕ เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๕ จึงแต่งตั้งให้พระศรีวชิราภรณ์ (วีระ) ฉายา วรปญฺโญ อายุ ๔๒ พรรษา ๒๒ วิทยาฐานะ ป.ธ. ๙ พธ.บ. วัดพระบรมธาตุ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระ บรมธาตุ ตำบลนครชุม อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร มีอำนาจและหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ แต่งตั้ง ณ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๔๕

การที่หลวงพ่อได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุอย่างเป็นทางการ ถือ ว่าเป็นผลดีสำหรับการเริ่มต้นในการปรับปรุง ซ่อมแซมและพัฒนาวัดพระบรมธาตุของหลวงพ่อ ที่ สำคัญคือยังความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นภายในวัดพระบรมธาตุ เพราะจากนี้ไปภายในวัดพระบรมธาตุจะไม่มีการแบ่งกลุ่มแบ่งพวกเหมือนช่วง ๓ - ๔ ปีที่ผ่านมา เนื่องจากบัดนี้ทางวัดได้ เจ้าอาวาสตัวจริงแล้ว ซึ่งในท้ายพระบัญชาแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวงยังมีข้อความกำชับไว้ ชัดเจนว่า “พระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ที่อยู่ในวัดดังกล่าวข้างต้น จงอยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาส ที่ได้รับแต่งตั้งแล้วนั้น ซึงปฏิบัติการโดยชอบด้วยพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติประกาศของมหาเถรสมาคม” ดังนั้น พระภิกษุสามเณรภายในวัดจึง ต้องปฏิบัติตาม หลวงพ่อจึงมีอำนาจโดยชอบธรรมในการบริหารวัดพระบรมธาตุ

ในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อยังได้รับคัดเลือกจากคณะสงฆ์จังหวัดกำแพงเพชรในการเข้าสอบ พระอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อสามารถสอบผ่านทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติตามเกณฑ์ของมหาเถร สมาคม ทำให้หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ประเภทวิสามัญ (คือสามารถทำการบรรพชา อุปสมบทกุลบุตรนอกเขตปกครองของตนเองได้) อีกด้วย

หลวงพ่อเล่าให้ผู้เขียนและลูกศิษย์โดยเฉพาะกลุ่มที่ศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฟังเสมอว่า ในการพัฒนาวัดพระบรมธาตุนั้นหลวงพ่อมีแนวทางหรือ แผนงานในการปฏิบัติว่า “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย” ซึ่งหลวงพ่ออธิบายว่า

๕ ปีซ่อม หมายถึง จะให้ช่วงเวลา ๕ ปี (กำหนดไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๐) ในการ ซ่อมแซมปรับปรุงอาคารเสนาสนะและสถานที่สำคัญภายในวัดให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง ใช้งาน ไดดี และยังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนให้เกิดขึ้น

 ๕ ปีสร้าง หมายถึง หลังจากผ่านไป ๕ ปีแล้วจะใช้เวลาอีก ๕ ปี (กำหนดไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๕) ในการสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นสำหรับการพัฒนาวัดพระบรม ธาตุให้เกิดขึ้น รวมทั้งสร้างพระภิกษุสามเณรที่มีความรู้ความสามารถให้กับพระพุทธศาสนา สร้าง คนหรือเยาวชนสำหรับเป็นกำลังหลักในการพัฒนาสังคมประเทศชาติ

๕ ปีสวย หมายถึง จะใช้เวลาการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในวัดพระบรมธาตุอีก ๕ ปี (กำหนดไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) เพื่อให้มีความสวยงาม เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และแหล่ง ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดกำแพงเพชรในด้านพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และ ศิลปวัฒนธรรม
ที่ผ่านมาจากการที่ได้สัมผัสหลวงพ่อก็จะพบว่า ท่านพยายามใช้แนวคิดนี้ให้ประสบ ความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ แม้ว่าบางอย่างอาจจะช้ากว่าที่ตั้งเป้าไว้ก็ตาม แต่ทั้งหมดทั้งปวงล้วนแต่ เห็นได้ถึงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาวัดพระบรมธาตุของหลวงพ่อ ซึ่งผู้เขียนขอสรุปผลการพัฒนาวัด พระบรมธาตุของหลวงพ่อตามแนวคิด “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย” ดังนี้

ฮืม?๕ ปีซ่อม ซึ่งหลวงพ่อกำหนดไว้ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๐ หลวงพ่อได้ดำเนินการ ซ่อมแซมปรับปรุงวัดพระบรมธาตุโดยเฉพาะเรื่องของสิ่งปลูกสร้างและเสนาสนะต่าง ๆ ได้แก่
พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้บูรณปฏิสังขรณ์ศาลาการเปรียญหลังเก่าซึ่งทรุดโทรมอย่างมาก จาก หลังคาทรงไทยจั่วเดียวเป็นหลังคาทรงไทยสามจั่ว เมื่อบูรณปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จในปีต่อมาก็ ปรับปรุงพื้นที่ศาลาการเปรียญชั้นบนเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน เป็นที่รวบรวมและจัดแสดง โบราณวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้และนิทรรศการภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยจัดตั้งเป็นศูนย์ส่งเสริม วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม

ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๔๘ หลวงพ่อเห็นว่าองค์พระบรมธาตุนครชุมซึ่งเป็นปูชนีย สถานศักดิ์สิทธิ์ของวัดพระบรมธาตุที่ทาด้วยสีขาวนั้นเต็มไปด้วยคราบตะไคร่น้ำเป็นสีดำกระจายอยู่ ทั่วองค์พระบรมธาตุนครชุม ไม่เป็นที่รื่นรมย์สบายใจและยังศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ประกอบ กับหลวงพ่อได้ศึกษาข้อมูลจากภาพถ่ายเก่าพบว่าเดิมที่องค์พระบรมธาตุเคยทาด้วยสีเหลืองทอง จึงพร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนซึ่งประกอบด้วยคณะศรัทธาหลายคณะ ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบูรณะและทาสีทองทั่วองค์พระบรมธาตุนครชุม ซ่อมแซมฉัตร ปูหินแกรนิตและสร้างรั้วอัลลอยด์ รอบองค์พระบรมธาตุนครชุม รวมเงินทั้งหมดประมาณ ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีพิธีนำยอดฉัตรลง เมื่อวันมาฆบูชาปีนั้น บูรณะอยู่ ๓ เดือนจึงแล้วเสร็จ และมีพิธียกยอดฉัตรขึ้นเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ทำให้องค์พระบรมธาตุนครชุมมีสีทองดังที่ปรากฏในปัจจุบัน ในการยกยอด ฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือองค์พระบรมธาตุ มีเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรุงเทพ ฯ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือในขณะนั้นเป็นประธาน

พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้บูรณะพระวิหารหลังเก่าทางด้านหลังพระอุโบสถ ปรับเป็นห้องสมุด พระพุทธศาสนา ปัจจุบันยังไดขยายใช้เป็นห้องสมุดและห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์กำแพงเพชร

นอกจากการซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะภายในวัดแล้ว หลวงพ่อยังต้องใช้ความรู้ ความสามารถที่มีในการแก้ปัญหาชุมชนแออัดซึ่งเป็นที่อยู่ของคนไร้บ้านและที่ทำกินที่มาสร้างที่พัก ชั่วคราวขึ้นอยู่บริเวณตามแนวตลิ่งคลองสวนหมากเดิมทางด้านทิศเหนือของวัด (เรียงยาวตั้งแต่ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ทางทิศเหนือไปจนถึงห้องสมุดประชาชน ฯ เดิมบริเวณนี้เรียกว่า หน้าวัด เพราะอดีตติดคลองสวนหมากซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมหลักของชุมชนนครชุม) ซึ่งคนกลุ่มที่อาศัย อยู่ที่นี่เป็นปัญหาสังคมที่เรื้อรังมานานมาก ทั้งเป็นแหล่งมั่วสุมยาเสพติดและเสี่ยงต่อการเกิด อาชญากรรม แทบไม่มีใครอยากจะเดินผ่านไปทางนั้น หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อตอนมาอยู่วัดพระบรม ธาตุใหม่ ๆ ได้ขึ้นมาพักอยู่บนชั้นสองของศาลาการเปรียญหลังเก่าซึ่งอยู่คนละฝากถนนกับ บ้านเรือนชั่วคราวดังกล่าว ได้เห็นทั้งภาพการซื้อขายยาบ้า ได้ยินการวางแผนลักขโมย ที่หนักกว่า นั้นคือได้ยินว่า “เจ้าอาวาสมาใหม่ จะแน่สักแค่ไหน ถ้ามายุ่งกับพวกกูก็จะยิงทิ้ง” ทำให้หลวงพ่อ ตระหนักถึงปัญหาชุมชนแออัดนี้เป็นอย่างมาก

หลวงพ่อใช้วิธีการเป็นมิตรเข้าหาคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดนี้ นำหลักพุทธธรรม “พรหมวิหาร ๔” มาใช้ในการแก้ปัญหา โดยเอาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไปมอบให้บ้าง เอาขนม นมเนยไปแจกเด็ก ๆ บ้าง ชวนคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ชวนคนที่ว่างงานมาช่วยงานภายในวัด จากนั้นหลวงพ่อก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากคนกลุ่มนี้มากขึ้น เมื่อมีความไว้วางใจต่อกันและ เข้าใจปัญหาของชาวบ้านกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเรื่องการไม่มีที่ดินอยู่อาศัยหรือที่ดินทำกิน หลวงพ่อจึง ปรึกษาหารือกับหน่วยงานราชการในจังหวัดกำแพงแพชรในการช่วยแก้ปัญหา ท้ายที่สุดก็ได้ แนวทางว่าทางราชการมีที่ว่างเปล่าสำหรับให้ชาวบ้านอยู่อาศัยได้ในท้องที่บ้านป่าไผ่ หมู่ที่ ๖ ตำบลนครชุม ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตก โดยทางราชการจะจัดสรรที่ดินให้ปลูกบ้าน ขณะที่ ทางวัดพระบรมธาตุก็จะสนับสนุนการรื้อถอนบ้านไปปลูก และมอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง จนเป็นที่พอใจของชาวบ้านกลุ่มนี้ และยินดีย้ายออกไปอยู่ที่หมู่บ้านป่าไผ่จนเกือบหมดทุกครัวเรือน (เหลือครัวเรือนเดียว ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปอยู่ฟากคลองสวนหมากแทน)

หลังจากที่ชาวบ้านย้ายออกไป หลวงพ่อก็ร่วมกับทางเทศบาลตำบลนครชุมในการปรับภูมิ ทัศน์รอบต้นพระศรีมหาโพธิ์และบริเวณทางทิศเหนือของวัด ให้มีความปลอดภัยและน่าเยี่ยมชม มากขึ้น ทางทิศตะวันตกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ทางเทศบาลตำบลนครชุมเข้ามาจัดสร้างเป็นสวน สุขภาพสำหรับเป็นที่ออกกำลังกายของชาวบ้านหมู่ที่ ๓ บ้านปากคลองใต้ ส่วนพื้นที่ด้านทิศเหนือ ตรงข้ามกับพระอุโบสถหลวงพ่อให้ปรับเป็นสวนเกษตรของวัด สำหรับให้สามเณรได้มาปลูกผัก ปลอดสารพิษเพื่อใช้ในการประกอบภัตตาหารเพลสำหรับพระภิกษุสามเณรภายในวัด

การบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัดพระบรมธาตุให้มั่นคงถาวร และปรับปรุง ภูมิทัศน์ภายในวัดให้มีความเป็นสัปปายะสมกับเป็นพระอารามหลวง ทำให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการ ผู้ปกครองทั้งในระดับจังหวัดและระดับภาคเล็งเห็นในความรู้ความสามารถ จึงเสนอชื่อหลวงพ่อไป ยังมหาเถรสมาคมเพื่อแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร โดยที่หลวงพ่อไม่เคยดำรง ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอมาก่อน ซึ่งหลวงพ่อเองเคยเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า

“แค่เราถูกส่งมาอยู่วัดพระบรมธาตุก็ถูกจับจ้องมากแล้ว บางคนก็ว่าเรามาแย่งเขา ผู้ใหญ่ ก็ยังจะให้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดอีก ไอ้เราก็ไม่อยากเป็นหรอก เพราะเพิ่งมาอยู่ใหม่ อีกอย่าง หลวงพ่อสิทธิ์  พระอุปัชฌาย์ของเราตอนนั้นก็เป็นเจ้าคณะอำเภอลานกระบือ จะให้เป็นรอง จังหวัดสูงกว่าครูบาอาจารย์เราก็ไม่อยากเป็น แต่ผู้ใหญ่ก็สั่งมาว่าเจ้าคุณศรี ฯ ต้องเป็นรองเจ้าคณะ จังหวัดเท่านั้น ช่วยสนองงานคณะสงฆ์ทางด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม เรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องกังวล เชื่อว่าทุกรูปจะเข้าใจ เราก็เลยว่าแล้วแต่ผู้ใหญ่จะเมตตา ขัดไม่ได้เพราะท่านว่าผู้ใหญ่วางตัวเอาไว้ แต่แรกแล้ว”

ต่อมา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ. ๙) วัดสระเกศ กรุงเทพ ฯ ซึ่งเป็น ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๑๖ แห่งกฎ มหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ออกตาม ความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และตามมติมหาเถรสมาคม ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ จึงแต่งตั้งให้พระศรีวชิราภรณ์ (วีระ) ฉายา วรปญฺโญ อายุ ๔๘ พรรษา ๒๘ วิทยาฐานะ ป.ธ. ๙ พธ.บ. ศษ.บ. วัดพระบรมธาตุ ตำบลนครชุม อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัด กำแพงเพชร ปัจจุบันมีตำแหน่งในทางปกครองคณะสงฆ์เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร มีอำนาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ในเขตจังหวัดของตน ตามที่เจ้าคณะจังหวัดมอบหมาย แต่งตั้ง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๐

พระเทพปริยัติ (อดุลย์ อมโร ป.ธ. ๘) เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร (สมณศักดิ์และ ตำแหน่งของพระพรหมวัชรวิสุทธิ์ในขณะนั้น) ได้มอบหมายให้หลวงพ่อเป็นรองเจ้าคณะจังหวัด กำแพงเพชร ฝ่ายการศึกษา รับผิดชอบดูแลงานการศาสนศึกษาและการศึกษาสงเคราะห์ของ คณะสงฆ์จังหวัดกำแพงเพชร และหลวงพ่อได้แต่งตั้งให้พระเมธีวชิรภูษิต (จำเนียร จิรวํโส ป.ธ. ๙) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ เป็นเลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร ฝ่ายการศึกษา

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๐
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม

 17 
 เมื่อ: มีนาคม 11, 2025, 04:58:21 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๘ : กลับถิ่นมาตุภูมิ

การกลับมาอยู่ในเขตจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งเป็นดินแดนมาตุภูมิของหลวงพ่อในครั้งนี้ เริ่มต้นมาจากพระสิทธิวชิรโสภณ (ช่วง ปญฺญาโชโต) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ และเจ้าคณะ จังหวัดกำแพงเพชร มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ เป็นเหตุให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด พระบรมธาตุว่างลง และยังหาพระเถระผู้ที่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งไม่ได้ต่อเนื่องมา จนถึง พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยในช่วงเวลาที่ยังไม่มีพระบัญชาแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุนั้น ทาง เจ้าคณะผู้ปกครองได้แต่งตั้งให้พระครูอาทรวชิโรดม (อุดม อุปโล) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นเวลา ๔ ปี และแต่งตั้งพระมหาอดุลย์ อมโร ป.ธ. ๘ (ปัจจุบันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระพรหมวัชรวิสุทธิ์) เจ้าอาวาสวัดคูยาง และเจ้าคณะ จังหวัดกำแพงเพชรในขณะนั้นมาเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุอีก ๑ ปี

ในระหว่างนี้ ทางพระเถระผู้ใหญ่ได้ทาบทามพระเดชพระคุณพระพรหมวัชรวิสุทธิ์(อดุลย์ อมโร ป.ธ. ๘) ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดคูยาง และเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร ให้ย้ายมาเป็น เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุซึ่งเป็นพระอารามหลวง โดยส่วนตัวของพระพรหมวัชรวิสุทธิ์เองก็เป็น ลูกศิษย์ของพระสิทธิวชิรโสภณและเคยพำนักอยู่ที่วัดพระบรมธาตุมาก่อนนับว่ามีความเหมาะสม อย่างยิ่ง แต่ท่านไม่รับ ต่อมาทางพระเถระผู้ใหญ่จึงได้ทาบทามพระครูวชิรปริยัติคุณ (ชุมพล เขมปญฺโญ ป.ธ. ๖) เจ้าอาวาสวัดบุญมั่นศรัทธาราม รองเจ้าคณะอำเภอขาณุวรลักษบุรี ซึ่งเคยอยู่ที่ วัดพระบรมธาตุมาตั้งแต่เป็นพระภิกษุหนุ่ม ให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ท่านก็ไม่รับอีก ทำ ให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุว่างอยู่หลายปีต่อกัน

จนกระทั่งในราวปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๓ พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม กรุงเทพ ฯ ซึ่งมีชาติภูมิเป็นชาวอำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ผู้เป็นครูสอนบาลีเปรียญเอกของหลวงพ่อและมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับ หลวงพ่อเป็นอย่างดีในฐานะคนพรานกระต่ายด้วยกัน ได้รับอาสาเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัช มังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรุงเทพ ฯ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือใน ขณะนั้น ว่าจะเป็นผู้หาเจ้าอาวาสให้วัดพระบรมธาตุเอง และเห็นว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการงานในพระอารามได้ จากที่เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระอารามหลวง วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ และเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระปริยัติธรรม คุณาภรณ์ประสาธน์ วัดโพธาราม ทั้งยังเป็นชาวกำแพงเพชร น่าจะสามารถฟื้นฟูวัดพระบรมธาตุให้ รุ่งเรืองได้ จึงได้ทาบทามและเสนอชื่อหลวงพ่อไปยังเจ้าคณะภาค ๔ เพื่อให้มหาเถรสมาคมมีมติให้ หลวงพ่อไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงวัดพระบรมธาตุก่อน หากว่าสามารถจัดการบริหารดูแลวัดพระบรมธาตุได้ จึงค่อยกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเพื่อมีพระบัญชาแต่งตั้ง เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุต่อไป

หลวงพ่อได้บันทึกบอกเล่าเหตุการณ์ช่วงรอยต่อของชีวิตที่จะย้ายจากวัดโพธาราม จังหวัด นครสวรรค์ มาอยู่ที่วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร ไว้ในหนังสือคิดถึงพระมหาชุมพล เขมปญฺโญ ป.ธ. ๖ ว่า

“ข้าพเจ้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า พระมหาสายติ่ง ป.ธ. ๘ อาจารย์ใหญ่สำนักเรียนวัดโพธาราม และอาจารย์พระมหาชุมพล ป.ธ. ๖ เคยอยู่วัดพระบรมธาตุมาก่อน แต่ไม่ได้ถามใครเลยว่าท่าน อาจารย์ทั้งสองนั้นอยู่ในช่วง พ.ศ. ใด คงน่าจะก่อนที่ข้าพเจ้าไปอยู่วัดโพธาราม พ.ศ. ๒๕๒๓

เหตุการณ์ช่างเหลือเชื่อ คือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ข้าพเจ้าต้องกลับมาอยู่วัดโพธารามอีก รอบ เพราะหลวงอา พระเกศีวิกรม (กอง ติกฺขวีโร ป.ธ. ๖ นามสกุล ศิรินาค ปัจจุบันคือ พระราช พุฒิเมธี) ผู้มีพระคุณของข้าพเจ้า ผู้เปลี่ยนชีวิตเด็กบ้านนอกพามาจากบ้านคุยป่ารัง ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลวงอา เป็นมหาประโยค ๙ ในกรุง หลวงอาพระมหา กอง ได้เป็นโรคอัมพฤกษ์ เดินไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องลาออกจากวัดราชบุรณะมาอยู่วัดโพธาราม ดูแล ปรนนิบัติหลวงอา ฝึกเดินพาไปเปิดหูเปิดตา จนอาการหลวงอาดีขึ้นตามลำดับ หายเกือบปกติ อาจารย์พระมหาชุมพลดีใจมากที่ข้าพเจ้ามาอยู่วัดโพ ฯ อีกครั้ง หลวงอาได้เป็นเจ้าอาวาสวัด โพธาราม ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง

แต่เหตุการณ์พลิกผัน ประวัติศาสตร์ย้อนรอย เพราะหลวงพ่อพระสิทธิวชิรโสภณ เจ้า อาวาสวัดพระบรมธาตุ กำแพงเพชร มรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ กลางปี จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็ยังไม่มีใครเป็นเจ้าอาวาส ได้ทราบว่า (ไม่กล้ายืนยันจริงเท็จประการใด) พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) ซึ่งลูกศิษย์หลวงพ่อเจ้าคุณ พระสิทธิวชิรโสภณ รับอาสาเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ว่า จะหาเจ้าอาวาสให้วัดพระบรมธาตุเอง และได้ทราบจากปากพระเดชพระคุณเจ้าคุณอาจารย์เองว่า ได้ทาบทามท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชรรูปปัจจุบัน (พระธรรมภาณพิลาส อดุลย์ ป.ธ. ๘) ซึ่งเคยอยู่วัดพระบรมธาตุมาก่อน ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ แต่ท่านไม่รับ จึงไป ทาบทามอาจารย์พระมหาชุมพล ที่วัดบุญมั่น ฯ นี่ก็ไม่รับเช่นกัน จนกระทั่งถึงคิวข้าพเจ้า ได้พบ ท่านอาจารย์เจ้าคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์ที่วัดเลียบ สะพานพุทธ ท่านได้เรียกไปพบและสั่งการแบบปฏิเสธไม่ได้เลย ท่านได้ดำเนินการให้ข้าพเจ้ามาอยู่วัดพระบรมธาตุ แบบผู้ใหญ่ ผู้บริหารคุย กันภายใน จนกระทั่งย้ายจากวัดโพธารามมาอยู่วัดพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔
ราชทินนามของพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) ในช่วงเวลาที่หลวงพ่อบันทึก
 ภายหลังได้รับพระราขทานสมณศักดิ์เป็นที่พระพรหมวชิรวิสุทธิ์ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะภาค ๔

ยากมาก ๆ ที่จะเข้าไปกราบเหล่าเรื่องให้หลวงอาพระมหากองทราบได้ ในวันหนึ่ง พระมหาฉลอง เลขา ฯ เจ้าคณะภาค ๔ ก็บอกให้รีบดำเนินการ จึงตัดสินใจบอกหลวงอาว่า จะไป อยู่วัดพระบรมธาตุ ถามท่านว่า “เห็นด้วยไหม ?” ท่านพูดคำเดียวว่า “ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ ทำไง” แล้วทั้งคู่ก็ไม่คุยอะไรกันอีกเลย ได้แต่ก้มหน้า เมื่อวัดโพ ฯ เอาพระจากวัดพระบรมธาตุไป ๑๔ ประโยค มันจึงเป็นการที่วัดพระบรมธาตุเอาคืนมาเพียง ๙ ประโยค นี่คือการย้อนอดีตที่ แน่นแฟ้นของสองวัด”

หลวงพ่อเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า แท้จริงแล้วนั้นพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ได้มีความ ประสงค์ที่จะให้หลวงพ่อมาอยู่วัดพระบรมธาตุเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานของพระสิทธิวชิรโสภณ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพระพรหมวชิรปัญญาจารย์และมีอายุมากแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งหลวงพ่อสอบได้ เปรียญธรรม ๙ ประโยคที่วัดราชบุรณะ แต่ว่าพระสิทธิวชิรโสภณไม่เห็นด้วย จึงทำให้พระพรหม วชิรปัญญาจารย์ยุติความคิดดังกล่าว และไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้หลวงพ่อทราบ จนกระทั่งหลวงพ่อ ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุแล้ว พระพรหมวชิรปัญญาจารย์จึงได้เล่าให้หลวงพ่อฟังว่าเคย เสนอให้หลวงพ่อขึ้นมาช่วยงานพระสิทธิวชิรโสภณ แต่ท่านปฏิเสธ แต่ถึงกระนั้นอาจด้วยบุพเพ วาสนาในอดีตก็ทำให้หลวงพ่อได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุต่อจากพระสิทธิวชิรโสภณ และ พัฒนาวัดพระบรมธาตุให้รุ่งเรือง สมดังคำกล่าวของพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งที่เคยกล่าวในช่วงที่วัด พระบรมธาตุยังไม่มีเจ้าอาวาสว่า “เดี๋ยวเจ้าของวัดตัวจริงก็มา เขาเคยสร้างไว้ เดี๋ยวเขาก็กลับมา ดูแลของเขา รับรองเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือแน่นอน”

แม้ว่าหลวงพ่อจะไม่อาจขัดคำสั่งของพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ได้ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจ รับภาระธุระในการปกครองดูแลวัดพระบรมธาตุนั้น หลวงพ่อก็ได้ปรึกษากับครูบาอาจารย์และทาง ญาติพี่น้อง ญาติ ๆ ของหลวงพ่อได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ก่อนที่หลวงพ่อจะขึ้นมาอยู่วัดพระบรมธาตุ นั้นได้มาปรึกษากับทางญาติพี่น้องว่า ผู้ใหญ่สั่งให้ขึ้นมาอยู่วัดพระบรมธาตุ เพราะว่าอยู่ใกล้บ้าน ใกล้ญาติพี่น้อง จะเห็นด้วยไหม ? ทางญาติพี่น้องก็บอกว่าแล้วแต่หลวงพ่อจะตัดสินใจ แต่ถ้าได้มา อยู่วัดพระบรมธาตุจริงก็ดีใจอยู่ เพราะจะได้ไปมาหาสู่กันได้สะดวก ในครั้งนั้นหลวงพ่อยังได้พูดกับ ญาติพี่น้องว่า “เขาจะให้มาฝ่าวัดพระธาตุ ไม่รู้ว่าจะไหวไหม ไหวก็อยู่ ไม่ไหวก็กลับวัดโพ ฯ” ซึ่ง สะท้อนว่าในช่วงเวลานั้นวัดพระบรมธาตุมีปัญหาบางอย่าง

การขึ้นมาดูแลวัดพระบรมธาตุของหลวงพ่อในช่วงแรกก็ไม่ได้ราบรื่นนัก หลวงพ่อเดินทาง จากวัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ มายังวัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชรในช่วงหน้าหนาวต้น ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยมีคณะสงฆ์และญาติโยมจากวัดโพธารามตามมาส่งจำนวนไม่มากนัก แม้จะมีพระบัญชาแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดพระบรมธาตุแต่ทางพระภิกษุสามเณร ภายในวัดพระบรมธาตุก็หาได้ให้ความสำคัญกับหลวงพ่อไม่ เมื่อทางคณะวัดโพธารามมาส่งในช่วง เช้าแล้ว ก็เดินทางกลับ โดยที่ในช่วงเวลานั้นหลวงพ่อไม่รู้จักใครที่อยู่ภายในวัดพระบรมธาตุหรือ รอบ ๆ วัดพระบรมธาตุเลย โชคดีที่มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งทราบเรื่องว่าหลวงพ่อจะมาเป็นเจ้า อาวาสรูปใหม่ และมาถึงวัดพระบรมธาตุแล้ว จึงได้บอกให้โยมบิดาที่ชื่อ ยงยุทธ รักษาสิทธิ์ ซึ่งมี บ้านอยู่ใกล้กับวัดเข้ามาดูแลสอบถาม เมื่อโยมยงยุทธมาสอบถามก็ได้ความว่า หลวงพ่อจะมาเป็น เจ้าอาวาสรูปใหม่ของวัดจึงได้จัดภัตตาหารเพลมาถวาย และให้พักที่ชั้นล่างกุฏิเดิมของพระสิทธิ วชิรโสภณ โดยในช่วงแรก ๆ ที่มาอยู่วัดพระบรมธาตุ หลวงพ่อก็ได้ครอบครัวของคุณโยมยงยุทธ รักษาสิทธิ์ในการอุปัฏฐากดูแล ทั้งยังทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถในพาไปปฏิบัติศาสนกิจยังที่ต่าง ๆ ด้วย

แม้ในพระบัญชาที่จะบุว่าแต่งตั้งให้หลวงพ่อเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ แต่ในเชิง พฤตินัยก็เป็นที่ทราบกันว่าหลวงพ่อมาอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ เพราะหลังจากได้รับคำสั่ง แต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าวาสวัดพระบรมธาตุได้ไม่นาน หลวงพ่อก็ได้รับคำสั่งแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการใน ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ขณะที่หลวงพ่อมาอยู่ที่วัดพระบรมธาตุมีพรรษาเพียง ๒๒ พรรษา แต่ภายในวัดพระบรมธาตุมีพระภิกษุที่มีพรรษาอาวุโสกว่าหลวงพ่อหลายรูป และแต่ละรูป ต่างก็มีความพยายามที่จะแย่งชิงกันเป็นรักษาการเจ้าอาวาสหรือเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ แต่ พระเถระผู้เป็นเจ้าคณะปกครองไม่เห็นด้วย จึงเกิดความขัดแย้งภายในวัด ว่าที่เจ้าอาวาสรูปใหม่แต่ มีพรรษาน้อยกว่าพระภิกษุในวัดก็ย่อมมีความกังวลเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเวลาที่ลงปฏิบัติ ศาสนกิจร่วมกันที่ศาลาการเปรียญการเรียงลำดับการนั่งจะต้องทำอย่างไร

ขณะนั้น หลวงพ่อโชคดีที่มีพระภิกษุรูปหนึ่งคอยเป็นผู้ช่วยคือ พระกฤษฎา (ภายหลัง หลวงพ่อแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรมพระราชาคณะชั้นราชที่ พระครูปลัดกฤษฎา) ซึ่งมีอายุ พรรษาน้อยกว่าหลวงพ่อ ๑ พรรษา ได้แสดงความคิดเห็นท่ามกลางสงฆ์ว่า “พระมหาวีระมาเป็น เจ้าอาวาส เจ้าอาวาสเวลาขึ้นศาลาก็ต้องนั่งหัวแถวเท่านั้น ส่วนเรื่องสังฆกรรมก็ค่อยว่าตาม พรรษา” จากคำพูดดังกล่าวทำให้ไม่มีใครแสดงความคิดเห็นคัดค้าน หลังจากนั้นเวลาปฏิบัติ ศาสนกิจภายในวัดพระบรมธาตุหลวงพ่อก็จะนั่งหัวแถวตลอดในฐานะเจ้าอาวาส และภายหลัง เหล่าพระเถระที่มีพรรษาอาวุโสกว่าหลวงพ่อก็ยอมรับนับถือในความสามารถของหลวงพ่อ อีกทั้ง เมื่อจะทำกิจกรรมต่าง ๆ หลวงพ่อก็ขอคำปรึกษาจากพระเถระภายในวัดเสมอ จึงทำให้ความ ขัดแย้งตึงเครียดที่เคยมีมาค่อย ๆ หายไปในที่สุด

ส่วนความสัมพันธ์กับญาติโยมชาวนครชุมนั้น หลวงพ่อก็ค่อย ๆ ใช้วิธีเข้าหาเพื่อสร้าง ความคุ้นเคยและความสัมพันธ์ที่ดี ในการเดินออกบิณฑบาตตอนเช้าหลวงพ่อก็มักจะพูดคุย สอบถามสารทุกข์สุกดิบ เวลามีชาวบ้านมาที่วัดก็จะเข้าไปชวนคุยและปรึกษาหารือขอความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาวัด ทำให้ญาติโยมชาวนครชุมมีความหวังว่าวัดพระบรมธาตุนับจากนี้ไปจะเกิด ความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันในการทำกิจกรรมพัฒนาวัด หลวงพ่อจะเป็นผู้นำ ในการพัฒนาเอง ลงมือทำเป็นตัวอย่างแก่พระภิกษุสามเณรภายในวัด เมื่อพระภิกษุสามเณรเห็น หลวงพ่อลงมือทำก็เกิดความเกรงใจและสำนึกต่อหน้าที่และกิจวัตรของสงฆ์ที่พึงปฏิบัติ ก็ลงมือทำ ตามหลวงพ่อ

นอกจากนี้ หลวงพ่อยังรับธุระของคณะสงฆ์ในการเป็นผู้ดำเนินรายการ “ธรรมะรับอรุณ” ของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดกำแพงเพชร (สวท. 97.25 Mhz) ช่วงเวลา ๐๕.๐๐ - ๐๖.๐๐ น. เป็นประจำทุกวัน และจัดรายการเช่นนี้เรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๔ จนกระทั่งอาพาธหนักจึงมอบหมายให้พระเถระรูปอื่นจัดรายการแทน การจัดรายการวิทยุดังกล่าว ก็ทำให้ชาวกำแพงเพชรได้รู้จักชื่อของหลวงพ่อมากขึ้น และมีแฟนคลับติดตามรายการ ซึ่งมักจะ เดินทางมาทำบุญที่วัดในช่วงวันหยุดจำนวนหนึ่งด้วย ภายหลังในยุคโซเชี่ยลมีบทบาทในสังคม หลวงพ่อยังได้จัดรายการ “สนทนาธรรมกับหลวงตาเอก” ผ่านทางเฟสบุ๊กส่วนตัว (Facebook Live) ซึ่งมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ศิษยานุศิษย์สามารถรับชมรับฟังเทศนาของหลวงพ่อได้จากทั่ว โลก จนกระทั่งอาพาธหนักต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชหลวงพ่อจึงงดจัดรายการ ดังกล่าว

คุณครูเพ็ญรำเพย ขวัญวงศ์ ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กับวัดพระบรมธาตุได้เล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ หลวงพ่อมาอยู่วัดพระบรมธาตุใหม่ ๆ ว่า “จำได้ว่าหลวงพ่อมาอยู่วัดพระบรมธาตุใหม่ ๆ เป็นช่วง หน้าหนาวต้นปี ๔๔ ครูเพ็ญตามหาลูกหมาที่หายออกจากบ้านมาอยู่ในวัด เมื่อเข้ามาในวัดก็ถาม พระเณรตามกุฏิต่าง ๆ ว่าเจอไหม จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงจากพระแปลกหน้ารูปหนึ่งที่ทำงานอยู่กับ สามเณรว่า กะอีแค่หมาตายตัวเดียวทำเป็นโวยวายทั่ววัด เณรเอาไปทิ้งแล้ว ไม่ต้องตามหาหรอก ครูเพ็ญก็แปลกใจ รู้ได้ไงว่าหมาที่ตายนั้นคือหมาครูเพ็ญ ก็เลยถามต่อว่า ท่านเป็นใครคะ หลวงพ่อ ตอบว่า คุมเณรทำงานได้ขนาดนี้ก็คงเป็นเจ้าอาวาสสิ จากนั้นครูเพ็ญก็คอยดูว่าเจ้าอาวาสใหม่จะทำ อะไรในวัดบ้าง สุดท้ายก็เห็นว่าเจ้าอาวาสใหม่ทำทุกอย่างจริง ๆ กวาดวัด ปรับภูมิทัศน์ ทำงานเป็น ตัวอย่างพระเณร วัดจากที่รก ๆ ก็เริ่มสะอาดน่าชมขึ้น คนก็เริ่มเข้าวัดมากขึ้น ครูเพ็ญก็เข้ามา ช่วยงาน ช่วงแรก ๆ ก็ยังมีครูสุภิตรา* ครูอัญชลี** ครูสาว***ทีมจากวชิรปราการก็เข้ามา ทุกคน มาช่วยงานวัดเพราะศรัทธาในตัวหลวงพ่อ และก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเจริญรุ่งเรืองมาได้จนถึงขนาดนี้”
* คุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ ข้าราชการบำนาญ อดีตครูโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม.
** คุณครูอัญชลี กัลปพฤกษ์ ครูโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม.
*** คุณครูอรุณ ยอดนิล ครูโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม.

ในปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๔ หลวงพ่อได้รับข่าวอันเป็นมงคลยิ่งของชีวิต พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสมณศักดิ์ให้หลวงพ่อเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เปรียญ ที่ “พระศรีวชิราภรณ์” ดังปรากฏในสัญญาบัตรว่า “ให้พระมหาวีระ ๙ ประโยค วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร เป็น พระราชาคณะมีนามว่า พระศรีวชิราภรณ์” ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นวันที่เข้ารับ พระราชทานสัญญาบัตรและพัดยศ นำมาซึ่งความปลื้มปีติยินดียิ่งของญาติพี่น้องและศิษยานุศิษย์ ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ พุทธศาสนิกชนชาวนครชุมและใกล้เคียงต่างก็เรียกหลวงพ่อว่า “ท่าน เจ้าคุณศรี ฯ” ตามคำขึ้นต้นของราชทินนามที่ได้รับพระราชทาน

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๙
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม

 18 
 เมื่อ: มีนาคม 09, 2025, 07:43:42 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๗ :  ทุ่มเทเพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรมและอุดมศึกษาที่นครสวรรค์

หลังจากสำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค หลวงพ่อยังพักประกอบศาสนกิจและ ศึกษาต่อระดับปริญญาโทอยู่ที่วัดราชบุรณะต่อจนถึง พ.ศ. ๒๕๓๙ จนกระทั่งเมื่อทราบข่าวว่า พระราชพุฒิเมธีอาพาธเป็นอัมพฤกษ์ ขาดคนดูแล หลวงพ่อจึงตัดสินใจกลับวัดโพธารามเพื่อดูแล พระราชพุฒิเมธีผู้มีพระคุณที่เป็นทั้งญาติและอาจารย์ หลวงพ่อได้บันทึกเหตุผลที่ย้ายกลับมาอยู่ วัดโพธารามไว้ในข้อความที่หลวงพ่อเขียนรำลึกพระคุณของพระราชวุฒิเมธี ว่า

“ข้าพเจ้าลาท่านอาจารย์มหากองและวัดโพ ฯ ไปเรียนพระบาลีที่กรุงเทพมหานคร วัดราชบูรณะ พ.ศ. ๒๕๒๙ ใช้เวลาเรียนประมาณสิบปี จบประโยคเก้า ท่านอาจารย์และคณะครูของ วัดโพ ฯ ได้ไปแสดงความยินดีกับข้าพเจ้าในฐานะศิษย์และหลาน พระคุณอันนี้ยังตราตรึงในใจ ตลอดเวลา จนกระทั่งท่านอาจารย์มหากองอาพาธ เป็นโรคเส้นเลือดอุดตันเป็นอัมพฤกษ์เดินไม่ได้ ขาดคนดูแลแบบถึงลูกถึงคน คณะศิษย์ที่วัดโพธารามจึงพาท่านอาจารย์มหากองมาในสภาพที่เดิน ไม่ค่อยได้ ขึ้นกุฏิข้าพเจ้าต้องอุ้มขึ้นมา ทำเอาข้าพเจ้าถึงกับร้องไห้ น้ำตาไหลพราก เพราะไม่นึกว่า จะเห็นสภาพท่านอาจารย์แบบนี้เลย และยิ่งได้ทราบว่าที่มานี้จะมานิมนต์กลับวัดโพธารามเพื่อช่วย ดูแลสุขภาพท่านอาจารย์และช่วยบริหารวัดแทนท่านอาจารย์ ใจจริงเราผูกติดกับวัดโพ ฯ อยู่แล้ว และเป็นห่วงท่านอาจารย์อย่างมาก จึงรับปากคณะที่ไปนิมนต์ว่าจะกลับไปอยู่วัดโพ ฯ แต่ช่วงนั้น ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหิดล พอทำวิทยานิพนธ์เสร็จไม่ทันรับปริญญาก็เดินทาง กลับวัดโพ ฯ โดยมีหลวงพ่อพระสุนทรธรรมวาที เจ้าอาวาสวัดโพ ฯ ในขณะนั้นและคณะครูบา อาจารย์มารับเดินทางกลับ จำได้ว่า วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ก่อนอาสาฬหบูชาหนึ่งวัน พ.ศ. ๒๕๓๙

การดูแลอาการป่วยของท่านอาจารย์กองนั้นได้สูตรมาว่า คนเป็นอัมพฤกษ์เกี่ยวข้องกับ จิตใจด้วย หากได้ญาติพี่น้องมาช่วยดูแลจะดีขึ้น ข้าพเจ้าจึงได้ไปเชิญญาติของท่านอาจารย์มานอน ด้วยคนละห้าคืน สิบคืน มาคุย มาช่วยนวด มาทำอาหารพอที่จะทำได้ และวันว่างก็พานั่งรถไปในที่ ต่าง ๆ จนอาการค่อย ๆ ดีขึ้น และเมื่อหลวงพ่อพระสุนทรธรรมวาที เจ้าอาวาสวัดโพธาราม มรณภาพ ท่านอาจารย์ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองนครสวรรค์ อายุ ท่านครบ ๘๐ ปี ก็ได้รับยกเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ เป็นที่น่าอัศจรรย์ หรือด้วยบุญ บารมีของท่านอาจารย์ ท่านจึงสุขภาพแข็งแรง จากการที่ท่านอาพาธเป็นอัมพฤกษ์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๘ มีอายุยืนยาวมาได้ถึง พ.ศ. ๒๕๖๕ รวม ๒๗ ปี ซึ่งหลายคนพูดเป็นแนวเดียวกันว่า ท่าน อาจารย์กองคงมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ความดีที่ท่านทำไว้ สร้างศิษยานุศิษย์เป็นมหาเปรียญมากมาย เป็นผลบุญอันยิ่งใหญ่ส่งผลให้ท่านมีอายุยืนยาว”

หลวงพ่อกลับมาอยู่วัดโพธารามตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ เมื่อกลับมาอยู่วัด โพธารามก็ได้ทำการดูแลอุปัฏฐากพระราชพุฒิเมธีอย่างสุดความสามารถ จนเป็นที่ยกย่องชื่นชม จากญาติและคณะสงฆ์ว่าเป็นผู้ที่ความกตัญญูเป็นเลิศ ไม่นานนักหลวงพ่อก็ได้รับแต่งตั้งเป็น อาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระปริยัติธรรมคุณาภรณ์ประสาธน์ วัดโพธาราม แทนพระราชพุฒิเมธีซึ่ง อาพาธ

หลังจากย้ายมาอยู่วัดโพธารามได้ ๑ พรรษา และทำหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียน พระปริยัติธรรมคุณาภรณ์ประสาธน์ได้ครบ ๑ ปี พระสุนทรธรรมวาที เจ้าอาวาสวัดโพธาราม และ พระเถระภายในวัดได้เห็นความรู้ความสามารถของหลวงพ่อ และมีความเหมาะสมทั้งวัยวุฒิและ คุณวุฒิจึงเสนอชื่อหลวงพ่อเป็นพระสังฆาธิการ ในตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ หลวงพ่อจึงได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพธาราม พระอารามหลวง และในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษาวัด โพธาราม และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดโพธารามอีกด้วย

ช่วงเวลาที่หลวงพ่อดูแลบริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมคุณาภรณ์ประสาธน์วัดโพธาราม อยู่นั้น ได้ใช้แนวทางที่ครูบาอาจารย์รุ่นก่อน ๆ ดำเนินไว้เป็นตัวอย่าง ดูแลการจัดการเรียนการ สอนให้มีความเข้มงวด จัดครูสอนให้เหมาะสมกับชั้นเรียน แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวจำนวนพระภิกษุ สามเณรที่บวชเรียนได้ลดจำนวนลงมากกว่าตั้งแต่ครั้งที่หลวงพ่อมาอยู่วัดโพธารามใหม่ ๆ ประกอบ กับมีการเปิดสำนักเรียนบาลีขึ้นหลายแห่ง ทั้งในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดข้างเคียง แต่ถึง กระนั้นจำนวนนักเรียกก็ไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ รูป ซึ่งถือว่าเป็นสำนักเรียนขนาดใหญ่ ช่วงก่อนสอบบาลี สนามหลวงก็จะมีการจัดอบรมบาลีก่อนสอบตามแนวทางที่พระครูวชิรปริยัติคุณเคยพาทำ นอกจากนี้ในช่วงปิดเทอมหรือหลังสอบบาลีก็ยังมีการจัดทัศนศึกษาเพื่อเป็นการผ่อนคลายและเป็นขวัญกำลังใจให้กับนักเรียน ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพระราชพุฒิเมธี เจ้าอาวาสวัดที่ ครองวัดต่อจากพระสุนทรธรรมวาทีซึ่งมรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑

นอกจากการรับภาระในการเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระปริยัติธรรมคุณาภรณ์ประสาธน์ วัดโพธารามแล้ว เมื่อหลวงพ่อกลับมาอยู่วัดโพธารามได้เพียง ๑ เดือน พระเดชพระคุณเพระเทพ ญาณโมลี (ประสิทธิ์มิตฺตธมฺโม ป.ธ. ๖) อดีตรองเจ้าคณะภาค ๔ และเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ ได้ มีดำริเรื่องจัดตั้งสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพื่อพระภิกษุสามเณรให้ได้รับการศึกษาชั้นสูง นอกจากการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและบาลีจึงได้ปรึกษากันภายในกับพระศรีวิสุทธิ คุณ (สฤษฏิ์สิริธโร ป.ธ. ๙) เลขานุการรองเจ้าคณะภาค ๔ และรองเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ (ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระธรรมวชิรธีรคุณ เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์) และ พระมหา วีระ วรปญฺโญ ป.ธ. ๙ วัดโพธาราม ณ กุฏิเทพวิจิตร วัดนครสวรรค์ ช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งพระเทพญาณโมลีพิจารณาเห็นว่า พระศรีวิสุทธิคุณและพระมหาวีระ วรปญฺโญ จัก เป็นกำลังสำคัญในการบริหารจัดการการศึกษาแนวใหม่ให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองได้ และทั้งสองรูป รับปากว่าจะช่วยกันสนองงานและสานงานตามเจตนารมณ์อย่างเต็มกำลังความสามารถ
 
นอกจากการรับภาระในการเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระปริยัติธรรมคุณาภรณ์ประสาธน์ วัดโพธารามแล้ว เมื่อหลวงพ่อกลับมาอยู่วัดโพธารามได้เพียง ๑ เดือน พระเดชพระคุณเพระเทพ ญาณโมลี (ประสิทธิ์มิตฺตธมฺโม ป.ธ. ๖) อดีตรองเจ้าคณะภาค ๔ และเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ ได้ มีดำริเรื่องจัดตั้งสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพื่อพระภิกษุสามเณรให้ได้รับการศึกษาชั้นสูง นอกจากการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและบาลีจึงได้ปรึกษากันภายในกับพระศรีวิสุทธิ คุณ (สฤษฏิ์สิริธโร ป.ธ. ๙) เลขานุการรองเจ้าคณะภาค ๔ และรองเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ (ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระธรรมวชิรธีรคุณ เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์) และ พระมหา วีระ วรปญฺโญ ป.ธ. ๙ วัดโพธาราม ณ กุฏิเทพวิจิตร วัดนครสวรรค์ ช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งพระเทพญาณโมลีพิจารณาเห็นว่า พระศรีวิสุทธิคุณและพระมหาวีระ วรปญฺโญ จัก เป็นกำลังสำคัญในการบริหารจัดการการศึกษาแนวใหม่ให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองได้ และทั้งสองรูป รับปากว่าจะช่วยกันสนองงานและสานงานตามเจตนารมณ์อย่างเต็มกำลังความสามารถ

 ต่อมามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีหนังสือที่ มจร ๐๐๑/๕๒ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๐ ถึงพระศรีวิสุทธิคุณ ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัด นครสวรรค์ เรื่อง แจ้งมติการประชุมสภามหาวิทยาลัย ความว่าทางสภามหาวิทยาลัย มีมติในการ ประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๔๐ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ อนุมัติให้จัดตั้งศูนย์การศึกษา ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ศูนย์การศึกษาวัดนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยจัดตั้งคณะ พุทธศาสตร์ คณะเดียวเท่านั้น ส่วนการดำเนินการในรายละเอียดต่าง ๆ ขอให้ติดต่อประสานงานที่ คณะพุทธศาสตร์

จากมติสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นเหตุให้กำเนิด “ศูนย์การศึกษา วัดนครสวรรค์จังหวัดนครสวรรค์” โดยใช้อาคารเรียนเทพประสิทธิ์วิทยากร ตามเจตนารมณ์ของ คณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นมา จัดการศึกษาระดับ ปริญญาตรีคณะพุทธศาสตร์สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มีนิสิตรุ่นแรก จำนวน ๔๕ รูป โดยมี พระศรีวิสุทธิคุณ (สฤษฏิ์สิริธโร ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์และรองเจ้าคณะจังหวัด นครสวรรค์ เป็นผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประจำศูนย์การศึกษาวัดนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีพระมหาวีระ วรปญฺโญ ป.ธ. ๙, พระมหาสมส่วน ปฏิภาโณ ป.ธ. ๙ (ปัจจุบันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระศรีสุทธิพงศ์) และพระอดิศัย ปภสฺสโร, ดร. เป็นอาจารย์ประจำ

จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ศูนย์การศึกษาวัดนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ พระศรีวิสุทธิคุณได้รับ แต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ ส่วนหลวงพ่อก็ได้รับความเมตตาให้สนองงานด้าน การบริหารวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ ทำงานพัฒนาวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ควบคู่กับพระศรีวิสุทธิคุณมาตามลำดับ จนปัจจุบันวิทยาลัย สงฆ์นครสวรรค์ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาเขตนครสวรรค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๙ พระศรีวิสุทธิคุณ หรือในปัจจุบันคือพระธรรมวชิรธีรคุณได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิการบดีวิทยาเขตนครสวรรค์ ส่วน หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐

หลวงพ่อบริหารดูแลโรงเรียนพระปริยัติธรรมคุณาภรณ์ประสาธน์ วัดโพธารามได้ราว ๔ ปี ทุกอย่างลงตัวเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว ส่วนวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ก็กำลังเริ่มพัฒนาให้เป็นระบบ หลังยกฐานะเป็นวิทยาลัยสงฆ์ได้ปีกว่า ๆ ก็มีเหตุที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลวงพ่ออีก ครั้ง เมื่อพระเถระผู้ใหญ่ได้มีคำสั่งให้หลวงพ่อกลับไปอยู่จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อบริหารและดูแล วัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ซึ่งมีทั้งปูชนียสถานสำคัญและมีสำนักเรียนบาลีที่ร่วงโรยหลัง การมรณภาพของพระสิทธิวชิรโสภณ (ช่วง ปญฺญาโชโต) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ และเจ้าคณะ จังหวัดกำแพงเพชร

อย่างไรก็ดี ผลของความทุ่มเทในการส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมและการศึกษา ระดับอุดมศึกษาของหลวงพ่อที่ทำไว้เมื่อครั้งอยู่วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ นอกจากจะผลิต นักเรียนและบัณฑิตที่มีคุณภาพและคุณธรรมให้กับพระพุทธศาสนาและสังคมแล้ว หลวงพ่อยัง ได้รับการคัดเลือกจากคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ให้ส่งรายชื่อเข้ารับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ผู้ทำ คุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา สาขาส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งหลวงพ่อก็ได้รับการ คัดเลือกในระดับประเทศ ให้เข้ารับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักรจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราช เจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีเมื่อครั้งดำรงพระยศสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีในเทศกาลวันวิสาขบูชา พ.ศ. ๒๕๔๔

แม้ว่าหลวงพ่อจะย้ายมาอยู่ที่วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร แต่ในทุกวันที่ ๑๐ ตุลาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันมรณภาพของพระธรรมคุณาภรณ์ (เช้า ฐิตปญฺโญ ป.ธ. ๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธาราม ศิษยานุศิษย์วัดโพธารามถือว่าวันนี้เป็นวันกตัญญู เป็นวันรวมพลศิษย์ เก่าวัดโพธารามประจำปีหลวงพ่อก็จะเดินทางไปร่วมงานทุกปี และภายหลังหลวงพ่อยังได้รับเลือก ให้เป็นประธานศิษย์เก่าวัดโพธารามอีกด้วย

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๘
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม

 19 
 เมื่อ: มีนาคม 06, 2025, 01:47:08 pm 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๖: มุ่งหน้าสู่การเป็นพระมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยค

การลงไปอยู่กรุงเทพ ฯ หลวงพ่อได้รับเมตตาจากพระราชพฤฒาจารย์ (เชียง อินฺทโชโต) ให้เข้าพักที่วัดราชบุรณะหรือวัดเลียบ พระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ที่อยู่ใกล้เชิง สะพานพระพุทธยอดฟ้า แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร แต่กว่าจะได้วัดเข้าพักเพื่อศึกษาเล่า เรียนนั้นก็ลำบากมาก กว่าจะได้มาอยู่วัดราชบุรณะก็ผ่านมาแล้วหลายวัด โชคดีที่มีพระครูวชิรปริยัติคุณเมตตาประสานงานกับลูกศิษย์ทางกรุงเทพ ฯ ให้ช่วยหาวัดให้ และมีพระครูวชิรปริยัติคุณ รับรองความประพฤติจึงสามารถเข้าพักที่วัดราชบุรณะได้ ดังที่หลวงพ่อบันทึกไว้ว่า

 “ท่านอาจารย์(ในที่นี้หมายถึงพระครูวชิรปริยัติคุณ) มอบหมายให้พระมหาประจวบ ฐิติสมฺปนฺโน วัดคลองเตยนอก พาข้าพเจ้าหาวัดอยู่เรียน พ.ศ. ๒๕๒๙ หาวัดยากมาก ในเกาะ รัตนโกสินทร์ เข้าสมัครทุกวัด พระมหาประจวบพาเดินมากกว่านั่งรถ ซาบซึ้งท่านมาก ท่าน อาจารย์บังคับ พระมหาสุรพล (ปัจจุบันคือรองศาสตราจารย์ ดร. สุรพล สุยะพรม) หากข้าพเจ้าหา วัดอยู่ไม่ได้ ต้องรับเข้าวัดสะพานสูง บางซื่อ จริงๆ ท่านอาจารย์อยากให้ข้าพเจ้าอยู่วัดทองนพคุณ ซึ่งฝากสามเณรวันนา ฐานโอภาส และสามเณรบุญเลิศ โคตรภัตร อยู่ได้แล้ว แต่กฎเกณฑ์ของวัด ทองนพคุณ รับพระอายุไม่เกิน ๒๕ ข้าพเจ้า ๒๖ เกินไปปีเดียว ขอเท่าไหร่ก็ไม่ได้ แม้ท่านเจ้าคุณ อาจารย์เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันจะคุ้นเคยสนิทกันตอนเป็นวิทยากรอบรมบาลีที่วัดโพ ฯ ก็เถอะ ในที่สุดก็ได้เข้าอยู่อาศัยประจำที่วัดราชบุรณะ (วัดเลียบ) เชิงสะพานพุทธ ด้วยบารมีพระมหาสฤษดิ์ (ปัจจุบันคือพระธรรมวชิรธีรคุณ เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์) และพระมหามานพ (พันเอกมานพ เมืองแก้ว อนุศาสนาจารย์) ท่านอาจารย์พระมหาชุมพล รับรองประวัติและความประพฤติ”

ในการเรียนชั้นเปรียญธรรม ๕ ประโยค ที่สำนักศาสนศึกษาวัดราชบุรณะ หลวงพ่อได้รับ เมตตาจากพระมหาปรีชา อภิวณฺโณ ป.ธ. ๙ (ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นธรรมที่พระธรรมวชิรนายก และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดราชบุรณะ และเจ้าคณะภาค ๘) เป็นครูผู้สอน และผลของความเพียรพยายามตั้งใจเรียนก็ไม่ทำให้หลวงพ่อผิดหวัง การประกาศผล สอบบาลีสนามหลวงในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ หลวงพ่อสามารถสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค ซึ่ง ทำให้หลวงพ่อรู้สึกว่าการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ และมุ่งหน้าเข้ามาศึกษาพระบาลีที่กรุงเทพ ฯ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

การลงไปใช้ชีวิตเป็นพระกรุงเทพ ฯ มีความแตกต่างจากการเป็นพระบ้านนอกโดยสิ้นเชิง หลวงพ่อบันทึกไว้ว่าเพราะได้กำลังใจและคำสอนสั่งจากพระครูวชิรปริยัติคุณ (พระมหาชุมพล) จึง ทำให้ปรับตัวอยู่ได้ ดังที่หลวงพ่อบันทึกไว้ว่า “ชีวิตพระกรุงเทพมันต่างจากพระบ้านนอกโดย สิ้นเชิง ท่านอาจารย์สอนว่าต้องอดทน เพราะเรามาเรียนไม่ใช่มาสุขสบาย โชคดีที่ข้าพเจ้าไม่ ลำบากที่อยู่ แต่ที่เรียนนั้นพอทน ออกไปเรียนนอกวัดด้วย ช่วงปีแรกท่านอาจารย์บอกให้เรียนบาลี เต็มที่อย่าทำอย่างอื่น ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่าต้องเรียนเยอะ ๆ ป.ธ. ๕ ปีสอง จึงแสวงหาที่เรียน เต็มที่ เช้าเรียนที่วัดทองนพคุณ ท่านเจ้าคุณอาจารย์เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันสอน บ่ายไปเรียนวัด บพิตรพิมุข ท่านเจ้าคุณอาจารย์เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันสอน ค่ำเรียนที่วัดที่อยู่ คือวัดราชบุรณะ ท่าน เจ้าคุณเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันสอน ต่างจากอยู่วัดโพ ฯ ที่ถือหนังสือเดินเข้าโรงเรียน

ความห่วงลูกศิษย์ ท่านอาจารย์พระมหาชุมพลไปเยี่ยม ถามสารทุกข์สุขดิบหลายครั้งกลัว จะอยู่ไม่ได้ แต่พอเห็นข้าพเจ้าเรียนแบบเอาเป็นเอาตายก็ห่วงอีกแบบคือ กลัวผิดหวังมากหากสอบ ตก ข้าพเจ้าบอกให้ท่านอาจารย์สบายใจได้ การเรียนแบบเป็นอาชีพหลัก พอออกพรรษาเรียนจบ หลายรอบ พอถึงสิ้นปีใจมันอยากสอบแล้ว แต่ต้องรอจนต้นกุมภาพันธ์ อานิสงส์ดูหนังสือหนัก เรียนหนัก รางวัลคือสอบได้ในปีนั้น ท่านอาจารย์ไปรอผลสอบวันประกาศผลที่วัดเบญจมบพิตร (ปี นั้นเลขาแม่กองบาลีอยู่ที่นั่น) มีรุ่นพี่คือพระมหาอภิชาติทำงานตรงนั้นเลยได้ผลมาอย่างไม่เป็น ทางการ ท่านรีบโทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว ครูอยากรู้ผลสอบมากกว่าศิษย์ วันที่ข้าพเจ้า ทำให้อาจารย์ปลื้มใจที่สุด คือ ปี ๒๕๓๓ สอบได้ประโยค ๙ ท่านอาจารย์ไปควบคุมการเตรียมการ เข้ารับพัดที่วัดเลียบอยู่ ๓ วัน นี่คือหัวอกครู”

นอกจากนี้ หลวงพ่อยังเคยเล่าชีวิตความเป็นอยู่ของพระมหาบ้านนอกที่เข้าไปอยู่ในเมือง พระนครก็ต้องมีการปรับตัวเป็นธรรมดา ว่า
“ตอนเราอยู่วัดเลียบ เราก็อยู่อย่างที่รุ่นพี่ ๆ เขาอยู่มาก่อน ถึงเวลาก็ลง ทำวัตรสวดมนต์ แยกย้ายกันไปเรียนตามสำนักเรียนต่าง ๆ เย็นก็กลับมาเรียนที่วัดเลียบ แล้วก็ท่องหนังสือ สมัยนั้น แต่ละคนต่างก็มุ่งมั่นท่องหนังสือ ไม่ค่อยได้สุงสิงกันมากนัก บรรยากาศการเรียนพระบาลีที่วัด เลียบสมัยนั้นมันหาได้ยากนะในสมัยนี้ มันเรียนแบบเอาเป็นเอาตายจริง ๆ เวลาบิณฑบาตเราก็โชค ดีหน่อย มีโยมที่คอยอุปัฏฐาก เรื่องอาหารการขบฉันจึงไม่มีปัญหา ปัจจัยเงินทองก็พอได้ใช้สอยไม่ ขัดสน หลังสอบบาลีเสร็จ บางปีก็จะกลับมาวัดโพธาราม และขึ้นมาเยี่ยมญาติพี่น้องที่บ้านคุยป่ารัง รอจนใกล้ประกาศผลสอบจึงค่อยกลับลงไปลุ้นผลสอบที่วัดเลียบ”

การศึกษาเปรียญธรรม ๖ ประโยคต่อนั้น หลวงพ่อเล่าว่ามีพระมหาอดิศร ป.ธ. ๘ และ พระพรหมวชิรานุวัตร (อาทร อินฺทปญฺโญ ป.ธ.๙) เป็นครูสอน หลวงพ่อก็ยังตั้งมั่นที่จะสอบให้ผ่าน เปรียญธรรมชั้นนี้ให้ได้ เนื่องจากเป็นชั้นสูงสุดในระดับเปรียญโท แม้ในปีนี้เริ่มที่จะรับนิมนต์จาก หน่วยงานราชการและสถานศึกษาต่าง ๆ ในการบรรยายธรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาและ กิจกรรมอบรมด้านคุณธรรมจริยธรรม แต่หลวงพ่อก็ได้แบ่งเวลาในการท่องจำหนังสือไม่เคยทิ้งห่าง จนสามารถสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๖ ประโยคในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ในปีเดียวกันนี้หลวงพ่อยังได้รับ แต่งตั้งเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมประจำสำนักเรียนวัดราชบุรณะ และได้รับการแต่งตั้งเป็น กรรมการตรวจปัญหาบาลีสนามหลวง เมื่อใกล้ถึงเทศกาลสอบไล่พระบาลีหลวงพ่อยังได้ทำหน้าที่ เป็นวิทยากรอบรมบาลีก่อนสอบสนามหลวงของสำนักเรียนวัดราชบุรณะด้วย

ในระหว่างที่ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบุรณะ หลวงพ่อมักจะกลับบ้านเกิดเป็นส่วนตัว ๒ - ๓ เดือนต่อ ๑ ครั้ง ไม่เคยห่างหายไปจากบ้านเกิดที่ญาติพี่น้องที่ผูกพันเลย และอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง คือ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๑ ครั้ง และในช่วงวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันจัดงาน เทศน์มหาชาติของที่พักสงฆ์คุยป่ารังอีกหนึ่งครั้ง หลวงพ่อจะพาญาติโยมจากกรุงเทพ ฯ นั่งรถตู้ ขึ้นมาด้วยครั้งละ ๒ - ๓ คัน แล้วพักที่บ้านโยมพี่สาว บางปีก็จะนำคณะผ้าป่าขึ้นมาทอดถวายที่พัก สงฆ์ แต่ปกตินั้นหลวงพ่อจะมีทุนการศึกษามาแจกนักเรียน มีข้าวของเครื่องใช้มาแจกผู้สูงอายุ มี อุปกรณ์การเรียนมาแจกนักเรียน พร้อมด้วยเครื่องไทยธรรมจำนวนมากมาถวายไว้ที่พักสงฆ์บ้าน คุยป่ารัง ทำให้หลวงพ่อเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านคุยป่ารังเป็นอย่างมาก

ช่วงที่หลวงพ่อพำนักศึกษาพระบาลีอยู่ที่วัดราชบุรณะ ได้รับการอุปถัมภ์จากโยมเจ้าของ ร้านขายเสื้อผ้าในกรุงเทพ ฯ หลวงพ่อเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังคร่าว ๆ ว่า “ตอนเราอยู่วัดเลียบ ถือว่า โชคดีหน่อย มีโยมเขาศรัทธามาอุปถัมภ์เราทุกอย่าง เป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าอยู่ในกรุงเทพ ฯ ชื่อร้านพรเพ็ง ชื่อโยมพรพิมล มาอุปัฏฐากดูแล ทำอาหารมาถวาย ถวายปัจจัยในการใช้สอย สมัย นั้นปัจจัยก็หายากนะ พระเณรองค์ไหนมีโยมอุปถัมภ์ก็ถือว่าโชคดีโยมแม่ของโยมพรพิมลท่านรัก เรามาก รักเหมือนลูกชายคนหนึ่งเลยก็ว่าได้สนิทสนมคุ้นเคยกันทั้งครอบครัว เวลาจะกลับบ้านคุยป่ารังแต่ละทีก็จัดหารถตู้พามา บางปีก็จะจัดเสื้อผ้าให้มาแจกชาวบ้านด้วย ถือเป็นบุญวาสนาของ เรา ตอนมาอยู่วัดโพ ฯ ทางคุณโยมก็ยังคอยช่วยเหลือเรา”

เมื่อผ่านการสอบไล่เปรียญธรรม ๖ ประโยค ก็เข้าสู่การเรียนพระบาลีในระดับที่เข้มข้นขึ้น ในระดับเปรียญเอก หลวงพ่อเดินทางมาเรียนที่สำนักเรียนส่วนกลางของคณะสงฆ์ที่วัดสามพระยา และสามารถสอบไล่ได้ทุกปีต่อเนื่องจนกระทั่งสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ หลวงพ่อบันทึกเกี่ยวกับครูสอนชั้นเปรียญธรรม ๗ - ๙ ประโยคไว้ว่าประกอบด้วย พระพรหมวชิร ธีรคุณ (สมคิด เขมจารี ป.ธ. ๙), พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ. ๙), พระราชสิริธรรมเมธี (ป.ธ. ๙), สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ. ๙), พระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙), พระราชเมธี (ป.ธ. ๘), พระมหาสถิตย์ (ป.ธ. ๙) และพระธรรมวโรดม (บุญมา คุณสมฺปนฺโน ป.ธ. ๙) เป็นต้น
ผลการสอบไล่เปรียญธรรม ๗ - ๙ ประโยค หลวงพ่อสามารถสอบไล่ได้ทุกปีต่อเนื่องตั้งแต่ เปรียญธรรม ๗ ประโยค ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ จนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ผล การสอบไล่ครั้งนี้ทำให้เห็นว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีความเพียรพยายามในการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติ ธรรมเป็นเลิศ และการสำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค ถือว่าเป็นระดับชั้นสูงสุดของ การศึกษาแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย พระภิกษุสามเณรผู้สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค จะ ได้รับพระราชทานพัดยศเปรียญธรรม ๙ ประโยค ซึ่งมีลักษณะเป็นพัดหน้านาง ประโยค ป.ธ. ๙ พื้นสักหลาดสีเหลืองด้ามสีขาว ปักดิ้นเลื่อมตรงกลางว่าง ไม่มีตัวเลข เมื่อเข้ารับพระราชทาน ปริญญาบัตรและพัดเปรียญในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว จะได้รับพระมหา กรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ จัดเจ้าพนักงานขับรถหลวงปลดระวาง ส่งถึงยังอาราม

หลังจากหลวงพ่อเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรและพัดเปรียญจากพระบาทสมเด็จ 
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร แล้ว ก็มีการนำปริญญาบัตร
 และพัดเปรียญธรรม ๙ ประโยค มาจัดพิธีสมโภชที่ที่พักสงฆ์คุยป่ารัง ในช่วงเวลานั้นถือเป็นงานบุญใหญ่ของหมู่บ้าน บรรดาญาติพี่น้องและชาวบ้านต่างก็เตรียมงานอย่างขะมักเขม้นด้วยความอิ่มเอมในใจ ครั้นถึงวันงานมีพระเถระผู้ใหญ่จากกรุงเทพ ฯ จากนครสวรรค์ และจากอารามต่าง ๆ ในจังหวัดกำแพงเพชร และที่คุ้นเคยกับหลวงพ่อมาร่วมงานแสดงมุทิตาจิตเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ญาติโยมจากกรุงเทพ ฯ นครสวรรค์ และชุมชนต่างๆ ก็มาร่วมกันนับพันคน ถือเป็นงานบุญใหญ่ ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่พักสงฆ์คุยป่ารังก็ว่าได้ ทำให้ชื่อของ “พระมหาวีระ” เป็นที่รู้จัก อย่างกว้างขวาง

ไม่เพียงแต่การศึกษาด้านพระปริยัติธรรมเท่านั้น ในช่วงที่ศึกษาระดับเปรียญเอก หลวงพ่อ ยังมองว่าการศึกษาทางโลกก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการศึกษาทางธรรม จำเป็นที่จะต้อง เรียนรู้ไปควบคู่กับการเรียนพระปริยัติธรรม หลวงพ่อจึงได้สมัครสอบเพื่อรับประกาศนียบัตร ประโยคครูพิเศษมัธยม (พ.ม.) ซึ่งเทียบเท่าระดับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ. สูง) หรือระดับอนุปริญญาของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะต้องสอบชุดวิชาบังคับได้ ๑ หมวด ชุด วิชาเลือกได้ ๕ หมวด และชุดวิชาเลือกพิเศษได้๖ หมวด ผู้ที่สอบผ่านจะได้รับการรับรองคุณวุฒิ จากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งหลวงพ่อก็สามารถสอบผ่านสำเร็จชั้นประกาศนียบัตรประโยคครู พิเศษมัธยม (พ.ม.) ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับปีที่สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค

ขณะเดียวกันก็ได้ใช้คุณวุฒิการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม. ๖) ที่สำเร็จจาก สำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) อำเภอเมืองนครสวรรค์ เข้าสมัครเรียนต่อระดับปริญญา ตรีหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประถมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่ง เป็นมหาวิทยาลัยเปิด หลวงพ่ออ่านหนังสือและทบทวนความรู้ของวิชาต่าง ๆ ในแต่ละเทอมจน สามารถสอบผ่านทุกวิชาตามที่หลักสูตรกำหนด จนสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี หลักสูตรศึกษา ศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประถมศึกษา จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔

ไม่เพียงเท่านี้ ในช่วงเวลาที่เรียนชั้นเปรียญเอกหลวงพ่อยังได้สมัครเข้าศึกษาต่อระดับ ปริญญาตรี หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต คณะพุทธศาสตร์ วิชาเอกศาสนา ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพ ฯ ซึ่งขณะนั้นยังมีสถานะเป็นเพียงมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ใน พระบรมราชูปถัมภ์ จนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ เรียกกันว่า “พธ.บ. รุ่นที่ ๓๘”

เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว หลวงพ่อมีความคิดว่าคงจะไม่ลาสิกขาแล้ว แม้ว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้มีครูที่สอนบาลีและเพื่อนที่ เรียนด้วยกันได้ลาสิกขาไปหลายคน ด้วยคิดว่าการศึกษาพระบาลีนั้นทำให้ชีวิตของหลวงพ่อดีขึ้น จากการเป็นเด็กเลี้ยงควายกลายมาเป็นพระมหาผู้มีความรู้ มีการศึกษา และเป็นที่ยอมรับของ บุคคลทั่วไป ดังนั้น หลวงพ่อจึงอยากที่จะอยู่ในเพศบรรพชิตเพื่อที่จะเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม ให้กับกุลบุตรผู้ที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาได้เข้ามาบรรพชาอุปสมบทและเล่าเรียนเพื่อยกฐานะ ความเป็นอยู่ของตนเองและครอบครัวให้ดีขึ้น มีอนาคตและมีทางเลือกในการประกอบอาชีพที่ หลากหลายขึ้น จึงเป็นครูสอนบาลีต่อที่วัดราชบูรณะ

หลังจากที่หลวงพ่อจากวัดราชบูรณะขึ้นไปอยู่วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ และวัด พระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร ในทุกวันที่ ๑๘ เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันทำบุญกตัญญู บูรพาจารย์รำลึกถึงอดีตเจ้าอาวาสและพระเถระของวัดราชบุรณะ หลวงพ่อจะเดินทางลงมาร่วม งานเป็นประจำทุกปีมิเคยขาด เพราะหลวงพ่อสำนึกในบุญคุณของพระเถระผู้เป็นครูบาอาจารย์ และสำนึกในบุญคุณของวัดราชบุรณะซึ่งเป็นทั้งสำนักเรียนและชายคาพักอาศัยจำพรรษาใน ระหว่างที่มาศึกษาต่อตั้งแต่ชั้นเปรียญธรรม ๕ ประโยค จนถึงชั้นเปรียญธรรม ๙ ประโยค และ ตั้งแต่เรียนปริญญาตรีจนจบปริญญาโท หลวงพ่อกล่าวกับผู้เขียนว่า “ที่เราได้มาเป็นเจ้าคุณ ได้มา เป็นอาจารย์ ได้เป็นมหาประโยค ๙ ส่วนหนึ่งก็เพราะบุญคุณของวัดเลียบ ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะให้ เราเป็นผู้มีความมานะอดทนในการเรียนหนังสือ จนทำให้เราซึ่งจบแค่ ป. ๔ ได้จบประโยค ๙ และ จบด๊อกเตอร์”

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๗
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม

 20 
 เมื่อ: มีนาคม 06, 2025, 11:44:15 am 
เริ่มโดย apairach - กระทู้ล่าสุด โดย apairach
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๕ : จากบ้านคุยป่ารัง สู่วัดโพธาราม เมืองปากน้ำโพ (ต่อ)
เมื่อสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอกซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาชั้นสูงสุดของแม่กองธรรมสนามหลวง หลวงพ่อก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูต จังหวัดนครสวรรค์ และการสอบไล่ได้ประโยค ๑ - ๒ ซึ่ง ถือว่าเป็นชั้นเริ่มต้นของการศึกษาพระบาลีของบาลีสนามหลวง ก็ทำให้หลวงพ่อมีความตั้งใจมุ่งมานะพยายามอ่านหนังสือและท่องหนังสืออย่างหนัก เพื่อให้สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค พระภิกษุสามเณรผู้ที่สามารถสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๓ ประโยคก็จะได้ชื่อว่าเป็น “มหาเปรียญ” อันเป็นความใฝ่ฝันของหลวงพ่อที่จะก้าวตามรอยของหลวงอาพระมหากอง ประกอบกับใน ช่วงเวลานั้นทางครูสอนได้มีแนวคิดในการจัดอบรมบาลีก่อนสอบสนามหลวง ทำให้มีความมั่นใจ การการทำข้อสอบมากขึ้น ที่สำคัญคือ ในการสอบชั้นประโยค ๑ - ๒ ปีนั้นออกตรงกับที่พระครู วชิรปริยัติคุณ (พระมหาชุมพล) เก็งให้กับนักเรียน ทำให้หลวงพ่อมีความหวังตั้งแต่เห็นข้อสอบแล้ว ดังที่หลวงพ่อได้เขียนรำลึกถึงพระคุณของพระครูวชิรปริยัติคุณ ผู้เก็งข้อสอบในปีนั้นไว้ว่า
“จากนวัตกรรมอันยอดเยี่ยม คือโครงการอบรมบาลีก่อนสอบสนามหลวง ทำให้ผู้สอบได้ บาลีสนามหลวงของสำนักวัดโพธารามมีจำนวนมากขึ้นโดยลำดับ ในยุคนั้นสอบบาลีได้ใน สนามหลวงเริ่มเกิน ๑๐๐ รูป สูงที่สุดน่าจะเป็น ๑๕๒ รูป การอบรมบาลีก่อนสอบสนามหลวงในปี ถัดมา ท่านอาจารย์พระมหาชุมพลได้ปรับปรุงการอบรมบาลีก่อนสอบให้มีรูปแบบที่เข้มข้นมาก ยิ่งขึ้น เช่นการแข่งขันตอบปัญหา การจัดรางวัลที่แยกย่อยชั้นต่าง ๆ ออกไป การประกาศผล คะแนนที่ยั่วยุให้นักเรียนมีความมุ่งมั่นที่จะทำคะแนนให้ดีมากยิ่งขึ้นในวันต่อไป ทั้งคณะครูและ นักเรียนร่วมไม้ร่วมมือกันเป็นอย่างดีอาจารย์พระมหากองได้ขอทำงบประมาณเพิ่มมากขึ้นและ อาจารย์ใหญ่พระมหาสายติ่งก็ยินดีอนุมัติงบประมาณในการจัดการอบรมบาลีทำให้ในช่วงนั้นมีการ สอบบาลีได้มากเป็นลำดับ
ข้าพเจ้าเองเป็นนักเรียนชั้นประโยค ๑ - ๒ ดูหนังสือเรียกได้ว่าแทบจะท่องจำได้เลย เมื่อ ปิดโครงการอบรมบาลีก่อนสอบ มองดูต้นไม้ แผ่นดินเหลืองไปหมด แต่กระนั้นก็ตามอาจารย์ พระมหาชุมพลก็ยังติวเข้มในวันสอบช่วงเช้า นักเรียนนั่งล้อมวงหน้าโรงเรียนแบบสบาย ๆ นำเอา ประโยคเก็งมากระตุ้นให้นักเรียนดูหนังสือ ยังจำได้ว่าประโยค ๑ - ๒ นั้น ปีที่แล้ว ออกเรื่องมัฏฐะ กุณฑลีไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าท่านอาจารย์พระมหาชุมพลเก็งแม่นมาก ปีข้าพเจ้าสอบท่านก็ยังเก็ง มัฏฐะกุณฑลีต่อจากปีที่แล้วอีก มีครูหลายรูปค้านบอกเสียเวลานักเรียน (ข้อมูลนี้สามารถเปิดสถิติ การออกข้อสอบสนามหลวงประโยค ๑ - ๒ ปี ๒๕ - ๒๖ ดูได้) แต่ท่านอาจารย์ให้อาจารย์พระมหา สุเมธเป็นผู้แปลให้นักเรียนฟังเวลาเช้า ช่วงบ่ายไปสอบปรากฏว่าออกตรงตามนั้น จำได้ว่าสามเณร บุญสิน คนนครศรีธรรรมราช ปัญหาตรงจนเหงื่อออกมือสั่น เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงยังเขียนไม่ได้ เลย”
ด้วยความที่หลวงพ่อเป็นผู้มีความจำเป็นเลิศประกอบกับความเพียรพยายามในการท่องจำ บาลีไวยากรณ์ รวมไปถึงการได้รับการสอนที่เข้มงวดจากพระมหาจรัญ วิจารณเมธี ป.ธ. ๙ และ พระมหาสุเมธ ป.ธ. ๗ ซึ่งเป็นครูสอนเปรียญธรรม ๓ ประโยคของสำนักศาสนศึกษาวัดโพธาราม ทำให้หลวงพ่อสามารถสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๓ ประโยคในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ นับว่าบรรลุความตั้งใจในขั้นต้นของหลวงพ่อ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจและปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งของโยมบิดาและญาติพี่ น้อง หลวงพ่อเล่าว่า “ในการสอบประโยค ๓ ปีนั้น เราออกจากห้องสอบด้วยความมั่นใจอย่างมาก ว่ายังไงก็ต้องสอบผ่านแน่ เพราะมันใกล้เคียงกับที่พระอาจารย์เก็งข้อสอบให้ และเราก็ท่องได้จน ขึ้นใจ พอผลสอบออกมาเรานี่ดีใจจนน้ำตาไหล ในที่สุดก็สามารถเป็นพระมหาได้แล้ว ภาพโยมพ่อ โยมแม่นี่ลอยมาเลย ตอนนั้นอยากให้ได้ยินข่าวดีมากเลย แต่การสื่อสารมันก็ลำบาก รีบเขียน จดหมายส่งไปคุยป่ารังทันที”
ปีนั้นหลวงพ่อได้เข้ารับพระราชทานใบประกาศนียบัตรและพัดยศเปรียญธรรม ๓ ประโยค จากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ เมื่อครั้งดำรงพระยศสมเด็จพระอริยวงศา คตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นประธาน เมื่อรับพัดเปรียญธรรม ๓ ประโยคแล้ว ก็นำพัดยศกลับมาฉลองสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ ณ ที่พักสงฆ์ คุยป่ารัง นำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งของญาติพี่น้องและชาวบ้านคุยป่ารังที่มีพระมหา เป็นชาวบ้านคุยป่ารังถึง ๒ รูปด้วยกัน
การสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ทำให้หลวงพ่อมีความเพียรพยายามเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะความมุ่งมั่นตั้งใจว่า “เราจะต้องเป็นพระมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยคให้ได้” จึงตั้งใจ ท่องตำราของหลักสูตรชั้นเปรียญธรรม ๔ ประโยค โดยมีพระมหาสายติ่ง ฐิตสจฺโจ ป.ธ. ๘ ซึ่งเป็น อาจารย์ใหญ่ของสำนักศาสนศึกษาวัดโพธารามเป็นครูสอนเปรียญธรรม ๔ ประโยค ทั้งยังได้รับ ความเมตตาจากพระมหาสมคิด เขมจารี ป.ธ. ๙ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ พระอารามหลวง กรุงเทพ ฯ (ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่พระพรหมวชิร ธีรคุณ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ และเจ้าคณะภาค ๑๑) ซึ่งขณะนั้นขึ้นมาช่วยสอนบาลีในการอบรมบาลีก่อนสอบสนามหลวงที่สำนักเรียนวัดโพธารามพอดี ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ของหลวงพ่อ ในที่สุดผลการสอบไล่บาลีสนามหลวงประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ก็ปรากฏว่า พระมหา วีระ วรปญฺโญ พรรษา ๕ วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ สามารถสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค
ช่วงที่หลวงพ่อเรียนชั้นเปรียญธรรม ๔ ประโยค ยังได้รับโอกาสจากผู้บริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรมคุณาภรณ์ประสาธน์ให้เป็นครูผู้สอนบาลีด้วยเป็นกรณีพิเศษ โดยการนำเสนอของ พระครูวชิรปริยัติคุณ (พระมหาชุมพล) ดังปรากฏในบันทึกของหลวงพ่อว่า
“ข้าพเจ้าจำได้ว่า ในปีที่สอบได้ ป.ธ. ๓ นั้น ตามภูมิรู้และระเบียบคณะครู จะได้บรรจุสอน เพียงโรงเรียนสัตตาหศึกษาวันอาทิตย์เท่านั้น ส่วนโรงเรียนพระปริยัติธรรมจะยังไม่สามารถบรรจุ สอนได้ เนื่องจากยังไม่ได้ ป.ธ. ๔ แต่ท่านอาจารย์พระมหาชุมพล ได้เสนอในที่ประชุมว่าให้บรรจุ พระมหาวีระสอนบาลีด้วย เพราะมีความรู้ความสามารถ ข้าพเจ้าจึงได้สอนบาลีตั้งแต่ปีที่สอบได้ ป.ธ. ๓ เพราะอาศัยเมตตาท่านอาจารย์ รุ่นแรกที่ข้าพเจ้าสอน พอจำได้คือ พระมหาสุพรต (ปัจจุบันคือรองศาสตราจารย์ ดร.สุพรต บุญอ่อน) ได้ถึง ป.ธ. ๗ ดร. สนั่น กัลปา ได้ถึง ป.ธ. ๗ พระมหาแสง ได้ถึง ป.ธ. ๙ พระมหาอนันต์ ได้ถึง ป.ธ. ๕ พระมหานิโครธ ได้ถึง ป.ธ. ๖ ฯลฯ ศิษย์ ที่ข้าพเจ้าสอนทุก ๆ รุ่นก็ขอให้นับถืออาจารย์พระมหาชุมพลเป็น “อาจารย์ปู่” ด้วย”
ในระหว่างนี้ หลวงพ่อยังได้นำวุฒิบัตรนักธรรมชั้นเอก ซึ่งเทียบวุฒิการศึกษาเท่ากับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้น (ม. ๓) ไปสมัครเรียนต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่สำนักงานการศึกษา นอกโรงเรียน (กศน.) อำเภอเมืองนครสวรรค์เพื่อให้สำเร็จการศึกษาในระดับสูงขึ้น และในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ หลวงพ่อก็สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม. ๖) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความ พยายามในการศึกษาเล่าเรียนให้ควบคู่กันทั้งทางโลกและทางธรรม
ด้วยความทุ่มเทในการศึกษาบาลีของหลวงพ่อ ทำให้หลวงพ่อได้รับคำชมจากครูผู้สอนมา โดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพระครูวชิรปริยัติคุณ (พระมหาชุมพล) ซึ่งมักจะชมหลวงพ่ออยู่ เสมอ เมื่อครั้งผู้เขียนมาอยู่วัดพระบรมธาตุท่านพระครูวชิรปริยัติคุณยังพูดชมหลวงพ่อเมื่อครั้งที่ยัง เรียนบาลีที่วัดโพธารามให้ฟังอยู่เสมอ ในหนังสือคิดถึงพระมหาชุมพล เขมปญฺโญ ป.ธ. ๖ หลวงพ่อ ได้บันทึกเกี่ยวกับคำชมของพระครูวชิรปริยัติคุณไว้ว่า
“ส่วนตัวข้าพเจ้าเอง ท่านอาจารย์ก็ชมอยู่บ้าง เช่น เจ้าคุณราช ฯ ตอนเรียนบาลี ลักษณะ การเรียนไม่ได้มุ่งสอบได้ แต่มุ่งเป็นครูสอนบาลีเลย ยังนึกชื่นชมท่านอาจารย์ท่านลึกซึ้งจริง ๆ หากจะถามข้าพเจ้าก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน เพราะใหม่ๆ รักศรัทธาบาลีมาก ยิ่งได้ท่านอาจารย์พระ มหาชุมพลเอาจริงเอาจังแบบนี้ด้วยแล้ว ขอเรียนแบบถวายชีวิตเลย”

เมื่อสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคแล้ว หลวงพ่อเล่าว่า ในเวลานั้นได้รับตำแหน่ง เลขานุการโรงเรียนสัตตาหศึกษาวันอาทิตย์ (คือโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดโพธาราม) ซึ่งมีนักเรียนจำนวนมากมาเรียนทุกวันอาทิตย์ การควบคุมดูแลนักเรียนและทำงานเอกสารต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องทุ่มเทเป็นอย่างมาก ทำให้หลวงพ่อต้องแบ่งเวลาทั้งการท่องพระบาลีในการเรียนต่อ เปรียญธรรม ๕ ประโยค และการเรียน กศน. มาให้กับการทำงานเลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัด
ไม่เพียงเท่านี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นี้ เจ้าอาวาสและผู้บริหารสำนักศาสนศึกษาวัดโพธาราม ยังเห็นว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีความรู้ความสามารถทางการศึกษาพระปริยัติธรรม สามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม ๔ ประโยคแล้ว จึงมอบหมายให้หลวงพ่อเป็นครูสอนพระปริยัติ ธรรมทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลีประจำสำนักศาสนศึกษาวัดโพธาราม โดยหลวงพ่อได้สอนนักธรรมชั้นโท - เอก และชั้นเปรียญธรรม ๓ ประโยค นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ยังได้รับการ แต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจปัญหาธรรมสนามหลวง
การที่หลวงพ่อได้รับภาระงานที่มากขึ้นดังกล่าวมานี้ แสดงให้เห็นถึงความรู้ความสามารถ ของหลวงพ่อที่ทางเจ้าอาวาสและพระเถระภายในวัดโพธารามเล็งเห็น และหลวงพ่อก็ปฏิบัติงาน ตามที่ได้รับแต่งตั้งหรือได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ไม่มีบกพร่อง แต่ทว่าการทำงานที่มากขึ้นควบคู่ กับการเรียนเปรียญธรรม ๕ ประโยค ซึ่งมีพระมหาสายติ่ง ฐิตสจฺโจ ป.ธ. ๘ เป็นผู้สอนทำได้ไม่เต็ม เม็ดเต็มหน่วยเหมือนตอนที่เรียนเปรียญธรรม ๔ ประโยค เวลาในการท่องจำหนังสือก็น้อยลง จึง ทำให้ในการสอบไล่เปรียญธรรม ๕ ประโยคในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ หลวงพ่อสอบตก ทำให้ท่านรู้สึก เสียใจเป็นอย่างมาก
การสอบตกเปรียญธรรม ๕ ประโยคเป็นสาเหตุที่ทำให้หลวงพ่อเลือกตัดสินใจเดินทางลง ไปศึกษาพระบาลีที่กรุงเทพ ฯ หลวงพ่อบันทึกไว้ว่า “สาเหตุที่ย้ายเพราะปี ๒๘ - ๒๙ ข้าพเจ้าเรียน ป.ธ. ๕ และรับตำแหน่งเลขานุการโรงเรียนสัตตาหศึกษาวันอาทิตย์ บ้างาน เรียนน้อย ผลปรากฏ ว่า สอบตก ใจหวิวเลย ตัดสินใจเข้ากรุงเทพ มุ่งประโยค ๙”

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๖
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!