จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
เมษายน 20, 2024, 01:07:00 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
  แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 95
31  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / โค้ชสตรองจิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อ: ตุลาคม 14, 2023, 11:35:09 am
โค้ชสตรอง
32  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / คณะทำงานส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนไตรตรึงษ์ เมื่อ: ตุลาคม 14, 2023, 11:15:26 am
คณะทำงานส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนไตรตรึงษ์
33  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ผู้ตรวจสอบหนังสือประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เมื่อ: ตุลาคม 13, 2023, 09:49:50 am
คำสั่งจังหวัดกำแพงเพชร
34  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / นายพิเชฐ พิมพา ป.ป.ช.จังหวัดกำแพงเพชร ย้ายไปสระแก้ว เมื่อ: ตุลาคม 12, 2023, 04:17:41 pm
คือคนดี คือคนเก่ง คือคนกล้า
เจรจา อ่อนน้อม ถนอมศักดิ์
ป.ป.ช.กำแพงเพชร ทุกคนรัก
ได้ประจักษ์ ศรัทธา มหาชน
ท่านยึดมั่น หลักการ สุจริต
มหามิตร มหาชน ไม่ฉ้อฉล
คือบรรทัด คือผู้นำ ที่อดทน
ของผู้คน ที่รู้จัก ตระหนักงาน
ประสานคน ประสานตน ประสานใจ
ประสานได้ สิบทิศ มหาศาล
ประทับใจ พิเชฐ พิมพา มาช้านาน
ผู้ก่อการ สุจริต มิตรไมตรี
ขอให้ท่าน ได้พบ แต่ความสุข
ไม่มีทุกข์ ในวิญญา คงศักดิ์ศรี
ถนอมรัก ถนอมคน ในปฐพี
สดุดี พิเชฐ พิมพา ผู้กล้าเอย
 
นายสันติ อภัยราช
รองประธานโคชสตรองจิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดกำแพงเพชร
๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖
35  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ยกย่องนางสาวธัญดา.ศุภโชติพิมล เป็นผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อ: ตุลาคม 06, 2023, 01:29:43 pm
ยกย่องนางสาวธัญดา   ศุภโชติพิมล เป็นผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งยวด
36  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / คณะกรรมการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์เมิองกำแพงเพชร เมื่อ: กันยายน 19, 2023, 09:30:01 am
คณะกรรมการ
37  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / การแสดงแสงเสียงประกอบจินตนาการ นครไตรตรึงษ์ ปี ๖๖ เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2023, 09:56:39 pm
                                                         การแสดงแสงเสียงประกอบจินตนาการ
                                                เรื่อง พระมหาบารมี วีรกษัตริย์  ปกฉัตร นครไตรตรึงษ์
      วันอังคารที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ณ วัดวังพระธาตุ  นครไตรตรึงษ์  จังหวัดกำแพงเพชร  เวลา ๒๐.๐๐ น.
                                                                        รวม  ๖๐นาที

                                                              .................................................
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ทุกท่าน องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลนครไตรตรึงษ์ โรงเรียนนครไตรตรึงษ์ โรงเรียนบ้านไตรตรึงษ์ และประชาชนชาวนครไตรตรึงษ์  ยินดีต้อนรับทุกท่าน เข้าสู่การแสดงแสงเสียงประกอบจินตนาการ  เรื่อง  พระมหาบารมี วีรกษัตริย์ ปกฉัตร  นครไตรตรึงษ์     
 ในเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๔๙      พระพุทธเจ้าหลวง พระปิยมหาราช เสด็จประพาสต้น เมืองกำแพงเพชร ๑๐ วัน คือตั้งแต่วันที่ ๑๘ สิงหาคม ถึงวันที่ ๒๗ สิงหาคม พุทธศักราช  ๒๔๔๙  ทรงโปรดที่จะท่องเที่ยวและเยี่ยมเยือน  เมืองกำแพงเพชรมากที่สุด และวันนี้  ในอดีตคือวันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๔๙ ทรงเสด็จ ประพาสต้น ทอดพระเนตร วัดวังพระธาตุ และ นครไตรตรึงษ์ นครแห่งองค์อัมรินทร์แห่งนี้ ทรงบันทึกเรื่องราวของเมืองประวัติศาสตร์ นครไตรตรึงษ์ไว้อย่างละเอียดที่สุด ทำให้เราเห็นภาพของเมืองนครไตรตรึงษ์  ในอดีตและได้เกิดจินตภาพ อย่างชัดเจน ลึกซึ้ง และจะอยุ่ในความทรงจำแห่งชาวเราตลอดไปชั่วกัลปาวสาร
 เพื่อชมการแสดงได้อย่างมีอรรถรส   โปรดปิดไฟในงานทุกจุด ปิดเครื่องมือสื่อสาร และงดการแสดงออกอื่นๆ ทั้งสิ้น
และที่สำคัญที่สุด เพื่อแสดงความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่รักและเคารพอย่างยิ่งของชาวไทยทุกคนขอเชิญทุกท่าน โปรดยืนขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระองค์  (เปิดเพลงสรรเสริญบารมี)
เชิญทุกท่าน ได้เข้าสู่การแสดง แสงเสียง  เรื่อง พระมหาบารมี วีรกษัตริย์  ปกฉัตร นครไตรตรึงษ์ ตามโครงการ ชากังราว นครแห่งศิลป์ ของ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร     ณ บัดนี้           
..................................................................................
องก์ที่ ๑ …สถาปนา นครไตรตรึงษ์   (๑๕ นาที)
…….สายน้ำแม่ระมิงค์ที่ใสสะอาด ไหลผ่านนครเชียงใหม่ ลงมาทางทิศใต้สู่ ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่ยังเป็น ป่า ดงดิบที่ยังไม่มีผู้ใดค้นพบดินแดนอันงดงามและสงบสุข แห่งนี้
…..พระเจ้าพรหม โอรสแห่ง พระเจ้าพังคราชได้ขับไล่ขอมดําจากเหนือลงสู่ใต้ ระยะทางหลายร้อยเส้น มีการต่อสู้กันตลอดเส้นทางขอมดําได้สู้พลางถอยพลาง ผู้คนทั้งสองฝ่ายล้มตาย ราวใบไม้ร่วง ไล่ลงมาจนติดลําน้ำปิงตอนใต้ ขอมดํา ไม่ สามารถหนีไปได้ พากันล้มตายอย่างน่าเวทนาอย่างที่สุด
…..อัมรินทราธิราชเกรงผู้คนจะล้มตาย จนหมดสิ้น…จึงเสด็จมาจากสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ เปิดโลกสวรรค์กับโลกมนุษย์ให้เห็น กัน( เหาะมา) จึงรับสั่งแก่ พระวิษณุกรรมเทพเจ้าแห่ง ช่าง เป็น มธุรสวาจา ว่า
 พระอินทร์… ท่านวิษณุกรรมผู้ทรงไว้ซึ่งเทพเจ้าแห่ง ช่างอันประเสริฐที่สุด โปรดได้ เนรมิตกําแพงเมืองให้สูงตระหง่านและแข็งแกร่งประดุจเพชรกั้น ไม่ให้ ผู้คนทําร้ายซึ่งกันและกันให้สูญเผ่าพันธุ์เถิด
พระวิษณุกรรม   ท่าน เทพเจ้า ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ด้วยอำนาจแห่งความดีงาม และ ความซื่อสัตย์ ขอบันดาลให้เกิดกำแพงที่ยิ่งใหญ่ขวางกั้นมิให้มนุษย์สองเผ่าพันธุ์ ได้เข่นฆ่ากันให้เป็นบาปกรรม สืบต่อไป
.............ทันใด…เกิดกําแพงศิลาแลงอันมหัศจรรย์ขวางกั้นมิให้ทั้งสองฝ่ายประหัตถ์ ประหาร กัน…พระเจ้าพรหมจึง ยกกองทัพ กลับบ้านเมือง……
         พระเจ้าชัย ศิริโอรสพระเจ้าพรหม อพยพไพร่พล เพื่อตั้งราชธานีแห่งใหม่ รอนแรมมาแรมเดือน     มาถึงดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์นี้จึง สถาปนานครไตรตรึงษ์ ขึ้น เมื่อปีพุทธศักราช ๑๕๔๘
พระเจ้าชัยศิริ     แผ่นดินนี้ อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก มีลำน้ำปิงไหลผ่าน ข้าวปลา อาหาร อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก เหมาะกับการสร้างพระนคร ข้า จึงขอประกาศ   สถาปนา ให้พระนครแห่งนี้ มีนามว่าพระมหานครไตรตรึงษ์....................ขอให้ชื่อพระนครแห่งนี้ สถิตย์อยู่ชั่วกัลปาวสาร ................................
 (ระบำไตรตรึงษ์ เฉลิมฉลองพระนคร)
ตัวละคร
 ๑ พระเจ้าพรหม ทหารเอก 4 คน ทหารขอม 30 คน ทหารพระเจ้าพรหม30คน พระอินทร์ พระวิษณุกรรม
๒.พระเจ้าชัยศิริ  มเหสี  ( ราชธิดาน้อย ผู้แสดง อบจ. ) สนม กํานัล ทหารเอก 4 คน (เดิม) ทหาร 60 คนเดิม
๓ ระบำไตรตรึงษ์ ๕- ๙ คน
จบองค์ที่ ๑




องก์ ที่ ๒ ตำนานท้าวแสนปม กำเนิดพระเจ้าอู่ทอง  (๑๕ นาที)
          ที่นครไตรตรึงษ์ มีตำนานเล่าขานต่อๆกันมาว่า มีชายหนุ่ม รูปร่าง ประหลาดคนหนึ่ง มีปุ่มปม เต็มตัว  ถูกลอยแพ ตามแม่น้ำปิง มาถึง หน้านครไตรตรึงษ์  ติดอยู่ที่เกาะขี้เหล็ก ชายคนนั้น ขึ้นอาศัยบนเกาะ  ชาวบ้านเห็นชายหนุ่มนั้น จึงพากันเรียกว่าแสนปม ตามที่เห็น และเรียกเกาะขี้เหล็กว่า เกาะแสนปม ในกาลต่อมา  แสนปม ได้ ทำการปลูกกระท่อม และปลูกผักสวนครัว เลี้ยงชีวิต  มะเขือพร้าว เป็นพืชที่แสนปม ปลูกไว้จำนวนมาก มะเขือพร้าว มีผลขนาดใหญ่ มีสีขาวนวล งามมาก มีต้นหนึ่งแสนปมที่ปลูกไว้ข้างบันไดกระท่อม แสนปม ปัสวะรดทุกเช้า  จึงมีผลโตสวยงาม ขนาดใหญ่กว่าทุกต้นในสวนนั้น..............
     จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว พระนครไตรตรึงษ์ ว่า มะเขือพร้าว บนเกาะปมนั้นงามนัก มีผลขนาดใหญ่เป็นที่มหัศจรรย์ แก่ผู้พบเห็น .....ข่าวลือ ไปถึงพระกรรณของ พระนางอุษา พระราชธิดาผู้เลอโฉม ของ กษัตริย์แห่งนครไตรตรึงษ์
นางอุษา   พระพี่เลี้ยง ทั้ง ๔  เราได้ข่าวลือว่า ที่เกาะปม มีมะเขือพร้าวผลใหญ่ เป็นที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก เราใคร่จะเห็น และอยากเสวยด้วย พี่ทั้งสี่ พาเราไปชมสวนมะเขือพร้าวที่เกาะแสนปม ได้หรือไม่
พระพี่เลี้ยง   พี่ว่าต้องไปทูลขออนุญาต จากเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ของ พระราชธิดา ก่อน เราจึงไปได้เพค่ะ มิฉนั้น พระองค์ทรงพิโรธ แน่ๆ เพราะ ทั้งสองพระองค์ทรงห่วงและหวงพระราชธิดา ยิ่งนัก นะเพค่ะ
ณ ที่ในพระราชฐาน ชั้นในพระเจ้านครไตรตรึงษ์ และพระมเหสี เสด็จออก ขุนนางและมหาดเล็ก สนมกำนัล เข้าเฝ้าเต็มท้องพระโรง พระนางอุษา และพระพี่เลี้ยง เข้าเฝ้าอยู่ด้วย  เมื่อว่าราชการเรียบร้อยแล้ว  นางอุษาเสด็จเข้าไปใกล้ แล้วทูลขอพระราชทานบรมราชานุญาต
นางอุษา   เสด็จพ่อเสด็จแม่เพค่ะลูกขออนุญาตไปประพาสนอกพระนคร  เพื่อชมสวน ในเกาะแสนปม      หน้าเมืองใกล้แค่นี้เพค่ะ จะรีบไปรีบกลับ ไม่ให้ทั้งพระองค์เป็นห่วง เพค่ะ
พระเจ้าไตรตรึงษ์  อย่าไปเลยลูก พ่อเป็นห่วง ลูกยังไม่เคยออกนอกพระนครเลย   ลองถามแม่ ดูสิว่ามีความเห็นประการใด จะให้ไปไหม ลูกรักของพ่อ
นางอุษา   เสด็จแม่เพค่ะ ลูกขออนุญาต ไปกับพระพี่เลี้ยง ทั้ง๔ และ ทหารคุ้มกัน สัก สี่คน ลูกอยากชมบ้านเมืองและประชาราษฎรของเราด้วยเพค่ะเสด็จแม่อนุญาต นะเพค่ะ ลูกอยากไปเพค่ะ
พระมเหสี   เมื่อลูกอยากไปเยี่ยมพสกนิกร ของเรา แม่ก็อนุญาต  พระพี่เลี้ยง และทหารทั้ง ๔ ดูแลลูกเราให้ดี อย่าให้มีภยันตรายใดๆแก่ลูกของเรา ไปเถิดลูก
พระพี่เลี้ยงและ  ทหารทั้ง ๔    กราบทูลพร้อมกันว่า    พระพุทธเจ้าข้า กระหม่อมฉัน จะพิทักษ์พระธิดา ด้วยชีวิต ของกระหม่อมฉันพระพุทธเจ้าข้า  (ปิดไฟ)
ที่เกาะแสนปมพระธิดา เดินทอดพระเนตร เห็นมะเขือพร้าว ดกผลใหญ่ งดงามดังคำร่ำลือ  แสนปมเข้าเฝ้า ถวายมะเขือพร้าว ผลที่งามที่สุด ในสวน หลายผล
พระธิดา       เราขอบใจเจ้ามาก เจ้าแสนปม  ที่ถวายมะเขือพร้าวแก่ เรา เราจะนำไปทำอาหารเสวย ในพระราชวัง เราขอพระราชทาน  หมากให้แก่เจ้าหนึ่งคำ เป็นรางวัลเพื่อตอบแทนน้ำใจของเจ้า   เรากลับแล้วนะแสนปม
แสนปม      ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ทรงพระสิริโฉมงดงาม เกษมสำราญทุกวารเวลา พระพุทธเจ้าข้า
                  (ปิดไฟ)
ในพระราชวัง ราชฐานชั้นใน ข่าวพระราชธิดา ทรงพระครรภ์  ล่วงรู้ถึง ท้าวไตรตรึงษ์ และพระมเหสี ทรงตรัสให้พระธิดา และพระพี่เลี้ยงเข้าเฝ้า ในราชสำนักส่วนพระองค์
พระเจ้าไตรตรึงษ์    อุษาลูกเรา  ลูกท้องกับใครบอกพ่อมา พ่อจะลากคอมันออกมารับผิดชอบ (สุรเสียงดัง ด้วยความโกรธ)
นางอุษา       ลูกไม่ทราบ เลยเพค่ะ ลูกไม่เคยยุ่งกับชายใดเลย ลงโทษลูกเถิดเพค่ะ ที่ทำให้เสด็จพ่อเสียพระเกียรติ ลูกยอมรับผิดทุกประการ แล้วแต่เสด็จพ่อเห็นสมควรเพค่ะ
พระมเหสี     เสด็จพี่เพค่ะ หม่อมฉัน คิดว่า เทพยดา คงลงมาเกิด เป็นหลานเรา ทรงพระบารมี เสริมพระชะตา  ของพระองค์เพค่ะในกาลข้างอาจเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ใหญ่ ชนะสิบทิศ นะเพค่ะ
พระเจ้าไตรตรีงษ์  เราจะเลี้ยงหลานเราไว้ เมื่อรู้ความ เราจะอธิฐานให้พบพระบิดาที่แท้จริง ของหลานเรา เจ้าอุษาจงดูแลพระครรภ์ของเธอให้จงดี อย่าให้เป็นอันตรายต่อหลานเรา
( ทุกคนกราบ ปิดไฟ)
เมื่อพระราชโอรส รู้ความ พระเจ้าไตรตรึงษ์ ทรงป่าวร้อง  ให้ ผู้ชาย ทั้งใกล้ไกล มาให้พระหลานขวัญเลือก ทรงอธิษฐานจิตว่า ถ้าพระหลานขวัญ รับของจากผู้ใดจะรับผู้นั้น อภิเษก กับพระราชธิดา เป็นพระราชบุตรเขย และยก นครไตรตรึงษ์ให้ครอบครอง
บรรดา กษัตริย์ต่างเมือง ต่างถือ ของดีๆ มาถวายพระราชโอรส ๆไม่รับของ จากใครๆเลย  บรรดาผู้ชายทุกคนที่ปรารถนาจะเป็นราชบุตรเขย ต่างผิดหวังตามๆกัน เมื่อพระราชโอรส มิรับของจากผู้ใดเลย มาถึงตนสุดท้าย แสนปม ถือก้อนข้าวเย็นมาถวาย
พระราชโอรสทรงรับ และเสวยข้าวเย็นนั้น ทำให้พระเจ้าไตรตรึงษ์ ทรงยอม ตามที่พระองค์ อธิษฐานไว้ ด้วยความไม่เต็มพระทัย
(มีผู้แสดง ประกอบการบรรยาย)
แสนปม พานางอุษาและพระราชโอรส  มาอยู่เกาะแสนปม อย่างมีความสุข  เมื่อแสนปม ไปทอดแห ที่คลองขมิ้นหน้าเมือง ทอดเท่าไร ก็ไม่ได้ปลา ได้แต่ขมิ้น ได้ทิ้งขมิ้นไป เหลือติดใต้ท้องเรือ เมื่อกลับมากระท่อม ขมิ้นเหล่านั้นกลายเป็นทองคำ  แสนปมนำทองคำมาทำอู่ให้ลูกนอน  จึงเรียกชื่อลูกว่า อู่ทอง ตามเปลทองที่นอนนั้น ชาวเมืองขนานนามเด็กคนนี้ว่าอู่ทอง เช่นกัน
(ปิดไฟ)
กาลต่อมา อัมรินทราธิราช  ประสงค์ที่จะช่วย แสนปม และด้วยบุญาธิการของเจ้าอู่ทอง ที่จะได้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ภายภาตหน้า จึงแปลงกลายเป็นวานร ถือฆ้อง ใบน้อยลงมาลงมา เมื่อแสนปมหักล้างถางพง วันใด เช้าขึ้น ต้นไม้ที่ถากถางวันวาน กลับตั้งตรง ดังเดิม หลายครั้ง หลายครา แสนปมจึงลอบดู จึงได้ทราบว่า เป็นลิงน้อย ตีฆ้อง ทำให้ต้นไม้ตั้งขึ้น จึงจับลิงไว้ และลิงได้มอบฆ้องวิเศษให้และบอก ว่า ประสงค์สิ่งใดให้อธิษฐานสิ่งนั้นและตีฆ้อง จะได้ตามที่ปรารถนา ทุกประการ
      แสนปม จึง อธิษฐานให้รูปงาม และเนรมิต มหานครขึ้น เรียกขานราชธานีนั้นว่า เทพนคร อยู่ฝั่งตะวันออก ตรงข้ามนครไตรตรึงษ์ และแสนปม สถาปนาตนเอง เป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่าท้าวแสนปม มีนางอุษาเป็นพระมเหสี ส่วนราชโอรส เมื่อขึ้นครองราชย์ ตามตำนานเล่าว่า ไปสถาปนากรุงศรีอยุธยา ขึ้นเป็นราชธานี  ทรงพระนามว่า พระเจ้าอู่ทอง  ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา............................(ยิงพลุ)
ตัวละคร
          ท้าวไตรตรึงษ์  มเหสี    นางอุษา    แสนปม   ๒ ตัว   พี่เลี้ยง ๔ คน    ทหาร ๔ คน เดิม   เจ้าเมืองต่างๆ  สิบคน
ลิง ประชาชน  ๑๐ คน
อุปกรณ์ เปลทอง ฆ้อง  และของที่ เข้าต่างเมืองถือมา มะเขือ ต้น ผลมะเขือ
                                                    จบองก์ที่  ๒
องก์ที่ ๓ พระพุทธเจ้าหลวง เสด็จประพาสต้นกำแพงเพชร  ( ๕ นาที)

ทรงเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๔๔๙  ออกจากพระราชวังสวนดุสิต ๒ ทุ่ม  ถึงตำหนักแพวังหน้า ๕ ทุ่ม ถึงวัดเขมา ๕ ทุ่มครึ่ง      ทรงรอนแรมทางเรือ ผ่านเมืองต่างๆ จนกระทั่งเข้าเขตเมืองกำแพงเพชร ในวันที่ ๑๘ เดือนสิงหาคม ๒๔๔๙ ความว่า.................
วันที่ ๑๘ เวลาเช้าโมง ๑ ขึ้นไปถ่ายรูปที่วัดอรุณราชศรัทธารามหลังที่จอดเรือแล้วเดินขึ้นไปเขานอ ระยะ ๘๗ เส้น ตอนนอกเป็นป่าไผ่ แล้วมีสพานข้ามบึงตื้น ๆ ไปขึ้นชายป่าแล้วกลับลงที่ลุ่ม เมื่อเวลาน้ำมาครั้งก่อนท่วม แต่เวลานี้เฉพาะถูกคราวน้ำลด หนทางยังเป็นโคลนเดินยาก จนถึงชานเขาจึงดอน ตามคำเล่ากันว่าเปนเขาซึ่งนางพันธุรัตน์ตามมาพบพระสังข์ มีมนต์มหาจินดาเขียนอยู่ที่แผ่นศิลา
   วันที่ ๑๙ วันนี้ตื่นสายไป แล้วพระวิเชียรพาคนผมแดงมาให้ดู อันลักษณะผมแดงนั้นเป็นผมม้าแดงอย่างอ่อนหรือเหลืองอย่างแก่ ผมที่แดงนี้มาข้างพันธุ์พ่อ ถ้าผู้หญิงไปได้ผัวผมดำ ลูกออกมาก็ผมดำไปด้วย ผมแดงนั้นเปลี่ยน ๓ อย่าง แรกแดงครั้นอายุมากเข้าก็ดำหม่นลง แก่ก็เลยขาวทีเดียว บอกพืชพันธุ์ว่าทราบว่าตัวมาแต่เวียงจันทน์แต่มาก่อนอนุเป็นขบถ จะได้ตั้งอยู่ช้านานเท่าไรไม่ทราบ พูดเป็นไทยประพฤติอาการกิริยาก็เป็นไทย เฉพาะมีมากอยู่ที่เมืองขาณุ
ออกเรือเวลา ๓ โมงตรง เกือบ ๕ โมงจึงได้ขึ้นเรือเหลืองทำกับข้าว แวะเข้าจอดที่ ๆ ประทับร้อนเพราะระยะสั้นแต่จืดไปไม่สนุก จึงได้ไปจอด หัวหาดแม่ลาด ซึ่งมีต้นไม้ร่ม กินเข้าและถ่ายรูปเล่นในที่นั้นแล้วเดินทางต่อมา หมายว่าจะข้ามระยะไปนอน คลองขลุง แต่เห็นเวลาเย็น ที่พลับพลาตำบลบางแขม นี้ทำดี ตั้งอยู่ที่หาดแลพลับพลาหันหน้าต้องลม จึงได้หยุดพอเวลาบ่าย ๔ โมงตรง อาบน้ำแล้วมีพวกชาวบ้านลงมาหาเล่าถึงเรื่องไปทัพเงี้ยว เวลาเย็นขึ้นไปเทียว บ้านบางแขมนี้ก็เป็นบ้านหมู่ใหญ่อยู่ฝั่งตะวันออก
วันที่ ๒๐ ออกเรือเกือบ ๓ โมงเช้า ๔ โมงครึ่งขึ้นเรือเหลือง ทำกับเข้ามาจนถึงที่ประทับร้อนไม่แวะ เลยขึ้นมาข้างเหนือแวะฝั่งตะวันออก ตลิ่งชันแลสูงมาก แต่ต้นไม้งาม    ปีนขึ้นไปกินเข้าบนบกสำหรับถ่ายรูป แล้วลงเรือมาถึงวังนางร้างเป็นที่พักแรม   บ่าย ๓ โมงเท่านั้น ครั้นจะเลยไปอื่นระยะก็ห่าง จึงลงเรือเล็กไปถ่ายรูปฝั่งน้ำข้างตะวันออก แล้วข้ามมาตะวันตกหมายจะเข้าไปถ่ายรูปบ้านวังนางร้าง
วันที่ ๒๑ ออกเวลาเช้า ๒ โมงเศษ ๔ โมงครึ่งขึ้นเรือเหลือง  ถึงปึกผักกูดที่ประทับร้อน ไม่ได้หยุดเพราะกับข้าวยังไม่แล้ว ระยะสั้นจึงเลยไปจนถึงเกาะธำรง ซึ่งจัดไว้เป็นที่แรมก็เพียงเที่ยง เห็นควรจะย่นทางได้ หยุดกินข้าวเเล้วออกเรือต่อมา หยุดที่พักร้อนบ้านขี้เหล็ก ถึงบ่าย ๔ โมงครึ่ง  ตั้งแต่พลับพลาวังนางร้างมาฝั่งตะวันตกมีบ้านเรือนมาก มีเรือจอดมาก มีหีบเสียงเล่นด้วย เพราะเป็นท่าสินค้า  ต่อขึ้นมาก็มีเรือนราย ๆ แต่ฝั่งตะวันออกเป็นป่า จนถึงบ้านโคน ซึ่งเดากันว่าจะเป็นเมืองเทพนคร แต่ไม่มีหลักฐานอันใด  บ้านเรือนดีมีวัดใหญ่เสาหงส์มากเกินปรกติอยู่ฝั่งตะวันออก มาจนถึงบ้านท่าขี้เหล็กอยู่ฝั่งตะวันตก พลับพลาตั้งฝั่งตะวันออก เมื่อคืนนี้ฝนตกเกือบตลอดรุ่ง วันนี้ก็โปรยปรายเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปมีเวลาแดดน้อย จนต้องกินข้าวที่พลับพลาประทับร้อน ตั้งแต่บ่าย ๔ โมงเศษฝนก็ตกมาจนเวลานี้ ๒ ทุ่มเกือบครึ่งทีก็จะตลอดรุ่ง ที่พักอยู่ข้างจะกันดาร ........................
                                             จบองก์ที่ ๓

องค์ที่ ๔ เตรียมการรับเสด็จ (ที่บ้านกำนันสอน) ( ๑๐นาที)
(ที่บ้าน นายบ้านวังพระธาตุ  แม่บ้าน และนายบ้าน นั่งอยู่ด้วยกัน)
แม่บ้าน  นี่พ่อกำนัน พ่อได้ข่าว พระเจ้าอยู่หัวเสด็จ  เข้าเขตกำแพงเพชร แล้วแล้วใช่ไหม พ่อ

พ่อกำนัน * ข้าได้ข่าว ตั้งแต่เสด็จเข้ากำแพงเพชร ตั้งแต่วันที่ ๑๘ สิงหาแล้ว เห็นกระบวนเรือของพระยาวิเชียรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชรของเรา ไปรับเสด็จที่ปากน้ำโพ และเห็นกระบวนหรือของพระยาสุจริตรักษาเจ้าเมืองตาก ตามไปรับเสด็จอีกขบวน แต่ข้าไม่ได้รับคำสั่งใดๆ จากท่านเจ้าเมืองเลย จึงไม่ได้ตัดสินใจ ว่าเราจะทำอย่างไรกัน แล้วก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วด้วย ตื่นเต้น ตัวสั่นไปทั้งตัว ได้ข่าวว่าพระองค์จะเสด็จขึ้นวังพระธาตุบ้านเราด้วยนา แม่บุญนาค เราจะทำประการใดดี
แม่บ้าน * ฉันทราบข่าวจาก คนที่กลับจากปากน้ำโพว่า การเสด็จประพาสต้นครั้งนี้ พระองค์เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ ไม่ต้องการให้ใครไปต้อนรับ ทรงปลอมพระองค์มาเป็นสามัญชน กินอยู่อย่างเรียบง่าย ต้องการมาเยี่ยมพสกนิกรของพระองค์เท่านั้น ไม่ประสงค์ให้ใครเดือดร้อนแล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดีพ่อกำนัน
พ่อกำนัน *  เราจะเรียกประชุมชาวบ้านวังพระธาตุกันดีไหม หารือกันว่า เราจะทำฉันใดกันดี พระองค์เสด็จมาถึงบ้านเรา เราไม่รับเสด็จได้อย่างไร นับว่าเป็นมหากรุณาธิคุณสูงสุด แก่พวกเราชาววังพระธาตุ ตามธรรมเนียมไทย ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ นี่เป็นถึงช้างเหยียบนา   พระยาเหยียบเมืองเชียวนาแม่บุญนาค
แม่บ้าน * ฉันเห็นด้วยจ้า พระองค์ทรงโปรดราษฎร์ของพระองค์เช่นนี้ พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างที่ตอบแทนพระคุณของพระองค์ ท่านพ่อกำนันคิดถูกต้องแล้ว
พ่อกำนัน  *( ตีเกราะเคาะไม้ เสียงดังสนั่นไปทั้งคุ้งน้ำ บ้านวังพระธาตุ ในตอนค่ำ ของวันที่ ๒๑ สิงหาคม ประชาชนทยอยกันมาอยู่ลานบ้านกำนัน ราวทุ่มเศษ มากันครบทุกบ้าน (หน้าลานบ้านท่านกำนัน)
กำนัน * (ยืนขึ้น ชาวบ้านนั่งยองๆ รอบๆ กำนันด้านหน้า แม่บ้าน ยืนอยู่ข้างกำนัน)
กำนัน*  พวกเราชาววังพระธาตุ คงรู้กันทั่วไปแล้วว่า พระเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราข เสด็จ บ้านเราในวันพรุ่งนี้ ตอนสายๆ เราจะทำอย่างไรกันดี ข้าเชิญทุกท่านมาเพื่อปรึกษา การสำคัญอันนี้
ทิดแดง * ท่านกำนัน เราควรมาต้อนรับพระองค์ท่านที่ท่าน้ำหน้าวัดวังพระธาตุ ของเราให้เต็มท่าน้ำ เต็มลานวัด เตรียมการต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติ ที่พระองค์ทรงเมตตาชาวป่าชาวดงอย่างพวกเรา เหลือเกิน ข้าขอจะเตรียมกระบวนกลองยาวไว้รับเสด็จ ให้ดีที่สุดที่พวกเราเคยเล่นมามา
กำนัน* ดีมากเลยทิดแดง พระองค์คงเกษมสำราญมากๆ ที่เห็นประชาชนสามัคคีกัน และจงรักภักดีต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์
อำแดงเอี่ยม*  ข้าจะถวายพระเครื่อง ที่วัดวังพระธาตุ แด่พระองค์ ได้ไหมกำนัน
อำแดงอิ่ม*  ข้าจะถวาย น้ำและหมากพลูแก่พระองค์ท่าน
แม่บ้าน* ดีมากเลยที่พวกเราช่วยกันและสามัคคีกัน ฉันได้ซ้อมระบำไว้หนึ่งชุดหนึ่งจะรำถวายพระองค์ หลังจากพระองค์ ประทับแล้ว
กำนัน * ยอดเยี่ยม เลยพี่น้อง ชาววังพระธาตุ พรุ่งนี้เราจะเห็นความสามัคคี ของพวกเราที่มีต่อ พระพุทธเจ้าหลวงของเรา ข้าขอบใจทุกคนมาก พรุ่งนี้ ย่ำรุ่ง เราไปพร้อมกันที่ท่าน้ำวัดวังพระธาตุ อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อเตรียมการรับเสด็จมิให้บกพร่อง เอาละวันนี้เราแยกย้ายกันไปก่อน
ตัวละคร
 ๑ กำนันสอน
๒ ภรรยา แม่บุญนาค
๓ทิดแดง
๔อำแดงเอี่ยม
๕อำแดงอิ่ม
๖ ประชาชน ร่วมประชุม ราว ๓๐ คน

องค์ที่ ๕ พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จเข้านครไตรตรึงษ์   (  ๑๕นาที)
(คำบรรยาย) วันที่ ๒๒-สิงหา  เมื่อคืนฝนตกพร่ำเพรื่อ ไปยังรุ่ง แรกนอนไม่รู้สึกว่าจะเย็น ต่อหลับไปตื่นขึ้นจึงรู้สึกเย็นไปทั้งตัวท้องก็แข็งขลุกขลักอยู่เป็นนาน เอาสักหลาดขึงอุดหมด จึงนอนหลับ ตื่น สองโมงเช้าครึ่ง ออกเรือจวนสามโมง  มาจาก          ท่าขี้เหล็ก เลี้ยวเดียวก็ถึงวังพระธาตุ อยู่ฝั่งตะวันตก มีบ้านเรือนราย ตลอดขึ้นมาแต่อยู่ฟากตะวันตก ฟากตะวันออกเป็นปาตั้งแต่พ้นคลองขลุงขึ้นมา มีต้นสักชุม แต่เป็นไม้เล็กๆ ซึ่งเป็นเวลาหวงห้าม เดินเรือวันนี้ว่าไปในป่ากลางสูง ได้ยินเสียงนกร้องต่างๆ อย่างชมดงเพรียกมาตลอดทาง
“ที่วังพระธาตุ เป็นชื่อชาวเรือตั้ง วังไม่ได้แปลว่าบ้าน แปลว่าห้วงน้ำ พระธาตุนั้นคือพระธาตุที่ตั้งตรงวังนั้นจอดเรือที่พักเหนือวังพระธาตุนิดหนึ่ง แล้วเสด็จขึ้นที่ท่าน้ำวังพระธาตุ”
( คำบรรยาย ไฟจับไปที่เรือพระที่นั่งหางแมงป่อง ในเรือพระที่นั่ง มี ผู้ตามเสด็จ ในเรือหลายคน)
พระภิกษุ ยืน หน้ากำนันผู้ใหญ่บ้าน  ประชาชน นั่งเรียงราย ถวายของ ถวายการต้อนรับตามแนวรายทาง พระองค์ทรงเกษมสำราญ ทักทาย อาณาประชาราษฎร์ ทันใดวงกลองยาว ออกมาจากป่าริมทาง ขบวนใหญ่ ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน เจ้าคนังเงาะป่าตามเสด็จ วิ่งออกจากขบวนเสด็จ เข้ารำกับประชาชนอย่างสนุกสนาน (ประมาณ ๕นาที)
แล้วทรงเสด็จไปชมเจดีย์วัดวังพระธาตุ  ........ความในพระราชนิพนธ์ว่า.......................
         “ พระธาตุนั้นมีฐานแท่นซ้อนสามชั้น  แล้วถึงชั้นคูหาบนเป็นรูปกลม ซึ่งกรมหลวงนริศ เรียกว่าทะนาน ถัดขึ้นไปถึงถึงบัลลังก์ ปล้องไฉน ๗ปล้องปลีแล้วปักฉัตร  องค์พระเจดีย์พังมาเสียซีกหนึ่ง มีรากระเบียงรอบวิหาร สี่ทิศ วิหารใหญ่ที่บูชาอยู่ทิศใต้  พระอุโบสถที่มีสีมาเป็นสำคัญ อยู่ที่ทิศตะวันออก เยื้องไม่ตรงกลาง เขาปลูกโรงหลังคามุงกระเบื้องในที่ใกล้พระเจดีย์ด้านตะวันออก มีพระพุทธรูปทั้งนั่งและยืนหลายองค์  พระพุทธรูปหน้าตาดีแปลกกว่าที่เคยเห็น เป็นช่างได้ทำและถ่ายรูปที่เหล่านี้ไว้ เวลานี้มีพระที่มาจากเมืองนนท์ เป็นรู้จักมาแต่ก่อน ขึ้นมาจำพรรษาที่นี่ คิดจะปฎิสังขรณ์ ปลูกกุฎิอยู่เยื้องหน้าพระธาตุห่างจากศาลาบุงกระเบื้อง เดิมซึ่งอยู่ข้างลำน้ำใต้ลงไป  ล้วนน่าชื่นชม”
นำเสด็จสู่เมืองโบราณ นครไตรตรึงษ์ เดินจากวังพระธาตุไปตามลำน้ำข้างเหนือ ทาง ๒๖ เส้น ถึงคูด้านใต้ของเมืองไตรตรึงษ์ คูนั้นใหญ่กว้างราว ๑๕ วา ลึกลงเสมอพื้นหาดแต่น้ำแห้ง ยื่นเข้าไปจนถึงเชิงเทิน หลังเมืองไปมีถนนข้ามเข้าเมืองอยู่กลางย่านด้านใต้ แต่ด้านเหนือไม่มีถนน มีแต่ลำคูมาบรรจบด้านใต้ กำหนดเชิงเทินยาวตามลำแม่น้ำ ๔๐ เส้น ยืนเข้าไปทางตะวันตกตะวันออก ๓๗ เส้นเห็นเป็นเมืองใหญ่โตอยู่ พื้นแผ่นดินเป็นแลงไปทั่วทั้งนั้น ในท้องคูก็เป็นแลง เข้าไปในเมืองหน่อยหนึ่งพบโคก เห็นจะเป็นวิหารเจดีย์พังตั้งอยู่เบื้องหลัง ถัดเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง เรียกว่าเจดีย์ ๗ ยอด จะเป็นด้วยผู้ที่มาตรวจตราค้นพบสามารถจะถางเข้าไปได้แต่ ๗ ยอด แต่ที่จริงคราวนี้เขาได้ถางดีกว่าที่ได้ถางมาแต่ก่อน จึงได้ไปพบว่ากว่า ๗ คือพระเจดีย์ใหญ่ขนาดพระมหาธาตุริมน้ำอยู่กลาง มีพระเจดีย์ราย ๓ ด้าน
(เสด็จกลับมาที่วิหารวัดวังพระธาตุ)
พระพุทธเจ้าหลวง มีดำรัส แก่ประชาชนชาวไตรตรึงษ์ ท่ามกลางประชาชนที่มาส่งเสด็จ  ว่า
“เมืองไตรตรึงษ์ เป็นเมืองใหญ่มาแต่อดีต สร้างได้อย่างทันสมัย ประชาชนมีจำนวนมาก ประชาชนฉลาดหลักแหลม มีน้ำใจ มีความจงรักภักดี ขอให้ดูแลบ้านเมืองของท่านไว้ให้ดี รักษาวัฒนธรรมประเพณี ไว้ให้มั่นคง สืบชั่วลูกหลานเหลนของพวกเราทุกคนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ของทุกปีจะกลายเป็นวันประวัติศาสตร์ของชาวนครไตรตรึงษ์ตลอดไป  ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ เราจะออกเดินทางเข้าเมืองกำแพงเพชร ในค่ำวันนี้ มีโอกาสเราจะมาเยี่ยมชาววังพระธาตุ นครไตรตรึงษ์อีกครั้ง เราประทับใจในการต้อนรับของทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง (ทรงโบกพระหัตถ์“  ประชาชนก้มกราบ)
เรือพระที่นั่งหางแมงป่อง ค่อยๆเคลื่อนไปจากท่าน้ำวัดวังพระธาตุ สายพระเนตรของพระพุทธเจ้าหลวง มองราษฎร์ของพระองค์ด้วยความเมตตา
ประชาชนทุกคนน้ำตาคลอเบ้า ไม่คิดเลยว่า วันหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดิน ที่รักยิ่งของประชาชนพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช พระพุทธเจ้าหลวงของปวงชน ทรงไม่หวาดกลัวไข้ป่าและโรคระบาด ที่ชุมมากในเมืองไตรตรึงษ์ พระบารมีนี้จะปกเกล้า เหล่าชาวนครไตรตรึงษ์ ไปตลอดกาลสมัย ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ...........
ตัวละคร
๑.   พระพุทธเจ้าหลวง อาจใช้ภาพ หรือคนแสดงที่เหมาะสม แต่งกายแบบสามัญชน
๒.   กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
๓.   พระยาวิเชียรปราการ
๔.   พระยาสุจริตรักษา
๕.   นายคนัง เงาะป่า
๖.   กำนันสอน
๗.    ภรรยา แม่บ้านแม่บุญนาค
๘.   ทิดแดง
๙.   อำแดงเอี่ยม
๑๐ อำแดงอิ่ม
๑๐ ประชาชน ร่วมตามเสด็จ ราว ๓๐ คน
 ๑๑.พระภิกษุ เจ้าอาวาสวัดวังพระธาตุ
   ๑๒   ขบวนกลองยาว
๑๓  ชุดรำถวายหน้าพระที่นั่ง                     
จบด้วย จินตลีลา ชุด ปิยมหาราชา บารมี
(ตัวละครทุกตัว เข้าอยู่ในฉากนี้)
(เปิดเพลง ..............................ในฉากฟินาเร)

                                                                                      จบบริบูรณ์


38  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / บันทึก สำรวจบึงน้อย บ้านน้ำดิบ กลางป่าแม่ระกา กำแพงเพชร วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2023, 09:19:16 pm
บันทึก สำรวจบึงน้อย บ้านน้ำดิบ กลางป่าแม่ระกา กำแพงเพชร

   วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗  ได้นัดหมายกับ ดร.เอ (ดร.ลักษณ์ภัทรเกตุ  ชนประชา ชาญเชี่ยว ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา ความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งท่านร้องขอให้ช่วยไปสำรวจ บึงน้อย หลังศูนย์เพาะกล้าพันธุ์ไม้ บ้านน้ำดิบ ว่าใช่เมืองโบราณหรือไม่ รับปากไว้กว่าเดือน ด้วยความเต็มใจ(เคยนัดสำรวจไว้เมื่อปีที่แล้วแต่บังเอิญสามีดร.เอเสียชีวิต กะทันหันจึงไม่ได้ไปสำรวจ) เพราะเคยไปสำรวจเมืองโบราณอย่างละเอียดแล้วทุกเมืองในกำแพงเพชร วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นวันอังคาร ดร.เอ มารับ เวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. แปลกฝนตกหนักมาก จนคิดว่าไม่ได้ไปแล้ว แต่ดร.เอ ไม่ละความพยายาม มารับพร้อมกับคุณน้า วนิดา  ชาญเชี่ยว (มีศักดิ์เป็นแม่สามีดร.เอ) มีฟาร์โร หลานชาย ดร.เอเป็นสารถี  เราไปพร้อมกับอาจารย์จันทินี อภัยราช โดยนัด อ.รุ่งเรือง สอนชู  ไว้ที่หน้า ศูนย์ราชการจังหวัดกำแพงเพชร
   เมื่อพบกัน ครบถ้วนทุกคน เดินทาง เลี้ยวเข้าไปทางศูนย์เพาะพันธุ์พืช น้ำดิบ ซึ่งเป็นป่าแม่ระกา ทึบ รก ตลอดทางมี กิ่งไม้ ต้นไม้ล้มข้างทางหลายจุด เลาะเลี้ยว ไปสัก สิบนาที  ดร.เอ พาไปจุดที่เป็นบึงน้ำใหญ่  ชาวบ้านเรียกกันว่า บึงน้อย  เป็นบึงน้ำใหญ่เนื้อที่ไม่ต่ำกว่า ๕๐ ไร่ เป็นรูปวงรี  ข้างๆ บึงน้อย มีร่องรอยของคูเมือง ยาวเป็นรูป สี่เหลี่ยม  เนื้อที่ น่าจะอยู่ราว ๒๐๐ ไร่ จัดไว้อย่างเหมาะสม ( ดูหาพิกัดจากแผนที่ทางอากาศในกูเกิล) 
 
บริเวณจุดสีเหลือง สันนิษฐานว่า อาจเป็นแนวกำแพงเมือง(ซึ่งเป็นกำแพงดินเหมือนกำแพงเมืองสมัยสุโขทัย) เป็นรูปสี่เหลี่ยม คางหมู เหนือขึ้นไปเป็นบึงน้อย และเหนือขึ้นมาเป็นคลองแม่ระกา เชื่อต่อจากบึงน้อย ไหลขึ้นเหนือ มุ่งหน้าสู่สุโขทัย (ต้องสำรวจต่อไปว่า คลองแม่ระกาไหลไปถึง สุโขทัยในช่วงใด ดูในแผนที่กูเกิล ไหลขึ้นเหนือ ไป และหายไป ในช่วงสุโขทัย  ส่วนน้ำที่ไหลมา เข้าบึงน้อย ไหลมาจากคลองลำทวน หรือ คลองบางทวน  (เนื่องจากน้ำไหลทวนขึ้นเหนือ เพราะระดับแผ่นดิน สุโขทัย ต่ำกว่ากำแพงเพชร นับสิบเมตร (จีพีเอส)
คลองบางทวน จากปากคลอง ค่ายลูกเสือ วัดหนองปลิง ไหลเข้าสู่บึงน้อย
 
คลองแม่ระกา น้ำไหลออกจากบึงน้อย
ในบึงน้อย ได้สัมภาษณ์ กำนันชูชาติ กรัดแพ (กำนันจ็อก) กำนันตำบลบ้านนาเหนือ  ถึงความเป็นมาของบึงน้อย อย่างละเอียด ได้ความว่า
    หมู่บ้านนาเหนืออพยพมาจากบ้านหนองหัววัว  เกือบร้อยปี เดิมเป็นหมู่ที่ ๕ บ้านน้ำดิบ ปัจจุบันแบ่งแยกออกเป็น  บ้านคลองห้วยทราย และบ้านนาเหนือ  ท่านเล่าต่อไปว่า ในบึงน้อย มีความมหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายเรื่อง  ตั้งแต่สมัยท่านเป็นเด็กๆ เมื่อน้ำลด พบหัวเรือ อาจเป็นเรือเรือสำเภาล่ม พบหลักฐานหลายชิ้น  เช่นเครื่องถ้วยชาม สมัยสุโขทัย และพระเครื่อง จำนวนมาก ได้นำพระเครื่องมาให้ชม เมื่อพิจารณาแล้ว มีส่วนที่จะ เป็นจริง บ้าง เพราะพระมีลักษณะพระสมัยสุโขทัย เกือบทั้งสิ้น มันเป็นไปได้อย่างมากว่า การติดต่อค้าขาย ในสมัยสุโขทัย ได้ใช้ลำน้ำ และใช้คลองลำทวน บึงน้อย คลองแม่ระกา หนองจระเข้ ติดต่อจนกระทั่งไปถึงสุโขทัย เป็นทางลัด ระหว่างเมืองสุโขทัย กับกำแพงเพชร มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว แต่บางส่วนของลำน้ำอาจตื้นเขิน เหลือใช้ไม่ได้แล้ว
   และข้อสันนิษฐานว่า กษัตริย์สุโขทัย เคยเสด็จมาบริเวณนี้  ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่าพญาลิไท กษัตริย์แห่งสุโขทัย เคยเสด็จมากำแพงเพชร หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี พุทธศักราช ๑๙๐๐ ได้ทรงนำพระบรมสารีริกธาตุ  และพระศรีมหาโพธิ์ มาประดิษฐ์ที่วัดพระบรมธาตุนครชุมนั้น เมื่อเสด็จมากำแพงเพชร ระยะต้นอาจเสด็จทางถนนพระร่วง  และเปลี่ยนมาเสด็จทางน้ำต่อ ตามคลองแม่ระกา ผ่านบึงน้อย และมาออกคลองลำทวน ตรงไปวัดพระบรมธาตุ ซึ่งอาจเป็นไปได้เช่นกัน เมื่อพระองค์เสด็จมาที่บึงน้อย อาจประทับที่บึงน้อยหลายราตรี เพราะ มีหลักฐาน ในป่า แม่ระกา พบว่า มีกองศิลาแลงคล้ายเจดีย์  มีแนวศิลาแลง เป็นอาคารจำนวนมาก บริเวณนี้  เมื่อพระองค์เสด็จมาประทับหลายเพลา อาจพบบาทบริจาริกา เป็นสตรีเมืองบึงน้อย อาจถึงขั้นสถาปนา เป็นพระสนมเอกได้เช่นกัน (ตามข้อกังขาของดร.เอที่ขอให้เราไปสำรวจถึงความเป็นไปได้ ในกรณีที่พิเศษเกินกว่าที่จะเขียนถึง)  เมื่อสำรวจไปถึงแนวกำแพงเก่า คูน้ำเก่า ตามคำบอกเล่าของผู้คน  ประกอบชมภาพถ่ายทางอากาศ แทบจะเชื่อได้เต็มที่ว่า  บริเวณบึงน้อย อาจเป็นเมืองโบราณ สำคัญเมืองหนึ่ง ที่มีหลายชื่อที่เรายังไม่สามารถค้นพบได้ 
 
กำนันชูชาติ กรัดแพ (กำนันจ็อก) กำนันตำบลบ้านนาเหนือ
 
แนวกองแลงที่พบบริเวณ เมืองโบราณ
 พระเครื่องที่พบ บริเวณ สำเภาล่ม
สำรวจแนวที่มีลักษณะคล้าย กำแพงโบราณ
ข้อสรุปในการสำรวจ     บริเวณบึงน้อย
   บึงน้อย เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญ ที่เชื่อมต่อกับ คลองลำทวน และคลองแม่ระกา น้ำไหลทวนขึ้นไป ถึงเขตสุโขทัย  จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า เมื่อคราวพญาลิไท เสด็จเมืองนครชุมเมื่อปีพุทธศักราช  ๑๙๐๐ เพื่อนำพระบรมสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ มาประดิษฐานที่เมืองนครชุม ตามจารึกหลักที่ ๓ จารึกนครชุมนั้น (เป็นตำนานประเพณีนบพระเล่นเพลง) พระองค์อาจมาประทับที่แห่งนี้ บริเวณบึงน้อย อาจสร้างตำหนักไว้เช่นกัน เพราะบริเวณนี้ มีบัวหลวงงดงามมาก ทั่วบริเวณ
   จากการสำรวจ ภูมิประเทศและภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศ พบติดกับบึงน้อยมีแนว กำแพงเมืองขอบเขตกำแพงเมืองโบราณ มีคูน้ำคันดินที่ชัดเจน อาจสันนิษฐานได้ว่า อาจเป็นเมืองบางจันทร์  ที่ยังไม่ได้สรุปว่าอยู่ที่ใด ในเขตกำแพงเพชรนี้
   จากคำบอกเล่าของกำนัน และผู้นำชมนั้น อาจสรุปได้ว่าที่บึงน้อยนี้ มีอาถรรพณ์ ค่อนข้างลึกลับ ตามแบบฉบับของเมืองโบราณกำแพงเพชรโดยทั่วไป ซึ่งหาข้อพิสูจน์ได้ยากมากเพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล และมิอาจดูแคลนว่า เป็นเรื่องเหลวไหลแต่ประการใด
   หลักฐานที่พบตาม ชัยภูมิ อาจสรุป ตามความเชื่อและหลักฐานของผู้เขียน ( อ.สันติ อภัยราช) ได้ว่า บริเวณบึงน้อย อาจเป็นเมืองโบราณสำคัญเมืองหนึ่ง คู่กับบางพาน นครชุม บางจันทร์ และเป็นเส้นทางเสด็จของพญาลิไท คราวเสด็จเมืองนครชุม ในปีพศ .๑๙๐๐ อาจประทับที่นี่หลายราตรี  หรืออาจมาอยู่ที่นี่ หลังจากสุโขทัย หมดอำนาจ อาจมามีบาทบริจาริกาที่นี่ ตามความเชื่อของดร.เอ  ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐาน ยังมิสามารถสรุปได้อย่างชัดเจน คงต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไป



หมายเหตุ
   มีพระภิกษุ ระดับเจ้าอาวาส วัดสำคัญวัดหนึ่งในกำแพงเพชร  ได้รับนิมนต์เข้าไปในเขต บึงน้อยแห่งนี้ เพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนา ท่านกลับออกมาอย่างรวดเร็ว โดยมิได้ทำพิธีใดๆ ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ท่านสัมผัสกับสิ่งที่ไม่เคยพบ เห็นและจะไม่เข้าไปรบกวน สิ่งที่สัมผัสอีกต่อไป เราจึงสนใจไปสำรวจบึงน้อย ว่าที่นี่คืออะไรกันแน่

                     สันติ อภัยราช
                     ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗
                     เวลา ๙.๐๐ น.



39  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / เค้าโครง เรื่อง พระเจ้าเสือ วีรกษัตริย์ นักพัฒนา ยอดกตัญญุตา ต่อแผ่นดิน การแสดงแ เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2023, 09:04:04 pm
เค้าโครง เรื่อง
พระเจ้าเสือ วีรกษัตริย์ นักพัฒนา ยอดกตัญญุตา ต่อแผ่นดิน
การแสดงแสงเสียง ประกอบจินตนาการ ในงานประจำปี วัดโพธิ์ประทับช้าง
 อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร
๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ เวลา ๒๐.๐๐ น.
จัดโดยองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประทับช้าง
........................

องก์ นำ   ๓ นาที
องก์ที่ ๑  ถิ่นประสูติ  พระเจ้าเสือ โพธิ์ประทับช้าง    ( ๙ นาที)
องก์ที่ ๒ กษัตริย์สร้าง วีรกรรมกู้   พระพุทธศาสนา   (๙ นาที)
องก์ที่ ๓ ปรมาจารย์  การต่อสู้   กู้นัครา (พันท้ายนรสิงห์)  (๑๙ นาที)   
องก์ที่ ๔ สร้างพัฒนา  วัดโพธิ์ประทับช้าง  กลางใจชน  ( ๙ นาที)
องก์สรุป  ๓ นาที
บทโดย อ.สันติ อภัยราช








องก์นำ    ( ๓ นาที )
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน  เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่  8  พระพุทธเจ้าเสือ หรือสมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 29 แห่งราช อาณาจักรอยุธยา พระองค์ประสูติเมื่อ พระพุทธศักราช  2204  ณ แผ่นดินแห่งวัดโพธิ์ประทับช้าง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
 องค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประทับช้างอำเภอโพธิ์ประทับช้างจังหวัดพิจิตร ภูมิใจที่นำเสนอ กฤษฎาภินิหารแห่ง สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่  8  พระพุทธเจ้าเสือ กษัตริย์ยอดกตัญญู ต่อแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ผู้รักและกตัญญูต่อบ้านโพธิ์ประทับช้างแผ่นดินเกิด เสกสร้าง วัดโพธิ์ประทับช้างที่มี สถาปัตยกรรมอันล้ำเลิศ วิจิตรการตา งดงามหาที่เปรียบมิได้ เป็นมรดกล้ำค่า ของชาวพิจิตรและประเทศไทยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ชาตินิยมมากที่สุด ทรงปกป้อง มิให้ชาติไทย เปลี่ยนพระพุทธศาสนา และ ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาวตะวันตก พระเกียรติคุณ และพระมหากรุณาธิคุณต่อแผ่นดินยังฝังแน่นอยู่ในจิตใจของคนไทยทุกคนไม่รู้ลืม
         เพื่อแสดงความคารวะ ในพระมหากษัตริยาธิราช และดวงพระวิญญาณของพระมหากษัตริย์ ที่ทรงคุณต่อแผ่นดินไทย  โปรดยืนขึ้น เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ (เพลงสรรเสริญพระบารมี)
องก์ที่ ๑
องก์ที่ ๑  ถิ่นประสูติ  พระเจ้าเสือ โพธิ์ประทับช้าง    ( ๕ นาที)
ลุศักราช ๒๒๐๔ ในแผ่นสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระนารายณ์เป็นเจ้า  เสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์ ที่เมืองพิษณุโลก  ขณะถึงตำบลโพธิ์ประทับช้าง พระพันปีหลวง พระนางกุสาวดี พระราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่  พระสนมในสมเด็จพระนารายณ์ ที่ทรงพระนางพระราชทานแด่พระเพทราชา นายกรมช้าง โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วยด้วย พระนางกุสาวดีทรงพระครรภ์แก่  ประสูติพระพุทธเจ้าเสือระหว่างต้นโพธิ์กับต้นมะเดื่อในเดือนอ้าย ปีขาล  และนำรกใส่ผอบเงินไปฝังใต้ร่มเงาต้นมะเดื่อ จึงขนานนาม พระเจ้าเสือ ว่า เจ้าเดื่อ หรือนายเดื่อ เพราะเหตุสำคัญนี้ 
พระนารายณ์   เจ้าเด็กน้อย คนนี้ มีลักษณะมหาบุรุษ จะมีบุญญาธิการหนัก เหนือผู้คนทั้งปวง  เราจักขนานนามให้ว่า เจ้าเดื่อ เพราะได้ฝังรกราก ไว้ที่โคนมะเดื่อ ที่ตำบลโพธิ์ประทับช้าง แขวงเมืองพิจิตร แห่งนี้ ขอให้นายกรมช้างพระเพทราชา และพระนางกุสาวดี ได้เลี้ยงดูให้ดี เด็กคนนี้ จะพิทักษ์พระพุทธศาสนา และราชบัลลังก์ ไว้ด้วยชีวิต ขอให้เจ้าเดื่อเติบโตเป็นหลักชัยของราชอาณาจักรอยุธยาของเราสืบไป
พระเพทราชา  ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ขอองค์สมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า ไม่ต้องปริวิตก ข้าพระพุทธเจ้า พระเพทราชาและพระพระนางกุสาวดี จะทรงเลี้ยงพระราชโอรสของพระองค์ ให้ดีที่สุด ถวายด้วยชีวิต แด่พระองค์พระพุทธเจ้าข้า และจะสั่งสอนให้เจ้าราชบุตรเมื่อเติบใหญ่ขึ้น จะต้องมีความกตัญญูต่อแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา พระพุทธเจ้าข้า
พระนางกุสาวดี  ขอพระราชทานบรมราชานุญาต กระหม่อมฉัน พระนางกุสาวดี พระราชธิดาแห่งเจ้านครเชียงใหม่ จะดูแลเจ้าเดื่อราชโอรส ไว้ให้ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่า เมื่อเติบใหญ่เจ้าเดื่อ จะดูแลบ้านเมืองราชอาณาจักรอยุธยา อย่างวิเศษ ขอพระองค์ทรงพระเจริญพระพุทธเจ้าข้า
พระนารายณ์  เมื่อท่านทั้งสอง รับปากว่าจะดูแลเจ้าราชบุตร ให้ดีที่สุด ข้าก็หมดห่วง เชื่อมั่นว่าเจ้าเดื่อเติบโตขึ้นจะเป็นที่พึ่งพาแก่อาณาประชาราษฎร์ มาเรามาเฉลิมฉลองกัน
การแสดง ๑ชุด    รำอวยพรอ่อนหวาน / รำกฤษฎาภินิหาร / รำดอกไม้เงินดอกไม้ทอง /หรือ กลองยาว ๑ชุด (๔ นาที)
องก์ที่ ๒ กษัตริย์สร้าง วีรกรรมกู้   พระพุทธศาสนา   (๙ นาที)
เมื่อนายเดื่อ เจริญวัยขึ้น พระเพทราชา  บิดาบุญธรรม นำนายเดื่อมาถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จพระนารายณ์ เป็นที่โปรดปรานและเสน่หา ของสมเด็จพระนารายณ์ยิ่งนัก ไม่ว่านายเดื่อจะทำผิดสิ่งใด ก็มิเคยได้รับพระอาญาจากพระองค์ เพราะพระนารายณ์ทรงทราบดีว่า นายเดื่อเป็นราชโอรส นอกเศวตฉัตร ของพระองค์ และเป็นธรรมเนียมกษัตริย์แต่โบราณที่พระองค์ใดจะขึ้นเป็นกษัตริย์ จะต้องมีพระมารดา เป็นคนไทย เท่านั้น พระนารายณ์พระราชทานตำแหน่งนายเดื่อมหาดเล็ก เป็นหลวงสรศักดิ์ ในฐานที่เชี่ยวชาญการใช้อาวุธทุกชนิดและคิดค้นศาสตร์สำคัญคือ แม่ไม้มวยไทย ได้อย่างเจนจบทุกกระบวนท่า เป็นที่เลื่องลือ ไปถึง เขมรลาว หลวงสรศักดิ์ระดมคนหนุ่ม สร้างกองทัพนักมวยขึ้น ที่บ้านของตน
ลุศักราช  ๒๒๓๑ สมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า พระองค์มีแต่พระราชธิดา ไม่มีราชโอรส คงมีแต่หม่อมปิยะ ราชโอรสบุญธรรม ซึ่งมีพระราชประสงค์จะให้ขึ้นครองราชย์ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์        ทำหน้าที่สมุหนายก สนับสนุน พระปิยะ ให้นับถือศาสนาหนึ่ง และให้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระนารายณ์ ซึ่งพระเพทราชา และหลวงสรศักดิ์ ไม่เห็นด้วย  ท่านทั้งสอง  ถือหลักชาตินิยม และศาสนาพุทธนิยม  อย่างมั่นคงจึงเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น
เจ้าพระยาวิชาเยนทร์  (กล่าวกับชาวต่างชาติและคนไทยที่จงรักภักดีต่อเขารวมถึงพระมหาราชครูด้วย)เราเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ สมุหนายก แห่งราชอาณาจักรอยุธยาจะต้องให้คนไทยเข้ารีต ให้ได้ ขณะนี้พระปียะราชโอรสบุญธรรม ของพระนารายณ์ ลูกศิษย์ของเรา เข้ารีตเรียบร้อยแล้ว เมื่อสิ้นบุญพระนารายณ์ พระปียะขึ้นครองราชย์ คนอยุธยาทั้งหมด จะเข้ารีตเหมือนเราและเราจักต้องสึกพระภิกษุที่เก่งกล้าสามารถออกมารับราชการให้หมด จะได้ไม่มีใครสามารถขัดขวางเราได้ ฮะฮ้าๆๆๆ
พระมหาราชครู  เราต้องนำความไปกราบทูลพระนารายณ์ ให้ทรงทราบ ถึงความนัยที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ จะนำคนไทยในกรุงศรีอยุธยาเข้ารีต พุทธศาสนาจะสิ้นไปจากอยุธยา
พระนารายณ์ (เสด็จมาที่ศาลามหาราชครูมหาราชครูเข้าเฝ้า ) ท่านมหาราชครู เรามีภารกิจสำคัญให้ท่านทำ ขณะนี้คนไทยของเรา ฝักใฝ่ ในลัทธินอกศาสนา ไม่สนใจเรียนรู้เรื่องของไทย แม้แต่ภาษาไทย เราอยากให้ท่านมหาราชครูนิพนธ์แบบเรียนภาษาไทยขึ้นสักเล่ม เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ ไม่ไปเข้ารีตกันหมดหลักสูตรและเนื้อหาแล้แต่ท่านมหาราชครูวัตถุประสงค์คือ ให้เด็กไทย เรียนรู้เรื่องของคนไทยและภาษาไทยให้แตกฉานข้าจะให้เด็กอยุธยา ทุกคนที่เรียนจบเข้ารับราชการ จะได้ไม่ต้องไปสึกพระเก่งๆมาหมด ทำได้ไหมท่านมหาราชครู
มหาราชครู  ข้าพระพุทธเจ้า จะไปกราบบังคมทูลเรื่องนี้อยู่พอดี พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงปราขญ์เปรื่องยิ่งนัก ทราบพระเนตรพระกรรณทุกเรื่อง  ข้าพระพุทธเจ้า จะแต่งหนังสือแบบเรียนภาษาไทยเรื่องหนึ่งให้กุลบุตรได้เรียน ให้ชื่อหนังสือว่า จินดามณี ที่แปลว่าแก้วสารพัดนึก พระพุทธเจ้าข้า
พระนารายณ์ ดีมากเลยท่านมหาราชครูเราหมดห่วงเรื่องการเข้ารีตของเด็กไทยไปได้อย่างหนึ่งแล้ว
เราจะเปิดสำนักเรียนจินดามณี ในราชสำนักของเรา
ในท้องพระโรง
เมื่อพระนารายณ์เสด็จออกว่าราชการ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ไปกราบบังคมทูลฟ้องว่า
เจ้าพระวิชาเยนทร์  อาญาเป็นล้นเกล้า บัดนี้หลวงสรศักดิ์ชกเอาปากข้าพระพุทธเจ้า ฟันหักไปสองซี่ ข้าพระพุทธเจ้าสิ้นสมปฤดีล้มสลบลงอยู่ ปิ้มประหนึ่งจะถึงแก่ชีวิต ข้าพระพุทธเจ้าได้ความเจ็บอายแก่ข้าราชการทั้งหลายทั้งปวงเป็นอันมาก ขอทรงพระกรุณาโปรดลงพระราชอาญาแก่หลวงสรศักดิ์จงหนัก แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจึ่งจะสิ้นความเจ็บอายพระพุทธเจ้าข้า
สมเด็จพระนารายณ์  ท่านทะเลาะวิวาทกับมันหรือประการใด ท่านสมุหนายก
เจ้าพระยาวิชาเยนทร์   ข้าพระพุทธเจ้าจะได้ทะเลาะวิวาทถุ้งเถียงกับหลวงสรศักดิ์สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นหามิได้ พระพุทธเจ้าข้า อยู่ดีๆก็ชกที่ปากข้าพระพุทธเจ้า เลยพระพุทธเจ้าข้า
สมเด็จพระนารายณ์  ตำรวจหลวง จงไปเอาตัว หลวงสรศักดิ์ มาลงโทษ นะบัดนี้ ทำอะไรตามใจตนเองไม่ได้
ที่พระนครศรีอยุธยา
เจ้าแม่วัดดุสิต ( ซึ่งเป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก เจ้าพระยาโกษาปาน แลเป็นพระนมผู้ใหญ่ของสมเด็จพระนารายณ์ พระพุทธเจ้าอยู่หัวนั้นหลวงสรศักดิ์ ถวายบังคมแล้วก็กราบทูลแถลงการอันเจ้าพระยาวิชเยนทร์กระทำให้ร้อนในพระพุทธศาสนาดั่งนั้น แลได้กราบทูลพระกรุณาแล้วก็มิได้เอาโทษ
หลวงสรศักดิ์   ข้าพเจ้ามีความโทมนัสถึงพระพุทธศาสนา อันเจ้าพระยาวิชเยนทร์จะทำให้พระพุทธศาสนาให้พินาศเสื่อมสูญดั่งนั้น จึ่งชกเอาปากเจ้าพระยาสมุหนายก แล้วก็หนีลงมา แลบัดนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ จะลงพระราชอาญาแก่ข้าพระพุทธเจ้า ขอจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม อัญเชิญเสด็จขึ้นไปขอพระราชทานโทษ ข้าพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่งเถิด ?
 ( เจ้าแม่ผู้เฒ่าได้ทรงฟังดั่งนั้นก็เห็นโทษ อันเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ทำผิด จึ่งเสด็จด้วยเรือพระที่นั่งขึ้นไปยังเมืองลพบุรี แลเสด็จถึงฉนวนน้ำประจำท่า ก็พาหลวงสรศักดิ์ขึ้นไปยังพระราชวัง แลให้ยับยั้งอยู่นอกลับแลก่อน แล้วก็เสด็จเข้าเฝ้าข้างใน    พระนารายณ์  พระมารดาเสด็จมาจากอโยธยาถึงพระนครลพบุรี ดูมีเรื่องร้อนพระทัย มีอะไรให้ลูกได้ช่วยเปลื้องทุกข์ ให้พระมารดา โปรดแสดงด้วยพระเจ้าข้า
เจ้าแม่วัดดุสิต  พระมารดา แจ้งว่า เจ้าเดื่อ มันทำผิดร้ายแรงนัก ชกปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ถึงสลบและฟันหัก ๒ ซี่  แม่จะขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่มันสักครั้ง  มันเล่าให้พระมารดาฟังว่า เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ จะนำ ศรีอโยธยา เข้ารีตฝรั่ง  และจะเป็นผู้สำเร็จราชการเองจริงหรือ พระมารดา ยึดมั่น ในบวรพระพุทธศาสนา รับไม่ได้เช่นกัน  เจ้าเดื่อ มันรักชาติและพระพุทธศาสนายิ่งชีพมันจึงกระทำการอุกอาจ พระมารดา ว่า แค่ว่ากล่าวตักเตือน น่าจะพอเพียงกับความผิด เมื่อเทียบกับความผิดของ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ทีจะให้ พวกเราเปลี่ยนพระศาสนา และสึกพระเก่งๆไปรับราชการ จำนวนมาก จนพระพุทธศาสนา เสื่อมถอย  แม่ขอเจ้า นะ
พระนารายณ์    พระพุทธเจ้าข้า สมเด็จแม่ ข้าจะเรียกเจ้าเดื่อ มาว่ากล่าวตักเตือน ข้าเองก็รักเจ้าเดื่อประดุจเลือดในอก เช่นกัน
ตั้งแต่นั้นมา หลวงสรศักดิ์ เป็นที่หวาดกลัวและเกรงใจของ กองทัพ ต่างชาติ ที่อยู่ในพระนครลพบุรีและ บรรดาข้าราชการทั้งปวง ที่ไม่พอใจ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ มาเข้ากับหลวงสรศักดิ์เป็นอันมาก
สมเด็จพระนารายณ์นั้นทรงประชวรอยู่ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์  เมืองลพบุรี  พระเพทราชา  กับ  หลวงสรศักดิ์  เห็นว่า  พระเจ้าเหนือหัวทรงมีพระอาการหนัก  ไม่ทรงหายประชวรแน่แล้ว  จึงสั่งให้ตั้งกองทหารล้อมรักษาพระราชวังอย่างกวดขัน  แล้วทำการล่อเอาตัวพระปียะ  ไปประหารชีวิตเสียแล้วทำการจับเอาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์มาไต่สวนกล่าวโทษว่า  เจ้าพระยาวิชาเยนทร์นั้นเป็นกบฏจะชิงราชสมบัติให้พระปียะ  ด้วยประสงค์จะเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเสียเอง  เมื่อสอบสวนแล้วก็ให้เอาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ไปประหารชีวิตเสียที่ทะเลชุบศร
ขณะนั้นพระเพทราชา บิดาหลวงสรศักดิ์ ได้มุ่งที่จะทำการกำจัดพวกฝรั่งเศสที่อยู่ในอาณาจักรสยาม  โดยเฉพาะทหารฝรั่งเศสที่ประจำอยู่ป้อมเมืองธนบุรีศรีสมุทร  จึงมีเหตุการณ์สู้รบกันขึ้น  ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์ที่ทรงประชวรอยู่เมืองลพบุรีนั้นสวรรคตลงเมื่อ  พ.ศ. 2231  เจ้านายฝ่ายราชวงศ์นั้นได้หมดสิ้นลงแล้ว  และเวลานั้นมีเหตุการณ์สู้รบกับทหารฝรั่งเศสอยู่  จึงทำให้ข้าราชการทั้งปวงจำต้องเชิญพระเพทราชาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาต่อมา  เป็นการเริ่มต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง  เมื่อพระเพทราชาได้ราชสมบัติ หลวงสรศักดิ์ ก็ได้รับสถาปนาเป็นมหาอุปราช มีฐานะคล้ายเป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 ของอยุธยาแต่บัดนั้น
เมื่อพระเพทราชาสวรรคตแล้ว หลวงสรศักดิ์ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็มสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่  8  หรือ  สมเด็จพระเจ้าเสือ ตั้งแต่นั้นมา
องก์ที่ ๓ ปรมาจารย์  การต่อสู้   กู้นัครา (พันท้ายนรสิงห์)  (๑๙ นาที)
   พระเจ้าเสือปลอมตัว   (ทิดเดื่อ)  เราได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือนประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ไอ้อ่อน ประชาชนเขามุงดูอะไรกันที่แม่น้ำ ไปดูซิ
   อ่อน(มหาดเล็กคู่ใจ)  เสียงเหมือนเล่นเพลงเรือ เราไปชมกัน เลยนะขอรับ พระพุทธเจ้าข้า
   ทิดเดื่อ   ไอ้อ่อน กูบอกแล้ว ไงล่ะ วันนี้เรามาฐานะเพื่อนกัน ไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดิน พูดแบบสามัญชนกับสามัญชน
   อ่อน  พระพุทธเจ้าข้า  (พระเจ้าเสือยันโครม)
ทิดเดื่อ  กูบอกว่าไง
อ่อน  จ้า ไอ้เดื่อ   เราไปชมชาวบ้านเล่นเพลงเรือกัน มึงตามกูมา
(ในลำน้ำ มีเรือ สองลำ ลำหนึ่งมีชายทั้งลำ ลำที่ ๒ เป็นหญิงทั้งลำ กำลังร้องโต้ตอบกันอย่างสนุกสนาน เสียงดังไปทั้งคุ้งน้ำ
เพลงเรือ  ชาย
เอ่อ เออ เอิง เอย ฮ้า ไฮ้ เชี้ยบ เชี้ยบ
พี่ลงเรือ ลำยาว หมายสาว กลางน้ำ       สองมือพี่ นี้กำ(ฮ้า..) ด้ามพาย (ไฮ้)
ด้ามพาย ของพี่ อันนี้ ไม่ใช่นิด             สองมือกำ ไม่มิด (ฮ้า..) ทั้งขวาซ้าย(ไฮ้)
พายก็ยาก เต็มที พี่นี้ อึดอัด                 ต้องพายงัด พายงัด (ฮ้า..) จนตาลาย(ไฮ้)
อยากชวน นวลเนื้อ มาพายเรือ ลำนี้       ลองมาใช้ พายพี่ (ฮ้า..) สักทีไหม(ไฮ้)
เรือน้อง คมขำ ก็ลำ ใหญ่โต                เชิญมาพาย เรือโชว์ (ฮ้า..) กับพี่ชาย(ไฮ้)
ช่วยกันพาย ช่วยกันจ้ำ ลอยลำ นาวา     ให้ก้าวล้ำ นำหน้า (ฮ้า..) สู่จุดหมาย(ไฮ้)
น้องจับ พี่จับ บังคับ ใบพาย                 ถึงแล้วก็ สบาย ใจเอย
(รับ) ถึงแล้วก็ สบาย ใจเอย                น้องจับ พี่จับ บังคับ ใบพาย พี่จับ พี่จับ บังคับ ใบพายถึงแล้วก็สบาย ถึงแล้วก็สบาย สบายใจเอย ฮ้า ไฮ้ เชี้ยบ เชี้ยบ

เพลงเรือ หญิง แก้
เอ่อ เออ เอิง เอย ฮ้า ไฮ้ เชี้ยบ เชี้ยบ
พายเรือ ลำน้อย ล่องลอย กลางน้ำ         แสนรำคาญ น้ำคำ(ฮ้า) ผู้ชาย (ไฮ้)
คุยนัก คุยหนา คุยว่าพาย ไม่เล็ก           โถแค่พาย เด็กเด็ก(ฮ้า) น่าอับอาย(ไฮ้)
เห็นพาย ของพี่ อันนี้นึก สงสาร             สู้พายเด็ก อนุบาล(ฮ้า) ยังไม่ได้(ไฮ้)
ด้ามโค้ง ปลายคด น่าสลด หดหู่            แถมยังสั้น จุ๊ดจู๋ (ฮ้า) ทู่ตรงปลาย(ไฮ้)
รูปพาย อย่างนี้ เห็นที พายไม่ทน           พายนิด ก็นั่งบ่น(ฮ้า) ทนไม่ไหว(ไฮ้)
จะมา ชวนน้อง ให้ลองใช้ พายพี่            ให้น้องใช้ ฟรีฟรี (ฮ้า) ไม่สนใจ(ไฮ้)
เบื่อคน คุยโว โม้กัน เกินไป                  นี่มันเป็น นิสัย ชายเอย
(รับ) นี่มันเป็น นิสัย ชายเอย             เบื่อคน คุยโว โม้กัน เกินไป คุยโว คุยโว โม้กัน เกินไปนี่มันเป็น นิสัย นี่มันเป็น นิสัย นิสัย ชายเอย ฮ้า ไฮ้ เชี้ยบ เชี้ยบ
ทิดเดื่อ  อีสาวเพลงเรือนั่นใครวะ ต้องตากูจังเลย สวยสะดุดตากูจัง อยากรู้จัก
อ่อน   ได้ยินเพื่อนๆเขาเรียกกันว่า อีนวล  มันขึ้นจากเรือแล้ว นวลๆ(ไอ้อ่อนเรียกเสียงดัง)
นวล  เสียงใครเรียกกูวะ กูว่ามันไม่ใช่คนบ้านเราว่ะ หน้าตาพิกล แต่ไอ้คนที่มากับมันสง่างาม เหมือนไม่ใช่พวกเรา ชาวบ้าน
อ่อน นวล เพื่อนข้าทิดเดื่อ อยากรู้จักเจ้า เขาชอบเจ้า หยุดคุยสักคำสองคำสิ
นวล พวกมึงมีอะไรจะคุยกับกูรึ กูไม่มีอะไรจะคุยกับพวกมึง คนต่างถิ่น
ทิดเดื่อ แม่คุณ แม่นวล ฉันชอบแม่นวล ร้องเพลงเรือเพราะจับใจฉันเหลือเกิน อยากรู้จักแม่คุณ
นวล ฉัน เป็นสาวชาวบ้าน เป็นลูกครูมวย ฉันมีคนรักแล้ว ชื่อพี่สิน คนเล่นเพลงเรือกับฉันเมื่อกี้ไงล่ะ 
      ขอบคุณพี่ทิดที่ชอบฉัน แต่ฉันชอบใครไม่ได้แล้วล่ะ
สิน  นวลมีอะไรหรือ ไอ้ทิดนี้มันทำอะไรนวล บอกพี่มา พี่จะจัดการให้
นวล ไม่มีอะไร หรอกพี่สินพี่ทิด เขาชอบฟังเพลงเรือ เขาเลยมาทักฉัน ไม่มีอะไรจริงๆ
สิน  (เดินเข้ามาหาทิดเดื่อ)  พี่ทิดมีอะไรหรือ  กับนวลมัน
ทิดเดื่อ  ข้าชื่อทิดเดื่อ มาจากพระนครศรีอยุธยา กับไอ้อ่อนเพื่อนข้า  บอกตามตรง ข้าชอบแม่เพลง
เรือนางนวล คนนี้ เจ้าชื่อสินหรือ ยกนางนวลให้ข้าได้ไหม ข้าชอบมันมาก
สิน  ได้ซิ ถ้าเจ้า ชกชนะข้า มาลองกันสักตั้ง ในวิเศษชัยชาญ ไม่มีใครรับเชิงมวยไอ้สินได้ (นวลปราดเข้ามาห้าม) นวลเองถอยไป ข้าไม่อยากให้คนต่างถิ่น มาดูถูกคนบ้านนอกอย่างเรา และข้าเชื่อมั่นว่า ในสิบหัวเมือง ไม่มีใครรับมือเชิงมวยข้าได้ ข้าเป็นศิษย์เอก ครูเมือง พ่อเองไม่ใช่หรือ ไม่ต้องกลัวข้าไม่มีทางพ่ายแพ้ ข้าต้องสั่งสอนไอ้คนสามหาวคนนี้
ทิดเดื่อ ข้าได้ยินว่า ครูมวยชื่อครูเมือง ดังไปถึงอยุธยา นี่หรือไอ้สิน ศิษย์เอกครูเมือง ดีล่ะข้าอยากสู้กับคนดีมีฝีมือมวยมานานแล้ว มาเข้ามา
ทั้งสอง ไหว้ครูอย่างงดงาม ในท่วงท่าของมวยไทย มวยเอกแห่งวิเศษชัยชาญ พบกับมวยเอกจากเมืองหลวง ผู้คนล้อมวงเข้าชมเป็นจำนวนมาก ทุกคนถือหาง เจ้าสิน มีไอ้อ่อนเท่านั้นที่ถือหางทิดเดื่อ เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น
   ทั้งสองผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ด้วยมีฝีมือไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ทิดเดื่อปล่อยหมัดเด็ดที่ปลายคางเจ้าสิน ล้มลง ครูเมืองปราดเข้าไปนับถึงแปด เจ้าสินลุกขึ้น ตะลุยเตะซ้ายขวา จนทิดเดื่อถอยกรูด ตั้งตัวไม่ทันล้มลง ครูเมืองปราดเข้าไปนับ ทันใดมีทหารหลวง ๓-๔ คนวิ่งเข้ามา ทำท่าป้องกันทิดเดื่อ
พระยาราชสงคราม (ตวาด) ถอยไปพวกมึงรู้ไหม คนที่มึงทำร้าย คือพ่ออยู่หัว ของพวกมึง พระเจ้าเสือ ไอ้พวกนี้จะต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร
ทิดเดื่อ  พวกมึงออกไป ไม่ต้องมาช่วยกู กูจะสู้กันตัวต่อตัว ให้รู้แพ้รู้ชนะ ไปออกไป
อ่อน    ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ยกโทษให้นายทหารเถิดพระเจ้าข้า เขาไม่ทราบเรื่องว่า
          พระองค์กำลังต่อสู้กับไอ้สินแบบลูกผู้ชาย มีนางนวลเป็นเดิมพัน
ทิดเดื่อ เออไม่เป็นไร หมดสนุกเลย ความแตก กูกำชับแล้ว ให้อยู่ห่างๆ ไม่ต้องมาคุ้มกันกู คนอย่างกูไม่มีใครมาทำร้ายได้ง่ายๆหรอก
พระยาราชสงคราม  ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้า ผ่านมาพบพอดี ขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่ทราบว่าพระองค์กำลังสนุก คิดว่าพระองค์ถูกรุมทำร้าย ขอพระราชทานอภัยพระพุทธเจ้าข้า
ทุกคนตะลึง เมื่อทราบว่าทิดเดื่อคือ เจ้ามหาชีวิต พระพุทธเจ้าเสือ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยา
ทั้งวงทุกคนก้มลงกราบ รวมทั้ง สิน นวล และครูเมือง ต่างตัวสั่นงันงก ไม่คิดว่า ไอ้หนุ่มที่เขา เตะจนล้มไปคือ พระเจ้าเสือ
สิน  ขอเดชะ ยกโทษให้ข้า ให้นวล ให้ครูเมือง และพวกเราชาววิเศษชัยชาญ อย่าเผาพวกเราทั้งเป็นเลย ขอรับ พวกเราไม่ทราบจริงๆว่าเป็นพระเจ้าเสือเจ้าชีวิต ของพวกเรา
ทิดเดื่อ ข้าโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้เลยหรือ เอะอะก็จะเผาทั้งเป็น ข้าไม่โหดเช่นนั้นหรอก ไอ้สิน ข้าชอบฝีมือเอง วะ ไปอยู่กับข้าไหม ข้าจะให้เป็นราชองครักษ์ติดตามข้าไปทุกแห่ง แล้วอีนวล เองจะยกให้ข้าไหม ครูเมือง ข้าขอมันกับเอง
สิน ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ไม่มีความรู้อะไรเลย นอกจากเชิงดาบและเชิงมวย ข้าพระพุทธเจ้าไม่อยากรับราชการ พระพุทธเจ้าข้า อยากเป็นชาวบ้านอย่างนี้ ตลอดไป
ครูเมือง  ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้ากระหม่อมฉันไม่ขัดข้อง เรื่อง อีนวล จะไปเป็นสนมของพระองค์ 
ทิดเดื่อ ไอ้สินมึงว่าไง จะยกอีนวลให้กูไหม กูให้พวกมึงไปตัดสินใจหนึ่งคืน พรุ่งนี้ไปหากู ที่เรือพระที่นั่งเอกชัย ท้ายเมือง วิเศษชัยชาญ
พระเจ้าเสือเสด็จจากไป อย่างรวดเร็ว
นวล (โผมาหาสิน) พี่สิน ฉันจะทำอย่างไรดี พรุ่งนี้ฉันต้องไป เป็นเมียพระเจ้าเสือแล้ว ไม่มีใครกล้าขัดพระราชโองการหรอก หรือพี่พาฉันหนีไปคืนนี้ หรือให้ฉันจะเป็นของพี่ก่อน พระเจ้าเสือพี่สินเราจะทำอย่างไรดี
(ทิดเดื่อและไอ้อ่อนแอบอยู่ข้างประตูบ้านของนวล)
สิน (เปิดเพลงน้ำตาแสงใต้)  ไม่ได้หรอกนวล พระองค์คือเจ้าชีวิตของเรา เราจะต้องซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อพระองค์ เราทำอะไรที่ผิดประเพณีไม่ได้ ข้ารักเองเพียงใด เองรักข้าเพียงใด ข้าจะไม่ยอมทำผิด ต่อพ่ออยู่หัวของเรา
นวล ฉันจะรักพี่สินตลอดไป พรุ่งนี้ ฉันจะก้มหน้า รับชะตากรรมของฉัน
เรือเอกชัยค่อยๆเคลื่อนมา เสียงร้องเห่เรือดังเข้ามาใกล้   พระเจ้าเสือประทับบนพระที่นั่งเรือเอกชัย  พร้อมไพร่พล และคนสนิท ประชาชนจำนวนมาก มาเข้าเฝ้ารับเสด็จที่ท่าน้ำ
พระเจ้าเสือ (องค์ใหม่ ) ว่าอย่างไร ครูเมือง  มึงพร้อมหรือยังที่จะให้อีนวลแต่งงาน
ครูเมือง พร้อมแล้วพระพุทธเจ้าข้า แล้วแต่พระองค์จะทรงโปรด
พระเจ้าเสือ  อีนวลเข้ามาใกล้ๆกู (นวลก้มกราบพระบาท)  ไอ้สิน เข้ามา ใกล้อีนวล กูพระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยา ขอประกาศว่า ให้ไอ้สินและอีนวล แต่งงานกัน กูขอให้มึงทั้งสองครองรักกันตราบนิรันดร์ (เจ้าเสือหลั่งน้ำพระพุทธมนต์รดศีรษะคนทั้งสอง ) และกูประกาศว่าให้ไอ้สิน รับตำแหน่ง พันท้ายนรสิงห์ คนถือท้ายเรือพระที่นั่งกูตลอดไป (ทั้งสองก้มกราบ  ปิดไฟ)
องก์ที่ ๔ สร้างพัฒนา  วัดโพธิ์ประทับช้าง  กลางใจชน  ( ๙ นาที)
พระเจ้าเสือ  (ทรงเรือพระที่นั่งเอกชัย จอดเรือหน้าเมือง มีพระมหาราชครูออกมาอ่านพระบรมราชโองการความว่า)
พระมหาราชครู (อ่านบรมราชโองการ)
            ลุศักราชได้   ๑๐๖๑   ปี เถาะ  เอกศก (พ.ศ. ๒๒๔๒) สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงพระราชดำริถึงภูมิชาติแห่งพระองค์  ซึ่งสมเด็จพระพันปีหลวง ตรัสบอกไว้แต่ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้นว่า   เมื่อศักราช  ๑๐๒๔  ปี ขาล  อัฐศก (พ.ศ. ๒๒๐๕) แต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จบรมพิตรพระนารายณ์เป็นเจ้า  เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปนมัสการพระพุทธปฏิมากรพระชินราช  พระชินสีห์   ณ  เมืองพิษณุโลก  ทรงพระกรุณาให้มีการมหรสพถวายพุทธสมโภชคำรบ   ๓  วัน   ครั้งนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศพาเอาสมเด็จพระพันปีหลวงตามเสด็จขึ้นไปด้วย  ขณะนั้นสมเด็จพระพันปีหลวงทรงพระครรภ์แก่  จึงประสูติพระองค์ที่ตำบลบ้านโพธิ์ประทับช้าง  แขวงเมืองพิจิตร  ในเดือนอ้าย  ปีขาล อัฐศก  แล้วจึงเอารกที่สหชาตินั้นใส่ลงในผอบเงิน  เอาไปฝังไว้หว่างต้นโพธิ์ประทับช้าง และต้นมะเดื่ออุทุมพร  ต่อกันนั้น  เหตุนั้นจึงได้นามกรชื่อ  มะเดื่อ   และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงพระราชดำริระลึกถึงที่ภูมิชาติ  อันพระองค์ประสูติ  ณ  แขวงหัวเมืองฝ่ายเหนือ  เป็นที่มหามงคลสถานอันประเสริฐสมควรจะสร้างขึ้นเป็นพระอาราม 
         จึงมีพระราชดำรัสสั่ง สมุหนายก ให้เกณฑ์กันขึ้นไปสร้างพระอาราม  ตำบลบ้านโพธิ์ประทับช้าง  มีพระอุโบสถ  วิหาร  มหาธาตุเจดีย์  ศาลาการเปรียญ และกุฎีสงฆ์พร้อมเสร็จ  และสร้างพระอารามนั้นสองปีเศษ  จึงจะสำเร็จ  ในปีมะเส็ง ตรีศก  จึงสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสด็จด้วยพระชลวิมานโดยกระบวนนาวาพยุห  ขึ้นไปพระอารามตำบลโพธิ์ประทับช้างนั้น และท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาท  ซึ่งขึ้นไปคอยรับเสด็จโดยสถลมารคนั้นก็เป็นอันมาก  แล้วทรงพระกรุณาให้มีการฉลอง และมีการมหรสพคำรบสามวัน  ทรงถวายไทยทานแก่พระสงฆ์เป็นอันมาก  และทรงพระราชอุทิศถวายเลขข้าพระไว้สำหรับอุปฐากพระอาราม  ๒๐๐  ครัว  และถวายพระกัลปนาขึ้นแก่พระอารามตามธรรมเนียม  แล้วทรงพระกรุณาตั้งเจ้าอธิการ  ชื่อ  พระครูธรรมรูจีราชมุนี อยู่ครองพระอาราม ถวายเครื่องสมณบริขารตามศักดิ์พระราชาคณะแล้วเสร็จ  ก็เสด็จกลับยังพระนครศรีอยุธยา จำเดิมแต่นั้นมา  พระอารามนั้นให้เรียกว่า    วัดโพธิ์ประทับช้าง
                                   “””””””””””””””””””””””
องก์สรุป  ๔ นาที แสดงความอาลัย ในหลวงรัชกาลที่ ๙
เนื่องในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสู่สวรรคาลัย เราชาวโพธิ์ประทับช้าง และชาว ไทยทุกคนขอ “กราบแทบพระยุคลบาท ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และร่วมแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช ข้าพระพุทธเจ้า…”
เพลง ฟ้าร้องไห้
แล้วพ่อก็จากลูกไป จากไปไม่เอ่ยคำลา
แม้ทำใจเอาไว้ล่วงหน้า ถึงเวลากลั้นน้ำตาไม่ไหว
เสียงครวญคร่ำไปทั่วขวานทอง
ความหม่นหมองครอบครองอยู่ทั่วไทย
แม้แต่ฟ้าก็ยังร้องไห้
เหมือนรู้ใจ คนไทยอาลัยอาวรณ์

พ่อเหนื่อยมานานนัก งานหนักไม่ค่อยได้พักผ่อน
พันยอดดอยร้อยทุ่งนาป่าดอน
พ่อห่วงหาอาทร พสกนิกรของพ่อ

นับตั้งแต่นี้ต่อไป คงไม่ได้เห็นหน้าพ่ออีกหนอ
ด้วยผลบุญพ่อก่อ เป็นสะพานทอดรอ
นำพ่อสู่สรวงสวรรค์

ขาดพ่อเหมือนเรือถ่อหัก เราจงรักสามัคคีกันไว้
ทำตามคำสอนของพ่อ ชาติไทยก็เดินต่อไปได้
พ่อคอยจับจ้องมองมา จากชั้นฟ้าสวรรคาลัย
ถ้าลูกทุกคนรักพ่อ จงสานต่อตามรอยพ่อไป
รักษาบ้านเมืองเอาไว้ รักษาบ้านเมืองเอาไว้
ให้พ่อภูมิใจว่าเป็นลูกพ่อ

นับตั้งแต่นี้ต่อไป คงไม่ได้เห็นหน้าพ่ออีกหนอ
ด้วยผลบุญพ่อก่อ เป็นสะพานทอดรอ
นำพ่อสู่สรวงสวรรค์

พ่อเหนื่อยมานานนัก งานหนักไม่ค่อยได้พักผ่อน
พันยอดดอยร้อยทุ่งนาป่าดอน
พ่อห่วงหาอาทร พสกนิกรของพ่อ

นับตั้งแต่นี้ต่อไป คงไม่ได้เห็นหน้าพ่ออีกหนอ
ด้วยผลบุญพ่อก่อ เป็นสะพานทอดรอ
นำพ่อสู่สรวงสวรรค์
“พระองค์จะสถิตอยู่ในดวงใจปวงชนตลอดไป ขอพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย ข้าพระพุทธเจ้า…”
ฟินาเร่ จบด้วย มาร์ช พิจิตร
https://www.youtube.com/watch?v=V9Zbhk3GC3E


 
 
40  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / นครพระชุมคำกลอน นครชุมยุครุ่งเรือง พุทธศักราช ๑๘๐๐ - ๒๐๐๐ ต้นกำเนิด ประเพณีการนบ เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2023, 09:01:03 pm
นครพระชุมคำกลอน
นครชุมยุครุ่งเรือง พุทธศักราช ๑๘๐๐ - ๒๐๐๐
ต้นกำเนิด ประเพณีการนบพระ เล่นเพลง
ริมฝั่งปิง   แหล่งอุดม สมบูรณ์สุข      นครใหญ่  ไร้ทุกข์  เกรียงไกรแสน
   ศักราช พันเจ็ดร้อย ไม่ขาดแคลน         เกิดเมืองใหญ่ ในดินแดน ลุ่มน้ำปิง
      นครชุม กลุ่มชน คนรักถิ่น         รวมพลัง รวมแผ่นดิน รวมทุกสิ่ง
   ตั้งบ้านเรือน ร่วมใจ ไม่ประวิง         นครชุม ใหญ่ยิ่ง จึงเกิดมา
      พระบรมธาตุ คู่เมือง รุ่งเรืองแล้ว      ดังดวงแก้ว ส่องทาง สร้างสรรหา
   สืบกษัตริย์ ครองราชย์ พัฒนา         นครชุม ล่วงมา นับร้อยปี
      พระเจดีย์ สามองค์ ทรงสง่า      พุ่มข้าวบิณฑ์ วัฒนา สง่าศรี
   จากจารึก นครชุม ริมนที            พระญาลิไทย เจ้าปฐพี ประดิษฐ์ไว้
      พันเก้าร้อย ศักราช มหาศาล      ทรงเสด็จ บันดาล ความสุขไสว
   ขบวนพยุหยาตรา แสนวิไล         สุโขทัย เชื่อมสัมพันธ์ มั่นไมตรี
      นำพระบรม สารี ริกธาตุ         พระพุทธเจ้า โอภาส เป็นศักดิ์ศรี
   ประดิษฐาน องค์ไว้ ในเจดีย์         องค์กลางมี หลักฐาน เนิ่นนานมา
      พระเจดีย์ สามองค์ ราษฎร์จงรัก      จิตประจักษ์ นครชุม  ชนหรรษา
   คนกราบไหว้ บรมธาตุ ราษฎร์บูชา         เจ็ดร้อยปี สืบมา  อย่างมั่นคง
      นำพระศรี มหาโพธิ์ พฤกษ์ศักดิ์สิทธิ์   ทรงตรัสรู้  ได้จิต  ดั่งประสงค์
   ใต้ต้นโพธิ์ จากลังกา ยังยืนยง         จึงเรียกตรง ว่านบพระ มาต่อกัน
      ประเพณี นบพระ จะวิสิทธิ์      นบพระธาตุ  สถิตย์  หฤหรรษ์
   นบพระศรี มหาโพธิ์  ทั่วถึงกัน         จึงสร้างสรรค์ นบพระ ประเพณี







เล่นเพลง
      ราษฎร ตามเสด็จ สนุกสนาน      เล่นเพลงกัน เซ็งแซ่  มีแสงสี
   สนุกสนาน ตามประสา ประชาชี         ร่วมร้องเล่น ทุกชีวี มีพลัง
      รำกลองยาว รำแม่ศรี ยังมีอยู่      อาจเชิดชู สืบต่อ มาแต่หลัง
   คล้องช้าง รำโทน เสียงก้องดัง         พวงมาลัย อาจยัง สืบต่อมา
      ชมระบำร้องแก้  ดูเหมาะสม      หนุ่มสาวชม เกี้ยวกัน ให้หรรษา
   นครชุมแสนสนุก ทุกเวลา            งามจรรยา งามจิต ชีวิตไทย
      เหล่าเด็กเด็ก เล่นสนุก สุขเหลือแสน   งูกินหาง วางแผน แสนสดใส
   มอญซ่อนผ้า หารือ จากแดนไกล         สนุกไป ตามประสา ชาวนคร
      องค์พระญาลิไทย เสด็จนบ      พระประสบ ความสำเร็จ อนุสรณ์
   นครชุม สุโขทัย เอื้ออาทร            รวมนคร เป็นหนึ่ง ให้ซึ้งใจ
      จึงสรรค์สร้าง ประเพณี  ที่ดียิ่ง      นบพระเล่นเพลงสิ่ง สว่างไสว
   สืบต่อกัน ยืนยาว อย่างก้าวไกล         หมดสมัย พ่อพระญา ยังถาวร

















นครชุมล่มสลาย จากเมืองใหญ่กลายเป็นหมู่บ้าน      
นครชุม รุ่งเรือง ประเทืองฟ้า      สืบต่อมา ยิ่งใหญ่ กว่าสิงขร
   อนิจจัง สังขาร ไม่แน่นอน            นครชุม บวร ต้องล่มไป
      ศักราช สองพัน พลันเกิดเรื่อง      น้ำปิงเฟื่อง เชี่ยวกราก เป็นเกลียวไหล
   ตลิ่งพัง กำแพงทรุด ตกน้ำไป         เกินแก้ไข  ต้องทิ้งเมือง ที่เลื่องลือ
      อนิจจัง วัดพระบรมธาตุ          ตลิ่งพัง ติดอาวาส สิ่งนับถือ
   ทิ้งวัดร้าง ห่างคน เลื่องระบือ         ทิ้งเจดีย์ มีชื่อ  อ้างว้างไกล
      ย้ายบ้านเมือง มาฝั่ง ตรงกันข้าม      สร้างกำแพง เรืองนาม แสนยิ่งใหญ่
   กำแพงเพชร ชากังราว ระบือไป         นครชุม ต้องจากใจ ของผู้คน
      ประเพณี วัฒนธรรม คงสูญหาย      ต้องกลับกลาย สืบไม่ได้ ทุกแห่งหน
   เพราะจารึก นครชุม ไม่อับจน         จึงสืบค้น จากจารึก ศึกษากัน
      สามร้อยปี นครชุม หายสาบสูญ      คนอาดูร ในจิต คิดหวาดหวั่น
   จะคืนกลับ ยิ่งใหญ่ ในวานวัน         จากเมืองนั้น เป็นหมู่บ้าน ปากคลองมา
      เคยเป็นเมือง มหา อำนาจใหญ่      กับต้องกลาย หมู่บ้านเล็ก ได้ศึกษา
   บ้านปากคลอง ดินแดนโหด ด้วยโรคา      เลื่องลือมา เล่าขาน ตำนานเมือง
      กลายเป็นป่า ดงดิบ สัตว์ร้ายซ่อน      เมืองถล่ม จมซ้อน ไม่ฟูเฟื่อง
   สิ้นตำนาน นครชุม  เมืองรุ่งเรือง         กลายเป็นป่า ดงเมือง  ไร้ผู้คน
      บ้านเรือน ผู้คน สูญสลาย         แปรเปลี่ยนกลาย ดงเศรษฐี มีในหน
   ดงเศรษฐี บ้านปากคลอง ต้องอับจน      เพราะผู้คน ทิ้งถิ่น ถวิลครวญ

   







๒.นครชุม ยุดฟื้นฟู   (๒๓๐๐-๒๔๔๙)
   สมเด็จพุฒาจารย์โต สถาปนาวัดพระบรมธาตุใหม่
กำแพงเพชร ฟูเฟื่อง เป็นเมืองใหญ่   พุฒาจารย์โต  เกรียงไกร อาคมขลัง
   เสด็จกลับ มาเผาญาติ  เรื่องโด่งดัง         นครชุม จึงมีหวัง  อีกครั้งครา
      ทรงประทับ จำวัด วัดเสด็จ      ในวิหาร ก่องเก็จ ทรงศึกษา
   ประทับนั่ง หลับเนตร วิปัสสนา         คุณวิชา  นิมิตปลวก ห่อหุ้มไว้
      ทรงพิจารณา ถ้วนถี่ ญาณวิเศษ      เมื่อทราบเลศ ซ่อนอยู่ จึงแก้ไข
   ทรงมองเห็น จารึก เลิศวิไล         อยู่กลางใจ จอมปลวก ในวันนั้น
      ให้เลกวัด ขุดค้น ไปจนพบ      จารึกใหญ่ หมดจด อย่างสร้างสรรค์
   โปรดได้อ่าน จารึก คุณอนันต์         จึงรู้เรื่อง ราวพลัน เมืองโบราณ
      ว่าเคยมี พระยามหากษัตริย์      สุโขทัย แน่ชัด มาสืบสาน
   ประดิษฐาน   บรมธาตุ กาลนาน      บูชากาล สารี ริกธาตุไว้
      สถาปนา ต้นพระศรี มหาโพธิ์      ปลูกไว้โต แผ่กิ่ง  แสนกว้างใหญ่
   จึงคิดค้น บูชา ด้วยหัวใจ            รับสั่งให้ พระยาราม ตามค้นดู
พระยาราม ตามหา บรมธาตุ      ตามจารึก พิลาศ ไม่อดสู
   จากวังแปบ ขึ้นเหนือ เพื่อเชิดชู         พระเจดีย์ ซ่อนอยู่ ในป่าไกล
      พระเจดีย์สามองค์ คงพันผูก                     ประดิษฐาน โพธิ์ปลูก เจดีย์ใหญ่
   จึงรายงาน สมเด็จโต ด้วยหัวใจ         ความพิไล ซ่อนไว้ ในดงดอน
      สมเด็จโต ดีใจ ได้ค้นพบ         ตามจารึก ประสบ อนุสรณ์
   จึงรื้อดู ค้นพบ ธาตุบวร            สำเภาเงิน จากจร เจ้าโลกีย์
      โลกุตรนาวา มาพร้อมธาตุ         พระพุทธเจ้า เหนือชาติ เป็นศักดิศรี
   เป็นความจริง ตามจารึก ในปฐพี         พระญาลิไทย เจ้าชีวี ประดิษฐ์ไว้
      ทรงฟื้นฟู วัดพระ บรมธาตุ      นิมนต์พระ นักปราชญ์ มาสร้างใส่
   สถาปนา พระบรมธาตุ ได้ดั่งใจ         พระบรมธาตุ เลิศวิไล จึงกลับมา




พญาตะก่า (แซงพอ)ขอสร้างเจดีย์ทรงมอญ ครอบเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
   ศักราช สองพัน สี่ร้อยสิบสี่    พญาตะก่า ก่อเจดีย์ สวมองค์ไว้
ขออนุญาต เมืองหลวง ด้วยดวงใจ      อนุญาต สร้างไว้ ครอบองค์เดิม
   เป็นเจดีย์ ทรงมอญ ซ่อนองค์เก่า   สวมเดิมเข้า พุทธศาสน์ มาสร้างเสริม
เจดีย์ใหญ่ มหึมา ได้ต่อเติม      ไม่ทันเสร็จ สร้างเพิ่ม แชงพอตาย
   ทิ้งร้างไว้ แสนนาน ยังไม่เสร็จ   สามสิบเจ็ด ปีต่อมา ไม่เสียหาย
พะโป้ศรัทธา สร้างต่อ จากพี่ชาย      เจดีย์ใหญ่จึงสำเร็จ นิรันดร์กาล
   พระบรมสารีริกธาตุ ยังคงอยู่        ในเจดีย์ พิศดู ปาฏิหารย์
พ่อค้าไม้ ร่ำรวย ด้วยเชี่ยวชาญ      สร้างบรมธาตุ พิสดาร ได้ดังใจ
   ทาสีเหลือง ลายปูนขาว เข้าในจิต   ศิลปะ ร่วมชีวิต คือเงื่อนไข
สร้างสำเร็จ งดงาม ตามฤทัย      พระบรมธาตุ คงไว้ ได้เหมือนเดิม
   พระพุทธเจ้าหลวง เสด็จประพาสต้น  กำแพงเพชร สืบค้น ทรงสร้างเสริม
ชมว่างาม มองในน้ำ สร้างเพิ่มเติม        เจดีย์เดิม อยู่ข้างใน ใจมั่นคง
   เพ็ญเดือนสาม ประเพณี วันมาฆะ      บุญใหญ่ละ เลิกสิ้น ดังประสงค์
ประเพณี ต่อเนื่อง ในเผ่าพงศ์         นครชุม ดำรง ประเพณี
   สืบต่อมา กว่าร้อยปี มีชีวิต     ประเพณี ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวิถี   
นบพระบรมธาตุ เหนือชีวี          เพ็ญเดือนสาม ยังมี คู่ปากคลอง   

      


   


      
      

๓.พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้น บ้านปากคลอง ( ๒๕ สิงหาคม ๒๔๔๙)
ตอนเช้าเสด็จบ้านพะโป้    
   พระพุทธเจ้าหลวง ทรงเสด็จ      ประพาสต้น สำเร็จ ดั่งประสงค์
ประพาสอย่าง ไม่เป็น การดำรง         เพียงประสงค์ เยี่ยมราษฎร์ เมืองกำแพง
ทั้งสิบวัน  ทรงประทับ กำแพงเพชร   พระเสด็จ  มีความสุข ทุกหนแห่ง
ยี่สิบห้า สิงหา ปากคลองแจง         เสด็จเมือง สำแดง บ้านปากคลอง
   เช้าเสด็จ คลองสวนหมาก บ้านพะโป้   พ่อค้าไม้ ใหญ่โต ไม่มีสอง
ขึ้นประทับ ถ่ายรูป เยี่ยมพักตร์มอง         ร่ำรวยปอง สร้างพระธาตุ องค์เจดีย์
   มีภรรยา    งดงาม นามทองย้อย      งามชดช้อย  คู่พะโป้ สมศักดิ์ศรี
เป็นลูกสาว กำนันวัน คนที่ดี         แม่เธอนี้ อำแดงไทย คนใหญ่โต
   ค้าขายไม้ ร่ำรวย อวยอำนาจ      บ้านพะโป้ ราวปราสาท แสนอักโข
ประทับบ้าน หลังใหญ่ คล้ายร่มโพ         บ้านพะโป้ เรียกขาน บ้านรอห้า
   เป็นบ้านห้าง ขนาดใหญ่   ไม่มีเทียบ   ปัจจุบัน ยังเปรียบ ได้ศึกษา
ผู้คนยัง สนใจ ทุกเวลา            มาเยี่ยมชม  บ้านรอห้า กันคึกคัก
   เสด็จกลับ มาเสวย กระยาหาร      กลางวันวาร   ที่หาดทราย ได้ประจักษ์
ประชาราษฎร์ ถวายพร ร่วมจงรัก         มหาราช ที่รัก ประชาชน
   












ตอนบ่ายเสด็จ วัดพระบรมธาตุ นครชุม
ยามตอนบ่าย เสด็จขึ้น  บรมธาตุ      ประชาราษฎร์ รับเสด็จ ทุกแห่งหน
ต่างแห่แหน จากป่าเขา ลำเนายล         บารมีล้น เข้าเฝ้า เช้าถึงเย็น
   เสด็จชม บรมธาตุ ที่ยิ่งใหญ่      งามวิไล มองในน้ำ ชมเงาเห็น
พระเจดีย์ สูงใหญ่ ทรงมอญเป็น         ทรงชื่นชม ทุกประเด็น ที่มาชม
   เสด็จโดย เรือที่นั่ง หางแมงป่อง      ลอยละล่อง วารี แสนเหมาะสม
ชมแม่ปิง คลองสวนหมาก เหมาะนิยม      กำลังใจ ระดม  ให้ปากคลอง
   เคยป่วยไข้ ได้รับ น้ำจากป่า      มีโรคา มากมาย ไม่มีสอง
จะเดินทาง ขึ้นเหนือ ตามครรลอง         ต้องผินหน้า  ไปมอง ฝั่งกำแพง
   เพราะว่ากลัว ไข้ป่า มาระบาด      ไม่เคยขาด ทรพิษ ทุกหนแห่ง
ดินแดนแห่ง ความตาย ยังแสดง         พระภูบาล ไม่ระแวง โรคภัยพาล
   องค์พระพุทธ เจ้าหลวง ยังเสด็จ      ไม่เคยกลัว คนเข็ด ในภัยผลาญ
ยังเสด็จเยี่ยมเยียน ประชาชาญ         องค์ไม่กลัว ทรงสำราญ กลางปากคลอง
   พวกเรากลัว ไปทำไม ในวันนี้       พระบารมี ปกเกล้า ไม่มีสอง
อพยพ กันกลับมา แผ่นดินทอง         บ้านปากคลอง ของเรา ไม่เศร้าแล้ว














ตอนที่ ๔ นครชุมยุคปัจจุบัน
   จากปากคลอง  เปลี่ยนนาม ตามประวัติ          นครชุม แน่ชัด ดังประสงค์
เป็นตำบล เล็กเล็ก ที่ดำรง               ประเพณีคง วัฒนธรรม ล้ำเลิศใจ
   พระเจดีย์ สีทอง มองผุดผาด         เลิศพิลาส ในจิต พิสมัย
แหล่งท่องเที่ยว    ที่สำคัญ ในเมืองไทย         คนกราบไหว้ องค์พระธาตุ ไม่ขาดตอน
   เพ็ญเดือนสาม งามนัก เป็นงานใหญ่      นบพระธาตุ เลิศวิไล อนุสรณ์
หลายร้อยปี ไหว้พระธาตุ กราบบวร         มิแคลนคลอน ศรัทธา มหาชน
   เป็นหลักใจ รวมหลักจิต ชีวิตนี้         ประชาชี นบไหว้ ไปทุกหน
เกิดนบพระ เล่นเพลง บันดาลดล            มีผู้คน มานบไหว้ ใจศรัทธา
   มหกรรมเผาข้าวหลาม เป็นงานใหญ่      คนใกล้ไกล สามัคคี ด้วยหรรษา
ทำบุญใหญ่ เผาข้าวหลาม ตระการตา         สืบต่อมา กว่าร้อยปี มีให้ชม
   พระอุโบสถ สวยสง่า ใกล้ท่าน้ำ         ยังจดจำ อุปสมบท ได้เหมาะสม
เจ้าอาวาส ราชวชิรเมธี คนนิยม            งามสง่า ปราชญ์คม นิยมกัน
   ประเพณี ห่มผ้า บรมธาตุ            ทุกสงกรานต์ มิขาด หฤหรรษ์
มีความสุข แห่แหน มานิรันดร์            สนุกสนาน ประสานวัน ประเพณี
   ธรรมจักร ซันเดย์  ช่างเก๋แสน         คนทุกแดน มาสวด ทุกแห่งที่
สวดสร้างเสริม วันอาทิตย์ บารมี            ประชาชี สงบสุข ไร้ทุกข์ทน
   พระวิหาร พิพิธภัณฑ์ พระพุทธรูป         ใกล้สถูปเจดีย์ ไม่สับสน
พระพุทธรูป ทุกปาง อวดผู้คน            ได้ศึกษา เยี่ยมยล อยู่เคียงกัน
   พระราชานุสาวรีย์ ที่ยิ่งใหญ่         องค์ลิไทย สูงสง่า อย่างสร้างสรรค์
ต้นตำนาน นบพระเล่นเพลง นิจนิรันดร์         สักการะ บูชากัน ในวันนี้







ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี”
   แหล่งค้นคว้า สง่างาม นามไพเราะ         ตั้งเหมาะเจาะ  อยู่กลาง หว่างวิถี
ห้องสมุดประชาชน เฉลิมราชกุมารี            บารมี สมเด็จพระเทพฯ ทรงประทาน
   ครบร้อยแห่ง กำแพงเพชร ได้ประจักษ์        ราษฎร์จงรัก ภักดี สร้างประสาน
ถวายของ ถวายเงิน ถวายงาน               จึงสำเร็จ เทพประทาน ราวฝันไป
   ทันสมัย สมบูรณ์แบบ ห้องสมุด         เจริญรุด ครบถ้วน อย่าสงสัย
ห้องสมุด  แหล่งเรียนรู้ คู่หัวใจ            นครชุม เมืองวิไล ได้เล่าเรียน
   ห้องคือแหล่ง ค้นคว้า มหาศาล         แหล่งสำราญ ครบถ้วน ได้อ่านเขียน
สี่จุดศูนย์ รวมแหล่ง ได้พากเพียร            กำแพงเพชร เมืองวิเชียร    ป้อมปราการ
   ประวัติศาสตร์ แหล่งเรียนรู้ เชิดชูสิ้น      ทุกท้องถิ่น จัดหา มาเรียกขาน
เป็นแหล่งรวม   ความรู้ คู่มานาน            กำแพงเพชร วิชาชาญ เป็นศูนย์ใจ
   มีมุมเด็ก มุมผู้ใหญ่  อินเตอร์เนต         หนังสือเสร็จ นับหมื่นเรื่อง ได้ผ่องใส
จึงเชิญชวน ทุกท่าน ค้นคว้าใน            ห้องสมุด แสนยิ่งใหญ่ ในวันนี้

                     สันติ อภัยราช    ประพันธ์
   



   
            


   
41  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ภาษาและวรรณกรรมจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2023, 11:27:59 am
ภาษาและวรรณกรรมจังหวัดกำแพงเพชร
    จังหวัดกำแพงเพชร มีเมืองโบราณสำคัญอยู่จำนวนมาก อาทิ เมืองไตรตรึงษ์ คณฑี เทพนคร นครชุม บางพาน โกสัมพี ดังนั้นกำแพงเพชรจึงมี ภาษาและวรรณกรรมที่หลากหลายที่ฉายให้เห็นถึงคงามเป็น อัตลักษณ์ ของกำแพงเพชรมากมาย
      ภาษา ตามรูปศัพท์หมายถึง คำพูดหรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถติดต่อสื่อสาร เข้าใจกันได้ โดยมีระเบียบของเสียงและเรื่องของคำเป็นเครื่องกำหนด รวมถึงภาษาถิ่นด้วย อาทิ ภาษาถิ่น พรานกระต่าย ภาษาถิ่นนครชุม
       วรรณกรรม หมายถึง งานเขียนที่แต่งขึ้นหรืองานศิลปะ ที่เป็นผลงานอันเกิดจากการคิด และจินตนาการ แล้วเรียบเรียง นำมาบอกเล่า บันทึก ขับร้อง หรือสื่อออกมาด้วยกลวิธีต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว จะแบ่งวรรณกรรมเป็น ๒ ประเภท คือ วรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมที่บันทึกเป็นตัวหนังสือ และวรรณกรรมมุขปาฐะ อันได้แก่วรรณกรรมที่เล่าด้วยปาก ไม่ได้จดบันทึก  อาทิ ตำนานท้าวแสนปม นวนิยายเรื่องทุ่งมหาราช จดหมายเหตุประพาสต้นพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จเมืองกำแพงเพชร รวมถึงเพลงพื้นบ้านกำแพงเพชร ค้นพบ
ด้วยเหตุนี้ ภาษาและวรรณกรรมจึงมีความหมายครอบคลุมกว้าง ถึงประวัติ นิทาน ตำนาน เรื่องเล่า ขำขัน เรื่องสั้น นวนิยาย บทเพลง คำคมตลอดจนภาษาถิ่น  เป็นต้น
ตำนาน นิทาน ในเมืองกำแพงเพชร
         ๑ ตำนานท้าวแสนปม
    ๒.ตำนานเขานางทอง
   ๓. ตำนานเมืองพลับพลา
   ๔.ตำนานบึงสาป
   ๕.ตำนานถ้ำกระต่ายทอง
                                         
 ตำนานท้าวแสนปม

นานมาแล้วมีชายผู้หนี่ง ถูกลอยแพมาติดที่เกาะขี้เหล็ก ซึ่งอยู่ใต้เมืองกำแพงเพชร ชายผู้นั้นมีรูปร่างน่าเกลียดมีปุ่มปมขึ้นเต็มตัว ชาวบ้านจึงเรียกเขาว่า แสนปม และเรียกเกาะขี้เหล็กว่า เกาะตาปม ตามชื่อแสนปม นายแสนปมทำไร่ ปลูกพริก ปลูกมะเขืออยู่ที่เกาะปมนี้ และมีมะเขือต้นหนึ่ง อยู่หน้ากระท่อมมีผลใหญ่มาก เพราะแสนปม   ปัสสวะรดทุกวัน
 
      วันหนึ่งพระราชธิดาของเจ้าเมืองไตรตรึงษ์นามว่าพระนางอุษา เสด็จประพาสที่เกาะปม ทอดพระเนตรเห็นผลมะเขือ ก็นึกอยากเสวย จึงรับสั่งให้นางสนมไปขอเจ้าของมะเขือ แสนปมจึงเก็บผลมะเขือ ที่อยู่หน้ากระท่อม ให้นางสนมไปถวาย หลังจากพระราชธิดาอุษาเสวยผลมะเขือไปไม่นานก็ทรงครรภ์ เจ้าเมืองไตรตรึงษ์ ทรงพิโรธมาก เพราะพระราชธิดาไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นพ่อ นอกจากว่าเสวยผลมะเขือ ของแสนปมเท่านั้น
          ต่อมาพระราชธิดา ทรงมีพระประสูติกาล เป็นพระราชโอรส เจริญวัยน่ารัก รูปโฉมงดงาม  เจ้าเมืองไตรตรึงษ์ ผู้เป็นพระราชบิดา ต้องการหาพ่อให้กับพระราชนัดดา จึงรับสั่งให้เสนา อำมาตย์ ป่าวประกาศให้ผู้ชายทุกคน มาเสี่ยงทายเป็นพระบิดาของพระราชโอรส ว่า ถ้าผู้ใดเป็นบิดาขอให้โอรสคลานเข้าไปหา บรรดาผู้ชายทุกคน ไม่ว่าหนุ่มแก่ชรา ยาจก เข็ญใจ เศรษฐี รวมทั้ง เจ้าต่างเมือง ต่างพากันมาเสี่ยงทาย เป็นบิดาของพระราชโอรส แต่พระราชโอรสไม่ได้คลานไปหาใครเลย แม้จะใช้ของล่อใจอย่างไรก็ตาม
          เจ้าเมืองไตรตรึงษ์ทรงแปลกพระทัย จึงให้เสนาไปตามแสนปม ซึ่งยังไม่ได้มาเสี่ยงทายในครั้งนี้ ให้มาเข้าเฝ้า เพื่อลองเสี่ยงทายเป็นบิดา เพราะทั้งเมืองเหลือแสนปมเพียงคนเดียว
          แสนปมจึงต้องมาเข้าเฝ้า พร้อมทั้งถือก้อนข้าวเย็นมาหนึ่งก้อน เมื่อมาถึงจึงอธิษฐานว่าถ้าเป็นบุตรตนเองให้รับข้าวเย็น  แล้วยื่นก้อนข้าวเย็นให้ พระราชโอรสก็คลานเข้ามาหาและรับข้าวเย็นจากแสนปม เจ้าเมืองไตรตรึงษ์จึงจำยกพระราชธิดาอุษา ให้ แก่แสนปม และพิโรธเป็นอันมากและไล่ให้กลับไปอยู่ที่เกาะปม ทั้งนางอุษาและราชนัดดา
       วันหนึ่งท้าวแสนปมไปทอดแหที่คลองขมิ้น เพื่อหาเลี้ยงเมียและลูก  แต่ทอดแหครั้งใดก็ได้แต่ขมิ้นจนเต็มลำเรือ แสนปมจึงแปลกใจมาก เมื่อกลับไปบ้านขมิ้นกลับกลายเป็นทองคำ แสนปมจึงนำทองคำไปทำเปลอู่ ให้ลูกชาย และตั้งชื่อลูกว่าอู่ทอง
          ทุกวันแสนปมจะไปถางไร่ จนกระทั่งวันหนึ่งแสนปมไปถึงไร่ก็พบว่าต้นไม้ที่ถางไว้กลับขึ้นงดงามตามเดิม แสนปมจึงถากถางใหม่ แต่วันรุ่งขึ้นก็ปรากฏเหตุการณ์ เหมือนเดิม แสนปมจึงแอบดู ก็เห็นลิงตัวหนึ่งเดินตีกลอง ออกมาจากป่า ต้นไม้ก็กลับขึ้นงอกงามเหมือนเดิม
   แสนปมจับลิงแปลง ได้ และลิงมอบกลองวิเศษให้บอกว่าเป็นกลองวิเศษเมื่อตีแล้วจะขออะไรก็ได้  แสนปม จึงตีขอให้มีรูปงาม แล้วกลับมาที่บ้านของตน ในสภาพของชายรูปงาม
    เมื่อกลับมาถึงบ้าน พระราชธิดาไม่เชื่อว่าเป็นแสนปม แสนปมจึงเล่าเรื่องให้ฟัง และทดลองตีกลองให้ดู กลับเป็นแสนปมตามเดิม พระราชธิดาจึงเชื่อ และตีกลองให้เป็นชายรูปงามอีกครั้ง   จากนั้นท้าวแสนปม จึงตีกลองเพื่อเนรมิต เมืองใหม่ ให้ชื่อว่าเมืองกรุงเทพนคร  อยู่ฝั่งตรงข้ามเมืองไตรตรึงษ์  และตั้งตัวเป็นเจ้าเมือง ผู้คนจึงเรียกขานว่าท้าวแสนปม  เมื่อท้าวแสนปม สิ้นพระชนม์  พระราชโอรส คือ เจ้าชายอู่ทอง ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ในเมืองเทพนคร ต่อจากพระราชบิดา ทรงพระนามว่า พระเจ้าอู่ทอง ต่อมาเมืองเทพนคร เกิดโรคระบาด และประกอบกับตลิ่งพังทลายตกน้ำ เนื่องจากน้ำกัดเซาะ พระเจ้าอู่ทอง จึงอพยพผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ นามว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา  เป็นพระนครหลวงพระนครศรีอยุธยาสืบมา ถึง ๔๑๗ ปี มีพระมหากษัตริย์สืบต่อมาถึง ๓๖ พระองค์
                 นิทานเรื่องท้าวแสนปม เป็นตำนานและเรื่องราวของ กำเนิดพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีเรื่องเล่าที่สืบทอด มาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่ตำบลไตรตรึงษ์ มีหลักฐานชัดเจน ตามเรื่องเล่า เช่นศาลท้าวแสนปม ที่มีผู้คนมากราบไหว้ต่อเนื่อง มานานแสนนาน มีเกาะตาปม มีมะเขือพร้าว(มะเขือใหญ่ที่สามารถเขียนเพลงยาวได้) มีเมือง  เทพนคร เมืองนครไตรตรึงษ์ เป็นหลักฐานสำคัญ ทำให้เชื่อมั่นว่า นิทานท้าวแสนปม เกิดขึ้นที่ เมืองไตรตรึงษ์และเมืองเทพนครอย่างแน่นอน
                                                                 
                                           ตำนาน เขานางทอง
     ความรักอมตะของพระร่วงเจ้า กับนางทอง เป็นเรื่องที่เล่าขาน กันอย่างแพร่หลาย มีหลายตำนาน แต่ก็มีเนื้อหาที่คล้ายกัน แตกต่างกันไม่มากนัก ตำนานหนึ่งว่า
นางทองเป็นผู้หญิงสาวชาวบ้านเมืองบางพาน (บางตำนานว่าเป็นราชธิดาแห่งเมืองบางพาน) มีรูปโฉมที่งดงามมาก พญานาคราชหลงรักนาง จึงกลืนเข้าไปในท้องเพื่อนำไปเป็นชายา ในเมืองบาดาล พระร่วงเจ้าแห่งอาณาจักรสุโขทัยได้พบเห็นจึงได้เข้าช่วยโดยใช้อิทธิฤทธิ์ของตน ล้วงนางทองออกมาจากท้องของพญานาค เนื่องจากนางทองเป็นคนที่มีสิริโฉมงดงามจึงเป็นที่สบพระทัยของพระร่วง ต่อมาจึงได้อภิเษกเป็นพระมเหสี สร้างตำหนักให้พักอาศัยบนเขานางทอง และยังได้นางคำ(นางพัน)หญิงชาวบ้านอีกคนหนึ่งเป็นพระสนมเอก สร้างตำหนักให้พักอาศัย บนเขานางคำ (นางพันก็เรียก)
 อยู่มาวันหนึ่งพระร่วงได้เสด็จกลับ กรุงสุโขทัย พระมเหสีทองซึ่งเป็นคนที่มีความมานะอดทนขยันหมั่นเพียรในการทอผ้าด้วยกี่ทอผ้า ได้ไปซักผ้าอ้อมที่สระน้ำซึ่งพระร่วงได้สร้างพระตำหนักแพหน้าพระราชวังในคลองใหญ่ไว้เป็นที่พักผ่อนพระอิริยาบถและซักผ้า ในวันนั้นขณะที่ซักผ้าอ้อมเสร็จและจะนำไปตาก (บริเวณที่ตากผ้าอ้อมนั้น ไม่มีต้นไม้ขึ้นเลย จะโล่งเตียนไปหมด เพราะ พระร่วงสาปไว้สำหรับตากผ้าอ้อม) ระหว่างที่ตากผ้าอ้อมพระมเหสีทองก็กลัวว่าผ้าอ้อมจะไม่แห้งจึงทรงอุทานขึ้นเป็นทำนองบทเพลงเก่าว่า "ตะวันเอยอย่ารีบจร นกเอยอย่ารีบนอน หักไม้ค้ำตะวันไว้ก่อน กลัวผ้าอ้อมเนื้ออ่อนจะไม่แห้ง”  ปรากฏว่าตะวัน หรือดวงอาทิตย์ไม่ยอมเคลื่อน จนกระทั่งผ้าอ้อมแห้ง จึงได้โคจรต่อไป
 ที่ คลองใหญ่หน้าพระราชวังเมืองบางพานนั้น มีจระเข้ขนาดใหญ่อาศัยอยู่  จรเข้ยักษ์ หลงรักนางทองมาก ขณะนางทองอาบน้ำจึงขึ้นมาคาบพระมเหสีทองไป เพื่อเอาไปเป็นชายา แต่ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระร่วงกลับจากสุโขทัยพอดี พอกลับมาพระร่วงไม่เห็นนางทองจึงถามพวกนก พวกกวาง ว่าพระมเหสีทองหายไปไหน พวกสัตว์ต่างๆ ก็บอกว่าพระมเหสีทองได้ถูกจระเข้คาบไปแล้ว พระร่วงได้ยินดังนั้นก็รีบตามไปทันที พระร่วงเดินทางไปทางไหนต้องการให้เป็นทางเดินก็ปรากฏเป็นทางเดิน ทางเกวียนตลอดทาง พระร่วงได้เดินทางผ่านนาป่าแดง คลองวัว และได้ขอน้ำกินแถวๆ หมู่บ้าน (หมู่บ้านนาป่าแดงปัจจุบัน) พระร่วงพูดว่า "ข้าหิวน้ำจังเลย ขอน้ำกินหน่อยได้ไหม" คนในหมู่บ้านไม่ให้กินจึงพูดว่า "น้ำข้าไม่มี" พระร่วงเป็นคนที่วาจาศักดิ์สิทธิ์  พระร่วงจึงพูดว่า "เออ อย่างนั้นพวกมึงก็ไม่ต้องมีน้ำกินตลอดไป" จนป่านนี้นาป่าแดงจึงไม่ค่อยมีน้ำกินน้ำใช้กัน ตามความเชื่อของคนในปัจจุบัน
           พระร่วงได้ตามจระเข้ที่คาบพระมเหสีทองทันที่คลองทองแดง บริเวณจระเข้ปูน ในปัจจุบัน จระเข้ยักษ์เห็นจวนตัวจระเข้จึงกลืนนางทองลงในท้อง  พระร่วงจึงสาปจระเข้ให้เป็นหินอยู่ตรงนั้นมาถึงทุกวันนี้ ประชาชนเรียกขานบ้านนี้ว่า บ้านจระเข้ปูน
                                     
                                                                 ตำนานเมืองพลับพลา

…..บริเวณริมถนนพระร่วง…ถัดจากจระเข้ปูนมาเล็กน้อย..ชาวบ้านแถบนั้นทำไร่มันสำปะหลัง แต่มีบริเวณหนึ่งประมาณ ๓ ไร่เศษ ชาวไร่ เล่าว่า ไม่สามารถนำรถไถไปไถได้ เพราะเครื่องจะดับ…. เมื่อเรา..เข้าไปใกล้ พบบ่อน้ำโบราณจำนวนมาก ที่ก่อด้วยศิลาแลง วางผังของบ่อน้ำไว้ เป็นแนวสี่เหลี่ยม มีบ่อน้ำทำมุมกับวัดเก่า ซึ่งไม่มีชื่อ อยู่กลาง มีลักษณะเป็นวัดร้าง ที่ถูกขุดทำลายโดยสิ้นเชิง เจดีย์หรือเฉพาะฐาน วิหาร…โบสถ์ ถูกขุดอย่างยับเยิน….. แต่แนวกำแพงแก้วยังเห็นได้ชัด เมืองที่เราเห็นนี้ ห่างจากริมถนนพระร่วง…เพียงเล็กน้อย คุณสรพงศ์ พรหมาตร์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองปลิง….ได้ค้นพบเมืองโบราณริมถนนพระร่วง โดยเฉพาะ คุณสมเด็จ สนจุ้ย สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองปลิง …ผู้บุกเบิกที่บริเวณนี้ทำไร่มากว่า ๓๐ ปี
……….จากหนังสือเที่ยวเมืองพระร่วง….ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๐พระองค์ เสด็จมาที่เมืองกำแพงเพชร บันทึกถึงบริเวณ นี้ว่า …
………ที่ริมที่พักร้อน มีที่อันหนึ่งเรียกว่าเมืองพลับพลา …..ราษฎรแถบนี้เล่าเรื่องว่า ในกาลครั้งหนึ่งมีผู้เดินทางไปตามถนนพระร่วง พบตาผ้าขาว ….อยากเข้าเฝ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช เมืองกำแพงเพชร มีข่าวจะกราบทูล ตาผ้าขาวบอกว่าให้สร้างเทวรูป พระเป็นเจ้าทั้งสาม คือพระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ….ไว้….จากจารึกฐานพระอิศวร ย่อมปรากฏหลักฐานชัดเจน…


                                                                      ตำนานบึงสาป
บ่อน้ำพุร้อนพระร่วง หรือ บึงสาป มีลักษณะเป็นลุ่มน้ำขัง มีป่าโปร่งล้อมรอบสลับด้วยเนินเตี้ยๆ พื้นดินบางแห่งมีหินโผล่ขึ้นเป็นกลุ่มน้อยใหญ่สลับกันไป ตำนานเล่าว่าครั้งสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จประพาสป่าล่าสัตว์มาถึงบริเวณบ้านลานหิน และเสด็จฯไปประทับที่บริเวณนั้น
 
            วันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นไก่ป่าตัวหนึ่งมีลักษณะสวยงาม และมีเสียงขันไพเราะมาก จึงทรงให้นายพรานที่ตามเสด็จฯ ต่อไก่ป่าตัวนั้นและได้ไก่ป่าสมพระราชประสงค์ โดยมีไก่ป่าตัวอื่น ๆ ติดไปด้วยเป็นจำนวนมาก ในวันนั้นพระองค์และนายพรานล่าสัตว์อื่นไม่ได้เลย จึงทรงให้ทหารนำไก่ป่าตัวอื่น ๆ ไปปรุงอาหารสำหรับเสวย แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นป่า ไม่มีบ้านเรือนราษฎร จึงไม่มีไฟใช้ทำอาหาร พระองค์จึงทรงสาปน้ำที่อยู่ในบึงบริเวณใกล้ ๆ ให้เป็นน้ำร้อน บึงดังกล่าวจึงเรียกว่า บึงพระร่วงสาป ต่อมาภายหลังเรียกสั้นลงว่า บึงสาป และเป็นที่โจษจันกันว่าน้ำในบึงสาปนี้สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เช่น โรคปวดตามร่างกาย โรคผิวหนังได้ จึงมีประชาชนในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียงพากันไปอาบ ดื่ม กิน และบางรายนำน้ำกลับไปเพื่อเป็นสิริมงคล
            บ่อน้ำพุร้อนพระร่วง หรือบึงสาปแห่งนี้ เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดกำแพงเพชรนำน้ำจากบึงนี้ไปประกอบพิธีสำคัญของบ้านเมืองตลอดมาเช่นในพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เนื่องจากบ่อน้ำพุร้อนพระร่วง เป็นน้ำที่เกิดจาก แร่ธาตุและความร้อนภายในโลก ทำให้น้ำพุร้อนผุดขึ้นมาตลอดเวลา ซึ่งตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ น้ำแร่ธาตุนี้สามารถรักษาโรคได้หลายชนิด โดยเฉพาะโรคผิวหนัง บ่อน้ำพุร้อนพระร่วง อยู่ที่หมู่ ๓ ตำบลลานดอกไม้ อำเภอเมืองจังหวัดกำแพงเพชร ห่างจากตัวเมือง ๑๓ กิโลเมตร บนทางหลวง ๑๐๑ สายกำแพงเพชร พรานกระต่าย แยกทางซ้ายไปประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เป็นน้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จำนวน ๕ จุด อุณหภูมิประมาณ ๔๐-๖๕ องศาเซลเซียส จากการตรวจสอบของกระทรวงสาธารณสุขปรากฏว่าไม่มีสารปนเปื้อนและเชื้อโรคอันตรายเกินมาตรฐาน
            องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร ได้พัฒนาบึงสาปให้เป็นบ่อน้ำพุร้อนพระร่วง ที่สามารถรับนักท่องเที่ยวได้จำนวนมาก โดยจัดทำให้สถานที่รื่นรมย์มากขึ้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ให้ประชาชนที่มาใช้บริการ เมื่อเข้าไปจะพบกับบ่อน้ำร้อนและบ่อน้ำเย็นที่ปรับภูมิทัศน์จนงดงาม บ่อน้ำอุ่นแช่เท้า น่าสนใจมาก ทำให้สบายมากขึ้น มีประชาชนมาใช้บริการมากมาย น้ำกำลังอุ่นพอดี..... สถานที่อาบน้ำอุ่นราคาย่อมเยาเป็นส่วนตัว ช่วยบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ให้หายได้อย่างทันตาเห็น จากคำบอกเล่าของท่านผู้มาใช้บริการ นอกจากบริการของบ่อน้ำร้อนแล้ว ยังมีบริการนวดแผนโบราณ ที่ประทับใจยิ่ง
            บ่อน้ำพุร้อนพระร่วง เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่น่าสนใจมากแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร ถ้าท่านว่างจากภารกิจ อยากจะพักผ่อนให้คลายจากความเครียดโปรดมาใช้บริการ จากบ่อน้ำพุร้อนพระร่วงแล้วท่านจะประทับใจกลับไปอย่างมีความสุข

ตำนานถ้ำกระต่ายทอง
      พรานกระต่ายเป็นชื่ออำเภอหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร  เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ภาคเหนือของจังหวัด  มีฐานะเป็นอำเภอมาตั้งแต่สมัยรัชการที่  ๙  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยได้รับจัดตั้งขึ้นเป็นอำเภอเมื่อปี ๒๔๓๘  เป็นส่วนหนึ่งในการปกครองของจังหวัดกำแพงเพชรมีมณฑลนครเป็นหน่วยปกครองส่วนภูมิภาคอีกชั้นหนึ่ง  ชื่ออำเภอพรานกระต่าย  มีประวัติความเป็นมาเป็นตำนานเล่าขนานกันมาหลายชั่วคนดังนี้
 
      ประมาณปี พ.ศ. ๑๔๒๐ พรานกระต่ายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองพานมีมหาพุทธสาครเป็นกษัตริย์  ตัวเมืองตั้งอยู่ห่างจากอำเภอปัจจุบันทางทิศใต้ประมาณ  ๑๕  กิโลเมตร  เมืองพานนั้นเจริญรุ่งเรืองมา  เพราะตั้งอยู่ในในที่ราบลำน้ำใหญ่ไหลผ่านจากกำแพงเพชรไปสู่ที่จังหวัดสุโขทัย  จึงเป็นเส้นทางคมนาคมเมืองใหญ่และเป็นแหล่งนี้อันอุดมสมบูรณ์  บ้านเรือนเรียงขนานแน่นสองฝั่งคลอง  ปัจจุบันมีเมืองเก่าแก่ทรุดโทรมอยู่ในป่ารกเป็นคันเมือง  คูเมือง (วัดเก่าหลายแห่ง)  หมู่บ้านในอดีตยังเป็นหมู่บ้านในปัจจุบันอยู่บ้าง  เช่น  วัดโคก  บ้านวังไม้พาน  และบ้านจำปีจำปา  เป็นต้น  สัญลักษณ์แห่งความเจริญสูงสุดก็คือการสร้างรอยพระพุทธบาทจำลองสัมฤทธิ์ไว้ที่วัดนางทองบนเขานางทองใกล้เมืองพาน ชื่อนางทอง  เป็นชื่อของพระมเหสีพระร่วง  มีถนนจากสุโขทัยผ่านอำเภอพรานกระต่ายไปถึงจังหวัดกำแพงเพชร  เรียกว่า  ถนนพระร่วง
      กล่าวกันว่าในปี พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ  พระร่วงครองสุโขทัย  ทรงมีนโยบายที่จะขยายอาณาเขตให้กว้างขวางและมั่นคง  จึงดำริที่จะสร้างเมืองหน้าด่านขึ้นทุกทิศซึ่งได้รับสั่งให้นายพรานผู้ชำนาญเดินป่าออกสำรวจเส้นทางและชัยภูมิที่มีลักษณะดี  กลุ่มนายพรานจึงได้กระจายกันออกสำรวจเส้นทางต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงบริเวณแห่งนี้ได้พบกระต่ายป่าขนสีเหลืองเปล่งปลั่งด้วยทองสวยงามมาก  นายพรานจึงกราบถวายบังคมทูลขอราชอนุญาตจากพระร่วงเจ้าไปติดตามจับกระต่ายขนสีทองตัวนี้มาถวายเป็นราชบรรณาการถวายแด่พระมเหสีพระร่วง  นายพรานจึงกลับไปติดตามกระต่ายป่าตัวสำคัญ ณ บริเวณที่เดิมที่พบกระต่ายได้ใช้ความพยายามดักจับหลายครั้ง  แต่กระต่ายตัวนั้นก็สามารถหลบหนีไปได้ทุกครั้ง  นายพรานมีความมุมานะที่จะจับให้ได้จึงไปชักชวนเพื่อนฝูงนายพรานด้วยกันมาช่วยกันจับแต่ยังไม่ได้จึงอพยพลูกหลานพี่น้อง  และกลุ่มเพื่อนฝูงต่าง ๆ มาสร้างบ้านถาวรขึ้นเพื่อผลที่จะจับกระต่ายขนสีทองให้ได้  กระต่ายก็หลบหนีเข้าไปในถ้ำ  ซึ่งหน้าถ้ำมีขนาดเล็กนายพรานเข้าไปไม่ได้แม้พยายามหาทางเข้าเท่าไรก็ไม่พบจึงได้ตั้งหมู่บ้านขึ้นหน้าถ้ำเพื่อเฝ้าคอยจับกระต่ายขนสีทอง  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  ซึ่งต่อมาหมู่บ้านได้ขยายตัวเป็นชุมชนขนาดใหญ่จึงได้เรียกชุมชนนั้นว่า บ้านพรานกระต่าย  และเป็นชื่ออำเภอในเวลาต่อมา
      ในปัจจุบันถ้ำที่กระต่ายขนสีทองหนีเข้าไปซึ่งชาวบ้านเรียกว่าถ้ำกระต่ายทอง  ได้รับการบูรณะใหม่เพื่อทำให้เป็นสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่นและประชาชนก็เห็นความสำคัญของสถานที่นี้จึงได้ช่วยกันดูแลรักษาตกแต่งบริเวณให้สะอาดเพื่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญสำหรับหมู่บ้านสมกับเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญอำเภอพรานกระต่ายที่ว่า
            เอกลักษณ์ภาษาถิ่น        หินอ่อนเมืองพาน
            ตำนานกระต่ายทอง      เห็นโคนดองรสดี

วรรณกรรมจังหวัดกำแพงเพชร
                                  ๑.นวนิยายเรื่องทุ่งมหาราช
การบันทึกเหตุการณ์ประจำยุคสมัย ประวัติของบ้านเมือง และตำบลถิ่นเกิดของตนเอง เพื่อถ่ายทอดให้อนุชนรุ่นหลังได้รับทราบ ถือเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่สำคัญยิ่ง เฉกเช่น  ครูมาลัย  ชูพินิจ ได้ประพันธ์นวนิยายเรื่อง “ทุ่งมหาราช” เพื่อบันทึกเหตุการณ์ภาพชีวิตของผู้คนในตำบลคลองสวนหมากเมื่อครั้งอดีต ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นตำบลนครชุม นวนิยายเรื่องนี้จึงมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาวนครชุม ชาวกำแพงเพชร และคนไทยผู้รักการอ่านทุกคน
ครูมาลัย  ชูพินิจ  เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๔๙ เป็นบุตรนายสอน นางระเบียบ  ชูพินิจ พ่อค้าไม้และกำนันตำบลคลองสวนหมาก ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวกำแพงเพชรโดยกำเนิดและเป็นนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ผู้มีอัจฉริยะภาพในวงการประพันธ์และหนังสือพิมพ์ ท่านได้สร้างสรรค์ผลงานเอาไว้ในโลกแห่งบรรณพิภพอันเป็นอมตะ  ทั้งผลงานใน
 

วงการหนังสือพิมพ์และวงการประพันธ์ มีทั้งนวนิยาย  เรื่องสั้น  บทความ บทนำ เรื่องแปล ฯลฯ อย่างหลากหลาย จนได้รับการยอมรับจากนักประพันธ์และนักอ่านยกย่องให้ มาลัย  ชูพินิจ เป็นครู ผู้ให้ความรู้ ความคิดอิสระ และบันเทิงใจแก่ทุกคน
บทประพันธ์อันเป็นที่ประทับใจของนักอ่านมาทุกยุคทุกสมัยคือนวนิยาย “ทุ่งมหาราช” ซึ่งครูมาลัย  ชูพินิจ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ในท้องถิ่นจังหวัดกำแพงเพชรเอาไว้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ถือเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่าและเป็นอมตะตลอดมา จนได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา  และยังเป็นผลงานที่ถูกจัดให้อยู่ในหนังสือดี ๑๐๐ เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน
   “ทุ่งมหาราช”  เป็นนวนิยายที่แต่งขึ้นมาจากความทรงจำรำลึก เพื่อสะท้อนภาพแห่งอดีตอันประทับใจและสำนึกในบุญคุณของแผ่นดินถิ่นเกิดของครูมาลัย  ชูพินิจ นักเขียนปากกาทอง ฝีมือชั้นครู ซึ่งได้บันทึกภาพเหตุการณ์บ้านเมือง และหมู่บ้านคลองสวนหมากตั้งแต่ครั้งยังมีบ้านเรือนไม่กี่หลังจนกลายมาเป็นชุมชนและตำบลนครชุมเอาไว้ด้วยภาษาอันงดงาม ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพของบ้านเมืองในอดีตเมื่อร้อยปีที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจนและท้าทายให้เข้าไปศึกษา ค้นหาร่องรอยความนัยแห่งประวัติศาสตร์ตามที่ถูกบันทึกเอาไว้ในเนื้อเรื่อง
เรื่องย่อ “ทุ่งมหาราช”
   รื่น ลูกทิดรุ่ง เป็นคนวังแขม อาชีพเดิมเป็นพ่อค้าเรือเร่ มาพบรักกับ สุดใจ หลานป้าแคล้ว สาวงามชาวคลองสวนหมากในวงรำแม่ศรีช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ลานวัดพระบรมธาตุ โดยมีจำปาเพื่อนสาวลูกพี่ลูกน้องของสุดใจเป็นแม่สื่อแม่ชัก ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อสุดใจและความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินคลองสวนหมาก รื่นจึงขอแต่งงานกับสุดใจและร่วมกันสร้างชีวิต สร้างครอบครัวและชุมชนคลองสวนหมากให้เจริญเติบโตในผืนดินที่เหมาะสำหรับจะอยู่กินและยึดเป็นเรือนตาย
   ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้รื่นจึงหันมาเริ่มต้นเป็นพ่อค้าไม้ ล่องแพซุงด้วยทุนของตัวเองแข่งกับพ่อค้าไม้รายใหญ่อย่างนายเสถียรและละเมียดสองสามีภรรยานายทุนผู้มาจากแดนไกล ในบางครั้งธุรกิจการค้าไม้ของรื่นต้องประสบกับปัญหานานาประการ โดยนายเสถียรได้ทุ่มเงินซื้อไม้ตัดหน้าจากชาวบ้านโดยให้ราคาดีกว่ารื่นหลายเท่า แต่ด้วยความเป็นคนมีน้ำใจและจริงใจกับทุกคนตลอดสองฝั่งปิง รื่นจึงได้รับการช่วยเหลือและผ่านเหตุร้ายในชีวิตมาได้
   ชีวิตของรื่นต้องเข้าไปพัวพันกับละเมียดโดยเข้าไปช่วยละเมียดซึ่งถูกโจรปล้นที่ลานดอกไม้ ทำให้ละเมียดประทับใจในน้ำใจไมตรีของรื่น ต่อมาทั้งสองมีโอกาสร่วมเดินทางมาเรือกำปั่นท้องแบนระหัดข้างจักรท้ายลำแรกของบริษัทป่าไม้ฝรั่งที่เข้ามาทดลองวิ่งเป็นครั้งแรกจากปากน้ำโพถึงจังหวัดตาก แต่เรือประสบอุบัติเหตุล่มลงก่อนถึงขาณุ ทำให้รื่นและละเมียดต้องไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองต่อสองบนเกาะกลางลำน้ำปิง
   นอกจากจะต้องต่อสู้กับนายทุนที่หวังจะฮุบกิจการการทำไม้แล้ว ชีวิตของรื่นและสุดใจยังต้องประสบกับเคราะห์หามยามร้ายเมื่อครอบครัวต้องเสียบุตรชายคนโตและชาวบ้านไปกับโรคฝีดาษซึ่งระบาดคร่าชีวิตชาวบ้านคลองสวนหมากไปเกือบหมดหมู่บ้าน รื่นจึงต้องแสดงถึงความเป็นผู้นำที่เด็ดขาดด้วยการให้ชาวบ้านเผาบ้านทิ้งแล้วอพยพไปทำนาที่วังกระทะ
   เจ้าเมืองกำแพงเพชรทราบข่าวจึงพาคณะมาเยี่ยมเยียนรื่นและชาวบ้านและบอกข่าวสำคัญว่าทางการกำลังจะยกฐานะของคลองสวนหมากให้เป็นตำบล จึงอยากให้รื่นเป็นผู้นำชาวบ้านกลับเข้าไปสร้างบ้านเรือนเพื่อฟื้นชีวิตของชุมชนคลองสวนหมากให้กลับคืนมา และเพื่อเตรียมการรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวงที่จะเสด็จกำแพงเพชรและคลองสวนหมาก ซึ่งการเสด็จประพาสต้นในครั้งนั้นคือมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ชุบชีวิตของรื่นและชาวคลองสวนหมากที่กำลังจะดับมิดับแหล่ ให้ลุกโชนสว่างสดใส ทำให้ทุกคนมีกำลังใจในการสร้างคลองสวนหมากให้เป็นตำบลโดยมีรื่นเป็นกำนัน
   เมื่อเหตุร้ายผ่านพ้นไป รื่นเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการค้าไม้ที่รุ่งเรืองอีกครั้ง การกลับมาทำการค้าไม้ในครั้งนี้ของรื่นทำให้ได้รู้จักพะโป้ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการค้าไม้ และได้พบกับละเมียดซึ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดการบริษัทแทนนายเสถียรโดยมีหลวงราชบริพารนายอำเภอเป็นผู้หนุนหลังให้เข้ามาเป็นเจ้าของสัมปทานป่าไม้ที่โป่งน้ำร้อน
รื่นต้องต่อสู้กับปัญหาสัมปทานป่าไม้ที่โป่งน้ำร้อน สู้เพื่อสิทธิ์อันเป็นประเพณีของชาวบ้านที่ทำมาหากินกับป่าโป่งน้ำร้อนและคลองสวนหมากมาอย่างอิสระตลอดชีวิต ผลจากการต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวของรื่นโดยไม่มีฝ่ายใดต้องสูญเสียชีวิตทำให้พะโป้ บริษัทของละเมียดและผู้ว่าราชการจังหวัด ยินยอมให้ป่าโป่งน้ำร้อนเป็นป่าสาธารณะสำหรับชาวคลองสวนหมากที่เต็มไปด้วยป่าไม้ ข้าว ไต้ น้ำมันยาง สีเสียด ยาสูบ และหนังสัตว์ สำหรับใช้ทำมาหากินตามวิถีชีวิตที่อิงแอบอยู่กับธรรมชาติอย่างอุดมสมบูรณ์ไปตลอดชีวิต
ย้อนยลความนัยแห่งประวัติศาสตร์   
   แม้ “ทุ่งมหาราช”  จะมิใช่บันทึกประวัติศาสตร์แต่ก็มีความนัยทางประวัติศาสตร์  ซึ่งครูมาลัย  ชูพินิจ ได้บันทึกเหตุการณ์เอาไว้อย่างแยบยล และเป็นจริงตามเรื่องราวของประวัติศาสตร์อย่างไม่มีผิดเพี้ยนแต่อย่างใด
หากสืบเสาะ ค้นคว้าเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ตามฉาก ตามภาพเหตุการณ์ และบุคคลที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง “ทุ่งมหาราช”  จะทำให้พบข้อเท็จจริงแห่งประวัติศาสตร์ของเมืองกำแพงเพชรอย่างมากมาย ดังตัวอย่างจากเนื้อเรื่องบางตอน
สภาพของชุมชนคลองสวนหมากเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๔๓ ซึ่งครูมาลัย  ชูพินิจ ได้บรรยายเอาไว้ว่า
“ เมื่อ ๖๐ ปีก่อน นครชุมยังเป็นคลองสวนหมาก พร้อมด้วยเหย้าเรือนฝาขัดแตะและมุงแฝกไม่กี่สิบหลังคาเรือน และบ้านไร่เพิ่งมีพวกเวียงจันทน์อพยพมาอยู่ไม่กี่ครอบครัว ป่ามะพร้าวยังโหรงเหรง เนินกำแพงเมืองเก่าชั้นนอกยังไม่ถูกทำลายลงมาถมถนน และดงเศรษฐี ยังทิ้งซากของนครร้างเอาไว้เป็นอนุสรณ์แก่คนรุ่นหลัง..” ( ทุ่งมหาราช หน้า ๓ )
นครชุมในสมัยรัตนโกสินทร์ไม่มีชื่อเป็นที่รู้จัก ผู้คนทั่วไปคงเรียกบริเวณที่ตั้งบ้านเรือนของราษฎรบริเวณนี้ว่า “ปากคลองสวนหมาก” เพราะมีคลองสวนหมากไหลมาออกแม่น้ำปิง ราษฎรส่วนใหญ่เป็นชาวลาวอพยพมาจากเวียงจันทน์ ที่มารู้จักว่าชื่อ นครชุม มามีในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ศึกษาศิลาจารึกหลักที่ ๓ ที่นำไปเก็บไว้ที่วัดเสด็จ ตำบลในเมือง และได้ทรงทราบว่าย้ายมาจากบริเวณวัดพระบรมธาตุที่ปากคลองสวนหมาก จึงเสด็จไปตรวจดูพบฐานที่ตั้งของศิลาจารึกจึงเรียกบริเวณนั้นว่า “เมืองนครชุม”
ตำบลคลองสวนหมากเปลี่ยนมาเป็นตำบลนครชุมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒  ตาม พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนนามอำเภอ กิ่งอำเภอ และตำบลบางแห่งพุทธศักราช ๒๔๘๒ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ตราไว้ ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๒ เพื่อประโยชน์และความสะดวกแก่ประชาชนและราชการ กับเพื่อรักษาไว้ซึ่งประวัติศาสตร์แห่งท้องถิ่น" จึงได้เปลี่ยนชื่อจากตำบลคลองสวนหมากมาใช้ชื่อเป็น ตำบลนครชุม
   การทำไม้และบรรยากาศของการล่องแพซุงในแม่น้ำปิงคงไม่มีคำบรรยายใดที่ฉายภาพได้  ชัดเจนเท่ากับคำบรรยายของครูมาลัย  ชูพินิจ ซึ่งได้ประพันธ์เอาไว้ในนวนิยายเรื่องทุ่งมหาราช
“ ฉันยังจำได้ดีทุกอย่าง แม่เฒ่าคิด จำได้แน่ เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน มะม่วงสายทองต้นนั้น ซุงที่ท่าน้ำ แม่น้ำปิงที่เวิ้งว้าง เต็มไปด้วยจอกและสวะ เต็มไปด้วยแพไม้ แพเสา เรือโกลน ติดธงสีต่าง ๆ กัน ..” ( ทุ่งมหาราช หน้า ๔ )
   “เจตนาอันเด็ดเดี่ยวของเขา เป็นสิ่งยากที่ใครจะทัดทานได้ การล่องแพ ในสมัยนั้น หมายถึงการเสี่ยงสารพัดตลอดระยะทาง ๕ คืน ๖ วัน หรือน้อยและมากกว่านั้น แล้วแต่น้ำและอุปสรรคหรือความสะดวกในการเดินทาง จากกำแพงเพชรถึงปากน้ำโพ เขารู้ดีว่าในฐานะที่เป็นคนแรกในบ้านคลองสวนหมากใต้ ที่ริจะค้าไม้และล่องแพด้วยตนเองย่อมจะตกอยู่ในสายตาของคนทั่วไปอย่างคนที่ความคิดวิตถาร การค้าไม้เป็นของคนใหญ่คนโตทุนรอนนับเล่มเกวียนอย่างพะโป้ และบริษัทฝรั่ง  ไม่ใช่คนอย่างเขา ซึ่งขาดเครื่องมือเกือบทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากความทะเยอทะยาน ความฝันและกำลังใจอันแรงกล้า” ( ทุ่งมหาราช หน้า ๖๗ )
ในสมัยก่อนการทำไม้และการล่องแพซุงของเมืองกำแพงเพชร   เป็นกิจการที่เฟื่องฟูมาก ตามท่าน้ำริมตลิ่งเต็มไปด้วยแพซุง โดยมีชุมทางอยู่ที่คลองสวนหมาก เพราะไม้ส่วนใหญ่ถูกชักลากออกจากป่าโป่งน้ำร้อน ชาวบ้านจะตัดไม้ทิ้งไว้เป็นปีแล้วจึงชักลากมารวมกองที่ริมตลิ่ง รอขายให้กับพ่อค้าที่เข้ามารับซื้อ หรือผูกแพล่องไปขายที่ปากน้ำโพ ซึ่งเป็นชุมทางค้าไม้ในสมัยนั้น เวลาที่ใช้ในการเดินทางจากกำแพงเพชรถึงปากน้ำโพประมาณ ๕-๗ วัน  ตลอดเส้นทางต้องผจญภัยกับความเชี่ยวกรากของสายน้ำ เกาะแก่ง ที่จะทำให้แพแตกไม้ลอยหายหมดตัวไปก็หลายราย
ภาพลักษณ์แห่งวัฒนธรรมประเพณีเฉพาะถิ่นของชาวคลองสวนหมากและกำแพงเพชรอย่าง ตรุษสงกรานต์ การละเล่นเพลงพื้นบ้าน ภาพแห่งความสนุกรื่นเริง ด้วยการร้องรำทำเพลงอย่างเพลงแม่ศรี เพลงพวงมาลัย การเล่นช่วงชัย หรือก่อพระทรายหน้าวัด ถือเป็นภาพแห่งความทรงจำของประเพณีของชาวคลองสวนหมากที่ครูมาลัย ชูพินิจ ได้ตั้งใจบันทึกเอาไว้ให้ลูกหลานได้สานต่อ
   “ในตอนบ่ายวันสุดท้ายของสงกรานต์ สุดใจ-ยังสวมกำไลข้อเท้า ๑๖ ปี แต่เปล่งปลั่งเหมือนสาวใหญ่..เปียกปอนไปทั้งตัวด้วยเล่นสาดน้ำกัน หน้าตายังขมุกขมอมเพราะดินหม้อจากการตะลุมบอน ฉวยขันลงหินและสบู่ลงไปที่ตีนท่าหน้าบ้าน เร่งรีบจะอาบน้ำชำระกาย เพื่อกลับขึ้นไปแต่งตัวใหม่ให้ทันไปเข้าวง ช่วงชัย ในตอนเย็น” ( ทุ่งมหาราช หน้า ๕ )
“เมื่อสงกรานต์มาถึงในปีนั้น เสียงเพลงแม่ศรี พวงมาลัย และเสียงหัวเราะอันชื่นบานด้วยความบริสุทธ์ ซึ่งเงียบหายไปนานนับแต่ปีกลาย ก็กลับมาสู่ชาวบ้านอีกครั้ง และรื่น ยืนมองดูเด็ก ๆ และหนุ่มสาว ทั้งชาวปากคลองและลาวพวน สรวลเสเฮฮากันอยู่ ณ วงแม่ศรี  ช่วงชัย  หรือรอบองค์พระทรายหน้าวัดคราวใด  คราวนั้นก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ด้วยความรู้สึกอันตื้นตัน” ( ทุ่งมหาราช หน้า ๓๐๖ )
ความรกร้างและสูญหายไปของวัดท่าหมัน วัดเก่าแก่อยู่ใกล้ท่าน้ำริมคลองสวนหมากที่ปากคลองเหนือ  “ผมกลับมา  ได้ข่าวว่าปีกลายฝีดาษกินเสียเตียนไปทั้งคลองเหนือ คลองใต้ ก็รีบเข้ามาเยี่ยม” ท่านเจ้าคุณบอกด้วยเสียงและสีหน้าสลด “เนจอนาถอะไรเช่นนั้น ตั้งแต่คลองเหนือ บ้านไร่ คลองใต้ หาผู้คนอยู่สักบ้านไม่ได้ พะโป้เองก็ยังไม่กลับจากแม่พล้อ วัดท่าหมัน ก็ร้าง ทั้งตลาดคลองเหนือเหลือแต่เจ๊กขายของอยู่สองสามครัว”  (ทุ่งมหาราช หน้า ๒๘๗)
   จากการสืบค้นพบว่าบริเวณตลาดครชุมมีวัดเก่าอยู่วัดหนึ่งชื่อวัดท่าหมัน เป็นที่สร้างมานานนับร้อยปี แต่สูญสภาพกลายเป็นตลาดนครชุมไปหมดแล้ว เมื่อสอบถามผู้เฒ่าผู้เแก่แถวตลาดนครชุมยังพอได้เค้าเกี่ยวกับเรื่องราวของวัดท่าหมันว่า  มีการย้ายศาลาวัดท่าหมันซึ่งถูกปล่อยทิ้งร้างไปก่อสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ที่วัดสว่างอารมณ์ ตำบลนครชุม
ร่องรอยของบ้านห้างหรือบ้านพะโป้ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนทั้งไทย มอญ กะเหรี่ยง เสียงเพลงและความคึกครื้นด้วยงานรื่นเริงบันเทิงใจ
“จากประตูใหญ่  ริมคลองระหว่างรั้วซึ่งใช้ไม้สักทั้งต้นแทนเสา  กระทู้ปักเรียงราย มิดชิด มั่นคง และแข็งแรงประดุจป้อมปราการของเจ้าผู้ครองนครสมัยโบราณ บ้านสามชั้น หลังนั้น ดูสูงตระหง่าน และมหึมาเหมือนปราสาทในเทพนิยาย  รื่นไม่เคยคิดมาก่อนเลย จนกระทั่งก้าวเข้าไปในบริเวณนั้นแล้วว่าความกว้างขวางใหญ่โตของสถานที่ และผู้คนซึ่งพลุกพล่านอยู่ในบริเวณนั้น จะทำให้เขารู้สึกเล็กลงไปเพียงใด ราวกับเด็กที่เดินอยู่ในดงเปลี่ยว... ( ทุ่งมหาราช หน้า ๑๖๓ )
   ปัจจุบันบ้านห้างหรือบ้านพะโป้ ตั้งอยู่ริมคลองสวนหมากมีสภาพทรุดโทรม  เรือนไม้หลังนี้มีประวัติความเป็นมาที่ทรงคุณค่าของชาวนครชุมและเมืองกำแพงเพชร และยังเป็นบ้านที่พระพุทธเจ้าหลวงเคยเสด็จมาประทับและถ่ายรูปเอาไว้       
ตัวละครอย่างพะโป้ พ่อค้าไม้ชาวกะเหรี่ยงอยู่ในบังคับของอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในการค้าไม้ประจำเมืองกำแพงเพชรในสมัยนั้นเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง
   “เขามองหน้าบุรุษผู้นั่งหัวเราะต่อไปอยู่ต่อหน้าขณะนั้นครั้นแล้วก็ได้คิดขึ้นมาด้วยความสะท้านสะเทือนใจว่า นี่เองพะโป้ ผู้ยิ่งใหญ่  พะโป้ผู้มีบุญคุณแก่ชาวกำแพงเพชรโดยทั่วไปและคลองสวนหมากโดยเฉพาะ พะโป้ผู้นำฉัตรทองแต่ตะโก้งมาประดิษฐาน ณ ยอดพระบรมธาตุเป็นสัญลักษณ์แห่งพระบวรพุทธศาสนา ( ทุ่งมหาราช หน้า ๑๖๙ )
   พะโป้ มีชื่อเต็ม ๆ คือ พะโป้พะเลวาซวยล่า สะมะเย เป็นพ่อค้าไม้ผู้มั่งคั่งชาวกะเหรี่ยง เดินทางจากพม่าเข้ามาทำไม้ในเขตพื้นที่ป่าคลองสวนหมาก ได้แต่งงานกับคนไทยชื่อ แม่ทองย้อย บุตรสาวผู้ใหญ่บ้านวันและอำแดงไทย ซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ริมคลองสวนหมากใกล้กับบ้านห้าง มีบุตรธิดาด้วยกัน ๔ คน เป็นต้นตระกูล “รัตนบรรพต” ในปัจจุบัน
   พะโป้ถึงแก่กรรม ช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๐ ได้ตั้งศพไว้ที่ห้องโถงชั้นล่างของบ้านห้างเป็นเวลา ๑ ปี ตลอดเวลาจะมีพระสงฆ์มาสวดศพและทุก ๆ ๗ วัน ชาวกะเหรี่ยงจะพากันออกจากป่ามาคารวะศพและทำการสวดตามพิธีของชาวกะเหรี่ยง เมื่อครบกำหนดจึงได้นำศพไปทำพิธีฌาปนกิจที่วัดสว่างอารมณ์ ตำบลนครชุม
   ท่านเจ้าคุณกำแพง ผู้ว่าราชการจังหวัด  ผู้ทำคุณให้กับชาวกำแพงเพชรและผู้ปกครองราษฎรด้วยความปราณี เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ครูมาลัย  ชูพินิจ ได้นำมากล่าวไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งคุณงามความดี   
“เครื่องแต่งกายซึ่งเป็นที่สะดุดตาในภูมิประเทศบ้านป่าเช่นนั้น มากกว่าบรรดาผู้สวมเอง เรียกร้องความสนใจของเขา และทุกคนก้มหน้าทำธุระอยู่กับงานของตนเช้าวันนั้น ให้เงยหน้าขึ้นไปจับตาดูอยู่เป็นเป้าเดียวกัน แม้กระนั้นร่างเล็ก ๆ ของหล่อนพร้อมด้วยใบหน้าอันเกลี้ยงเกลา และนัยน์ตาที่เป็นประกายวาวเพราะความตื่นเต้น ก็เป็นภาพแรกที่สะดุดสายตาเขา ในขณะที่คนอื่น ๆ บ้างยืนบ้างนั่ง ด้วยกิริยาท่าทางอันตื่นตะลึงต่าง ๆ กัน เมื่อ ปรากฎว่าร่างของชายชราในชุดกางเกงขาสั้นสวมถุงน่องรองเท้า หมวกกันแดดและเสื้อราชปแตนต์ คนนำหน้าคือท่านเจ้าคุณกำแพง ผู้ว่าราชการจังหวัด (ทุ่งมหาราช หน้า ๒๙๑)
ท่านเจ้าคุณกำแพงผู้ว่าราชการจังหวัด ตามที่ปรากฏในทุ่งมหาราชนั้น คือพระยาวิเชียรปราการ เจ้าเมืองเมืองกำแพงเพชร ในช่วง พ.ศ. ๒๔๔๗-๒๔๕๔
พระยาวิเชียรปราการ นามเดิม ฉาย  อัมพเศวต เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๑๐ ในรัชกาลที่ ๔ เป็นชาวเมืองสรรค์ (จังหวัดชัยนาท) เป็นบุตรของหลวงภักดีบริรักษ์ (อ่ำ) ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นหลวงสรรค์บุรารักษ์ ตำแหน่งนายอำเภอสรรคบุรี    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ตำแหน่งเจ้าเมืองกำแพงเพชรว่างลง ด้วยพระยารามรณรงค์สงคราม (หรุ่น)ต้องเข้าไปรายงานตัวในเมืองหลวง จึงโปรดเกล้าให้หลวงสรรค์บุรานุรักษ์ไปรับราชการเมืองกำแพงเพชร แล้วพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนเป็น “พระวิเชียรปราการ” ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้เลื่อนเป็น “พระยาวิเชียรปราการ”   เสด็จประพาสต้นคือมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ครูมาลัย  ชูพินิจ ได้บันทึกประวัติศาสตร์แห่งความปลื้มปิติของชาวคลองสวนหมากที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัวของพวกเขาเอาไว้อย่างประทับใจและมีสำนึกในพระมหากรุณาอันล้นพ้น
“ริ่นจะไม่มีวันลืมวันนั้นเลย แม้อีกหลายสิบปีจะล่วงไปและวัยจะโร่งโรยแล้ว ๒๕ สิงหาคม ๒๔๔๙ จะประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของเขาต่อไปชั่วชีวิตอวสาน มิใช่เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวง โดยใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อเสด็จขึ้นทอดพระเนตรวัดพระบรมธาตุในตอนบ่ายอย่างเดียว หากความตื้นตันใจต่อภาพประชาชนทั้งชาวปากคลอง หนองปลิง ลานดอกไม้ แม้กระทั่งชนบทและตำบลที่ห่างไกลเข้าไปในป่าลึกและดงสูง ที่มาชุมนุมรับเสด็จรอชมบารมีเจ้าเหนือหัวของเขาแน่นขนัดไปหมดทั้งลานวัดอีกด้วย” ( ทุ่งมหาราช หน้า ๓๒๙ )
“แต่การเสด็จประพาสวัดพระบรมธาตุและคลองสวนหมากของพระพุทธเจ้าหลวง ครั้งนั้นเองเหมือนมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ มีความหมายที่จะชุบชีวิตซึ่งร่อยหรอประดุจกองไฟที่จะหรี่และดับมิดับแหล่ ของตำบลนั้นให้สว่างโพลง ยืนยงคงทนต่อไป ต่อหน้าโรคระบาด อุทกภัย ทุพภิกขภัยอย่างที่ไม่มีอำนาจใดจะมาทำลายให้ดับสูญไปได้”  (ทุ่งมหาราช หน้า ๓๓๐)
   พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสคลองสวนหมากและวัดพระบรมธาตุเป็นฉากที่สำคัญยิ่งฉากหนึ่งที่ปรากฏในนวนิยายเรื่องทุ่งมหาราช และเมื่อย้อนรอยเข้าไปศึกษาตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ก็พบความเป็นจริงว่า พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสคลองสวนหมากและวัดพระบรมธาตุเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๔๙ ในครั้งนี้มีประชาชนพากันมาเข้าเฝ้าอย่างแน่นขนัดทั้งชาวปากคลองสวนหมาก หนองปลิง ลานดอกไม้ และชนบทที่อยู่ห่างไกลออกไป
   การสะท้อนภาพชีวิตและประสบการณ์เดิมของครูมาลัย  ชูพินิจ ดังภาพเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ ๒๔๕๙ เมื่อคราวไข้ทรพิษหรือฝีดาษระบาดที่ทำลายขวัญและชีวิตของชาวคลองสวนหมากจนเกือบสูญสิ้นทั้งตำบล รวมทั้งน้องชายร่วมมารดาของครูมาลัย  ชูพินิจ ด้วยผู้หนึ่ง
“…ทุก ๆ วัน ข่าวที่ได้รับจากบ้านไร่และคลองเหนือ ไม่บ้านใดก็บ้านหนึ่งจะต้องมีการป่วยด้วยโรคระบาดเดียวกันนี้ ความจริงนั้นหลายครอบครัวล้มเจ็บด้วยฝีดาษก่อนมณีจะลงมาถึงปากคลองด้วยซ้ำไป หลายคนโทษว่าลูกชายรื่นเป็นสื่อนำโรคนั้นมาสู่บ้านแต่อีกหลายคนก็ยืนยันได้โดยมีหลักฐานว่าคนงานของพะโป้นำมาจากป่าต้นคลองเหนือ เมื่อเวลาล่วงไปและอาการเจ็บไข้ระบาดออกไปทั่ว ต่างคนต่างก็วุ่นอยู่แต่สวัสดิภาพของตัวจนไม่มีเวลาพอที่จะไปคิดโทษใคร” (ทุ่งมหาราช หน้า ๒๗๒)
   “รื่นเป็นคนต่อมาที่สังเกตเห็นอาการทรุดหนักอย่างผิดปกติของลูกชายคนหัวปี สีหน้าของแกซึ่งไม่เป็นหน้าตาอีกต่อไป เกือบจะกลายเป็นสีขี้เถ้า แม้กระนั้นเขาก็มิได้เอ่ยอะไรกับสุดใจซึ่งตื่นขึ้นภายหลังวันนั้นทั้งวันผ่านไปอย่างเงียบเหงาประเดี๋ยวได้ข่าวคนตายจากบ้านไร่ ประเดี๋ยวจากท้ายวัด ประเดี๋ยวจากคลองเหนือ จากนอกชานเรือนของเขารื่นแลเห็นเรือหลายลำนำศพของผู้ตายข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นป่าพุทรา—ป่าช้าฝังศพมาแต่ไหนแต่ไร บางรายเสียงร้องไห้ของญาติและมิตรของผู้ตายก็แว่วข้ามแม่น้ำมาถึง เขารู้ดีว่าวันหนึ่งบางทีจะชั่วโมงใดต่อไปข้างหน้า เขา สุดใจ จำปา ป้าแคล้วและคนในบ้านอันเป็นที่รักใคร่อย่างสุดสวาทขาดใจของเด็กผู้น่าสงสารก็คงจะต้องตกอยู่ในสภาพอย่างเดียวกัน รื่นรู้ว่าทุกชั่วนาฬิกาและนาทีเขาคอยเวลานั้นด้วยการปลงตกเสียแล้ว แต่เมื่อกาลอวสานของลูกชายหัวปีมาถึงเข้าจริง เขาก็อด สะเทือนใจ ทอดอาลัยตายอยากในชีวิตไปชั่วยามหนึ่งไม่ได้” (ทุ่งมหาราช หน้า ๒๗๕)
   นอกจากนี้ทุ่งมหาราช ยังมีฉากสำคัญอยู่หลายแห่งทั้งในเขตเมืองกำแพงเพชร ตำบลนครชุม ปากคลองเหนือ ปากคลองใต้ บ้านไร่ นาน้ำลาด วังกระทะ หนองปลิง ลานดอกไม้ วังแขม คลองขลุงแม่ลาด วังพระธาตุ ปากอ่าง เกาะธำมะรง เป็นต้น ฉากเหล่านี้ได้ถูกเชื่อมโยงกับตัวละครออกมาเป็นบทประพันธ์อันชวนอ่านด้วยฝีมือระดับชั้นครูที่ทำให้เรื่องราวของประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยสีสัน
    “ทุ่งมหาราช” อาจเป็นเพียงนวนิยายเรื่องเล็ก ๆ แต่ก็มีคุณค่าอันยิ่งใหญ่ต่อการบันทึก     ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ของเมืองกำแพงเพชร ที่ทำให้อนุชนรุ่นหลังสามารถย้อนรอยประวัติศาสตร์   วิถีชีวิต ตัวบุคคล วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาในท้องถิ่นได้อย่างถูกต้องและน่าสนใจ
“ทุ่งมหาราช” ทุ่งใหญ่แห่งชีวิตของชาวคลองสวนหมาก
   ภาพชีวิตและเหตุการณ์อันประทับใจ ความยิ่งใหญ่ในการเสียสละ ความทรหดอดทนของชาวคลองสวนหมากในยุคนั้น   เป็นบรรยากาศแห่งภราดรภาพที่ยังพิมพ์อยู่ในอนุสติของครูมาลัย     ชูพินิจ ท่านจึงได้นำเสนอไว้ใน “ทุ่งมหาราช” นวนิยายเรื่องเล็ก ๆ  ที่เข้าถึงความสำคัญแห่งความ    ยิ่งใหญ่ในการใช้ชีวิตด้วยความสุขและสวัสดิภาพของชาวคลองสวนหมาก
   ถือเป็นความตั้งใจอย่างแท้จริงของครูมาลัย  ชูพินิจ ที่บรรจงเขียน “ทุ่งมหาราช” จากความทรงจำรำลึกถึงเหตุการณ์ประจำยุคสมัย ภาพของเมืองและตำบล ขนบธรรมเนียมประเพณี เหตุการณ์อันเกิดจาก มหาตภัยธรรมชาติ โรคระบาด อุทกภัยและทุพภิกขภัย ซึ่งผ่านเข้ามาในชีวิตของท่านและเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นขึ้นไป
   “ทุ่งมหาราช” เป็นนวนิยายที่บรรยายให้เห็นสภาพชีวิต เหตุการณ์ บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ และก่อนหน้านั้นขึ้นไป โดยมีจุดเน้นอยู่ที่ตำบลคลองสวนหมากและวิถีชีวิตของผู้คนตามสายน้ำปิงซึ่งต้องต่อสู้กับความยากลำบากนานัปการ ตั้งแต่ความอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บ โดยผ่านตัวละครที่มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณอย่าง “รื่น” หรือ ขุนนิคมบริบาล ผู้เต็มไปด้วยแนวคิดในการปกป้องรักษาแผ่นดินถิ่นเกิด ที่ทำมาหากิน ความรักอิสระ ด้วยภาษาสำนวนที่อ่านเข้าใจง่ายและการพรรณาที่มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน   
   ทุกชาติและประเทศ ตำบลและหมู่บ้าน ล้วนมีประวัติความเป็นมาของตัวเองไม่มากก็น้อย เหมือนอย่างตำบลคลองสวนหมากที่เปลี่ยนมาเป็นนครชุม ซึ่งครูมาลัย  ชูพินิจ ได้บอกเล่าเอาไว้ใน นวนิยาย “ทุ่งมหาราช” แม้ท่านจะออกตัวว่ามิได้ตั้งใจให้เป็นประวัติของตำบลคลองสวนหมาก ขอให้เป็นเพียงบันทึกของเหตุการณ์ประจำยุคสมัยก็ตาม แต่การได้อ่าน “ทุ่งมหาราช” แล้วตามรอยเข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองในยุคนั้นถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งนัก เพราะแต่ละวรรคตอนล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์อันน่าสนใจ



๒.จดหมายเหตุพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชร
       การเสด็จประพาสต้น หมายถึง การที่เสด็จไปเยี่ยมเยือนพสกนิกรโดยมิได้นัดหมายหรือบอกล่วงหน้าแต่เสด็จไปแบบสามัญชน เพื่อทรงพักผ่อนพระวรกาย ในการเสด็จประพาสต้นครั้งที่-๒เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๙ เป้าหมายอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร
 


 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นั้น เมื่อมีพระราชประสงค์จะเสด็จประพาสหัวเมืองใหญ่ ในพระราชอาณาเขต เพื่อสำราญพระราชอิริยาบถ พระองค์ไม่ทรงโปรดฯ ให้มีการจัดรับเสด็จเป็นทางการ แต่ทรงโปรดฯ ให้จัดการที่เสด็จให้เป็นไปโดยง่ายเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างสามัญ โดยมิให้มีท้องตรา สั่งหัวมืองให้จัดทำที่ประทับแรม ณ ที่ใดๆ สุดแต่จะพอพระราชหฤทัย บางคราก็ทรงเรือเล็ก หรือเสด็จโดยสาร รถไฟไปไม่ให้ใครรู้จัก เรียกกันว่า “เสด็จประพาสต้น” เหตุที่เรียกเสด็จประพาสต้นนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ- กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า เกิดแต่เมื่อครั้งเสด็จคราวแรก เพราะมีพระราชประสงค์มิให้ใครได้รู้ ว่าเสด็จไปทรงเรือมาดเก๋ง ๔ แจวลำหนึ่ง เรือนั้นไม่พอบรรทุกเครื่องครัว จึงทรงซื้อเรือมาดประทุน ๔ แจว ที่แม่น้ำอ้อม ที่แขวงราชบุรี และโปรดฯ ให้เจ้าหมื่นเสมอใจราช (อ้น) เป็นผู้คุมเครื่องครัว ทรงพระราชดำรัส เรือลำนี้ว่า “เรือตาอ้น” เรียกเร็วๆ เสียงจะกลายเป็น “เรือต้น” เหมือนบทเห่ซึ่งกล่าวว่า “พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย” ซึ่งฟังดูไพเราะ แต่เรือประทุนลำนั้นใช้การได้อยู่ไม่มาก จึงเปลี่ยนมาเป็นเรือมาด ๔ แจว กับอีกลำหนึ่ง และโปรดฯ ให้เอาเรือต้นมาใช้เพื่อเป็นเรือพระที่นั่ง โดยมีพระราชประสงค์จะมิให้ผู้ใดทราบว่า เสด็จไปเป็นสำคัญ และเรียกการประพาสเช่นนี้ว่า “ประพาสต้น” ...ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การเสด็จประพาสต้นเมื่อรัตนโกสินทรศก ร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๙) หนังสือการเสด็จประพาสต้นครั้งนี้ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงมี พระราชดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี (สมเด็จหญิงน้อย) ทรงเขียนไว้ ในขณะนั้นยังทรงดำรงตำแหน่งราชเลขาธิการฝ่ายใน เพื่อบันทึกรายละเอียดในการเสด็จประพาสต้น ใน ร.ศ. ๑๒๕ นี้ พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ พระชนนี ทรงพระปรารภใคร่จะจัดพิมพ์เป็นหนังสือ ประทานตอบแทนผู้ถวายรดน้ำสงกรานต์ จึงตรัสปรึกษาให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี (สมเด็จหญิงน้อย) พระธิดา จึงได้ทรงเก็บรวบรวมและพบสำเนาจดหมายเสด็จ ประพาสต้นครั้งที่สอง ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ถึง ๗ ปีแล้ว จึงประทานสำเนา มายังหอพระสมุดวชิรญาณ สำหรับพระนครในการเสด็จประพาสหัวเมืองภายในพระราชอาณาจักรนั้น ทำให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ทรงมีโอกาสสมาคมกับราษฎรอย่างใกล้ชิด ดังปรากฏคราวเสด็จ ประพาสต้นเมื่อ ร.ศ. ๑๒๓ และทำให้ทรงทราบทุกข์สุข และความเป็นไปของราษฎรอย่างละเอียดด้วยพระองค์เอง
นอกจากนี้ยังได้ทรงเห็นการปกครองของเจ้าหน้าที่ที่ทรงแต่งตั้งให้ออกไปปกครองต่างพระเนตรพระกรรณว่า ได้กดขี่ราษฎรเดือดร้อนหรือไม่อย่างไร หรือปกครองได้เรียบร้อยดีสมดังที่ไว้วางพระราชหฤทัยเพียงใด เมื่อเจ้าหน้าที่ ผู้ใดประพฤติมิชอบก็ทรงติเตียนลงโทษ หรือทรงปรับแนะและเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทั้งหลายเคร่งครัดซื่อตรงต่อการงานยิ่งขึ้น ตลอดจนเมื่อทรงเห็นราษฎรเจ็บป่วย ไม่ได้รับการเยียวยารักษาตามอันควร ก็เป็นเหตุให้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นายแพทย์คิดประกอบและจัดทำโอสถสภา รวมทั้งมอบให้เป็นธุระ ของเจ้าหน้าที่ที่จะให้ประโยชน์แก่พสกนิกรของพระองค์อย่างทั่วถึงกัน
แผนที่เสด็จประพาสต้นครั้งที่ ๒
 
              ครั้งหนึ่งที่ชาวกำแพงเพชรไม่เคยลืมเลือนและยังคงจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ การเสด็จประพาสต้นหัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นการส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๕ เพื่อทรงทราบทุกข์สุขของราษฎรใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง  พระองค์ทรงเสด็จประพาสจังหวัดกำแพงเพชรเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์ทรงเสด็จประพาสเขานอ (เขาหน่อ) ทรงแวะบ้านตาแสนปม และประทับแรม ณ หาดแสนตอ เมืองขาณุวรลักษบุรี  เช้าวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์ทรงเสด็จไปทอดพระเนตรคนผมแดง จากนั้นเสด็จไปประทับแรม ณ ตำบลบางแขม ต่อมาวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคต่อไปยังวังนางร้างและได้ประทับแรม ณ ที่นี้ด้วย วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์เสด็จประพาสผ่านบ้านโคน ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเมืองเทพนคร ไปประทับแรมที่ท่าขี้เหล็ก วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์เสด็จประพาสวัดวังพระธาตุ เมืองไตรตรึงส์ จากนั้นเสด็จไปประทับแรมที่เมืองกำแพงเพชร ต่อมาวันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์ทรงประพาสป้อมประตูคูเมืองวัดพระแก้ว และทรงถ่ายรูปคนงามเมืองกำแพงเพชร จากนั้นประพาสเทวสถานพระอิศวร วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์เสด็จประพาสแนวกำแพงเมือง ประตูเจ้าอินเจ้าจัน ประตูชัย ป้อมเพชร วัดกำแพงงาม วัดพระนอน และวัดพระยืน วันที่ ๒๕ สิงหาคม         พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์เสด็จประพาสคลองสวนหมาก บ้านพระโป้ และวัดพระบรมาตุ ตำบลนครชุม ต่อมาวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์เสด็จไปทรงถ่ายรูปบุคคลในตระกูลกำแพงเก่า จากนั้นเสด็จประพาสที่วัดเสด็จและวัดคูยาง จากนั้นเสด็จล่องจากกำแพงเพชร พักเสวยพระกระยาหารกลางวันที่ปากอ่าง จากนั้นเสด็จไปประทับแรม ณ วังอีร้างหรือนางร้าง และวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ทรงประทับแรม ณ บ้านแดน นับว่าเป็นที่สิ้นสุดการเสด็จประพาสต้น ณ เมืองกำแพงเพชร

  ในการประพาสต้นเมืองกำแพงเพชรของพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จนั้น ท่านได้ประพาสตั้งแต่เมื่อวันที่๑๘ สิงหาคมพ.ศ.๒๔๔๙ ประทับแรมอยู่เมืองกำแพงเพชร อยู่จนถึง วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๔๔๙ รวมทั้งสิ้น ๑๐ วัน แต่ขอสรุปในการประพาสต้นดังนี้เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือพระพุทธเจ้าหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังจังหวัดกำแพงเพชร เป็นการเสด็จประพาสต้นที่นำความปลาบปลื้มมาสู่เมืองกำแพงเพชร และไม่ใช่เพียงเท่านั้นยังขจัดภัยจากความกลัว โรคร้ายภัยพิบัติต่างๆ ของชาวสวนหมากหรือชาวบ้านเมืองอื่นได้กล่าวไว้ว่าเมืองชากังราวนี้ มีโรคร้าย ภัยพิบัติต่างๆ ทำให้หมู่บ้านเล็กๆเติบโตขึ้นเป็นตำบล และได้มีผู้ชายที่ชื่อ รื่น ได้ซึ่งเป็นกำนันคนแรก ในนามของ ขุนนิคมบริบาล 
ตัวอย่างบางตอนจากพระราชนิพนธ์
                เช้าวันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ฝนตกเวลา ๓ โมงเช้า เสด็จไปทั้งฝน ผ่านวัดเล็กๆ ทำด้วยแลง ผ่านที่ว่าการเมืองที่สร้างยังไม่เสร็จ  เสด็จเข้าทางประตูน้ำอ้อยได้มองเห็น ประตูสามประตู คือ ประตูน้ำอ้อย ประตูบ้านโนน ประตูดั้น เสด็จเข้าไปในวัดพระแก้ว ตอนนั้นเป็นวิหารใหญ่อย่างวัด พระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยุธยา มณฑป ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ถ้าพระแก้วมาอยู่ที่กำแพงเพชรตามตำนาน ต้องมาอยู่ที่วัดแห่งนี้แน่นอน ได้ได้เอ่ยชมว่าพระเจดีย์วัดพระแก้ว เป็นเจดีย์ลอมฟาง ทำได้งามมาก เสด็จต่อไปจนถึงวัดช้างเผือก ไปที่ศาลหลักเมือง แล้วไปที่ สระมน พระราชวังโบราณของเมืองกำแพงเพชร ประชาชนสร้างสถานที่และปะรำในบริเวณสระมน มีประชาชนมาเข้าเฝ้าเป็นจำนวนมาก มีสำรับกับข้าว มาเลี้ยงหลายสิบสำรับ
                นายอำเภอพรานกระต่าย คือ หลวงอนุรักษ์รัฐกิจเป็นผู้ออกแบบสร้างถวาย ได้เสวยพระกระยาหารกลางวันที่สระมน แล้วได้ถ่ายรูปคนงามเมืองกำแพงเพชร ซึ่งเขาจัดหามาให้ ความจริงประชาชนที่มานั่งอยู่ทั้งหมู่หน้าตาดีกว่าก็มี ทรงตรัสชมว่า ผู้หญิงเมืองนี้นับว่าร่างหน้าตาดีกว่าเมืองอื่นในข้างเหนือ คนงาม ๔ คน มี หวีด บุตรหลวงพิพิธอภัยอายุ ๑๖ ปี คนนี้รู้จักโพสต์ถ่ายรูป จึงได้ถ่ายรูปเฉพาะคนเดียว ยังอีกสามคน ชื่อประคอง บุตรหลวงพิพิธอภัยเหมือนกัน อายุ ๑๗ ปี ริ้ว ลูกพระพล อายุ ๑๗ ปี พิง ลูกพระยารามรณรงค์ อายุ ๑๖ ปี แล้วจึงเสด็จไปที่ศาลพระอิศวร ถ่ายรูป ซากปรักหักพังของศาลพระอิศวรตรัสถึงคนเยอรมันมาลักรูปพระอิศวรไป ปัจจุบันตามกลับมาได้แล้ว พระองค์ส่งรูปไปล้างที่บางกอก ได้หนึ่งส่วน เสียสองส่วน เสียดายมาก จึงเอาห้องอาบน้ำที่สถานที่เป็นห้องล้างรูป ....
ชาวกำแพงเพชร สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างมิรู้ลืม

๓.เที่ยวเมืองพระร่วง พระราชนิพนธ์ พระมงกุฎเกล้าเอยู่หัว
เมื่อข้าพเจ้าไปเมืองกำแพงเพชรครั้งแรก คือแวะเมื่อล่องกลับจากเชียงใหม่ ร.ศ. ๑๒๔ นั้น ได้พักอยู่ ๓ คืน ๒ วัน ได้เที่ยวดูในเมืองเก่าและตามวัดที่นอกเมืองบ้าง แต่ในเวลานั้นต้องนับว่ายังอ่อนอยู่มากในทางโบราณคดี คือยังไม่ใคร่ได้มีโอกาสตรวจค้นมาก ทั้งเวลาที่อยู่ก็น้อย และเป็นคนแรกที่ได้ไปดู จะอาศัยฟังความคิดความเห็นผู้ใดๆก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความเห็นในเวลานั้นจึงยังไม่กล้าแสดงให้แพร่หลายมากนัก เป็นแต่ได้ทำรายงานกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามที่ได้สังเกตเห็นด้วยตา และแสดงความเห็นส่วนตัวบ้างเล็กน้อย ภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปประพาสเมืองกำแพงเพชร ทอดพระเนตรสถานต่างๆแล้ว พระราชทานพระบรมราโชวาทเป็นอันมาก ครั้นเมื่อได้ทราบกระแสพระราชดำริแล้ว เมื่อปลาย ร.ศ. ๑๒๖ ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปตรวจดูสถานที่ในเมืองกำแพงเพชรซ้ำอีก จึงเห็นทางแจ่มแจ้งดีกว่าครั้งแรกเป็นอันมาก
 
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ข้อความข้างต้นเป็นข้อความตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง ของพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยในการศึกษาค้นคว้าด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างยิ่ง ได้เสด็จประพาสเมืองสุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร พิชัยและพิษณุโลกเพื่อทอดพระเนตรโบราณสถาน โบราณวัตถุระหว่างวันที่ ๔ มกราคม - ๖ มีนาคม รศ. ๑๒๖ (พ.ศ.๒๔๕๐) และโปรดฯ ให้จัดพิมพ์พระราชนิพนธ์เรื่อง “เที่ยวเมืองพระร่วง” ซึ่งทรงบันทึกเรื่องราวระยะทางเสด็จประพาสในคราวนั้นพร้อมพระราชวิจารณ์ในแง่ประวัติศาสตร์และโบราณคดี ก่อให้เกิดกระแสตื่นตัวในการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทยในเวลานั้นอย่างมาก
ในส่วนของเมืองกำแพงเพชร   พระองค์ ทรงเสด็จมากำแพงเพชร สองครั้ง หลักฐานจากจารึกวงเวียนต้นโพ หลักที่ ๒๓๙    สร้างจาก หินปูนสีเทา กว้าง ๗๘ เซนติเมตร สูง ๑๒๖ เซนติเมตร หนา ๘ เซนติเมตร เป็นรูปใบเสมา   จารึกด้านเดียว มี ๑๙ บรรทัด นายประสาร บุญประคอง ได้อ่านจารึกหลักนี้
ความว่า
๑. ศุภมัสดุพระพุทธศาสนายุกาลได้ ๒๔๔๘ พรรษา
๒. จุลศักราช ๑๒๖๗ ศกมะเส็ง รัตนโกสินทรศก ๑๒๔
๓. เป็นปีที่ ๓๘ ในรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
๔. เจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
๕. มกุฎราชกุมารได้เสด็จพระราชดำเนินจากมณฑลพายัพ
๖. มาถึงเมืองกำแพงเพชรนี้ วันอังคารเดือนยี่ แรม ๗ ค่ำ
๗. สุริยคติกาลกำหนด วันที่ ๑๖ เดือนมกราคม เสด็จประพาส
๘. ทอดพระเนตรโบราณสถานหลายแห่งเป็นครั้งแรก
๙. ประทับแรมอยู่ ๒ ราตรีตั้งพลับพลานอกกำแพง
๑๐. เมืองกำแพงเพชร ที่วัดชีนางเกา   ริมลำน้ำปิงฝั่งเหนือฯ
๑๑. ครั้นลุพระศาสนายุกาลได้ ๒๔๕๐ พรรษา
๑๒. จุลศักราช ๑๒๖๙ ศกมะแม รัตนโกสินทรศก ๑๒๖
๑๓. เป็นปีที่ ๔๐ ในรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
๑๔. เจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระองค์นั้น
๑๕. ได้เสด็จพระราชดำเนินมาถึงเมืองกำแพงเพชรนี้
๑๖. วันพุธเดือนยี่ขึ้น ๑๓ ค่ำ สุริยคติกาลกำหนด
๑๗. วันที่ ๑๕ มกราคม ได้เสด็จประพาสทอดพระเนตร
๑๘. โบราณสถานซ้ำอีกเป็นครั้งที่ ๒ ประทับแรมอยู่
๑๙. ๓ ราตรีที่พลับพลาเดิมฯ
มีใจความสำคัญ สรุปได้ว่า
พ.ศ. ๒๔๔๘ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินจากมณฑลพายัพมาถึงเมืองกำแพงเพชร ทอดพระเนตรโบราณสถานหลายแห่ง โดยประทับแรมที่พลับพลาบริเวณวัดชีนางเการิมลำน้ำปิงฝั่งเหนือ นอกเมืองกำแพงเพชร เป็นเวลา ๒ คืน ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๕๐ เสด็จมาทอดพระเนตรโบราณสถานอีกครั้งหนึ่ง และทรงตั้งพลับพลาประทับแรม ๓ คืน ในที่เดิม
ในโอกาสที่ เสด็จเมืองกำแพงเพชรครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ขณะนั้น ที่ว่าการเมืองกำแพงเพชร หลังแรก สร้างเสร็จพอดี (บริเวณที่ทำการเหล่ากาชาดกำแพงเพชร ในปัจจุบัน) พระองค์ทรงปลูกต้นสักไว้ที่หน้าที่ว่าการเมืองกำแพงเพชร เป็นที่ระลึก ปัจจุบันต้นสักทรงปลูก ยังสูงใหญ่และงดงามมาก
 
พลับพลาที่ประทับ ที่ ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มกุฎราชกุมาร บริเวณวัดชีนางเกานั้น เป็นทั้งที่ประทับแรมของพระพุทธเจ้าหลวงเมื่อคราประพาสต้น เมืองกำแพงเพชร ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ด้วย
ต่อมาจังหวัดกำแพงเพชร ได้ตั้งโรงเรียนสตรีขึ้น และได้ใช้พลับพลารับเสด็จและประทับแรม เป็นที่ทำการของโรงเรียน มีนามเป็นสิริมงคลว่า โรงเรียนสตรีพลับพลา ต่อมาได้ กลายเป็นโรงเรียนสตรีกำแพงเพชร “นารีวิทยา” ในที่สุด ได้รวมกันกับโรงเรียนชาย กำแพงเพชร “วัชรราษฎร์วิทยาลัย” เปลี่ยนนามเป็นโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม ในปัจจุบัน
        โรงเรียนสตรีพลับพลา สร้างอาคารเรียนใหม่ เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนสตรีกำแพงเพชร “นารีวิทยา”
ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ จังหวัดกำแพงเพชร ได้สร้างที่ทำการเมืองหลังใหม่เสร็จเรียบร้อย ภายในกำแพงเมืองกำแพงเพชร และสร้างสะพานคอนกรีตข้ามลำน้ำปิง ตรงมายังที่ว่าการเมืองเลยทีเดียว ซึ่งผู้รู้ทั้งหลายทักกันว่า ผิดหลักฮวงจุ้ย จะไม่เป็นมงคลกับเมืองกำแพงเพชร ไม่สามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลง ทั้งที่ว่าการเมือง(ศาลากลาง)และสะพานกำแพงเพชรได้ ที่ประชุมกรรมการเมืองกำแพงเพชร และท่านผู้รู้ในเมืองกำแพงเพชร ได้แก้เคล็ด ฮวงจุ้ย ดังกล่าว โดยอัญเชิญ ใบเสมาศิลาจารึก ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มกุฎราชกุมาร ที่ประดิษฐานบริเวณต้นโพ ขึ้นมาประดิษฐานกลางวงเวียน ขวางกันไว้ มิให้สิ่งที่ไม่เป็นมงคลเข้าสู่เมืองกำแพงเพชร ที่ตั้งใบเสมาจารึกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มกุฎราชกุมาร จึงตั้งตระหง่าน เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองกำแพงเพชรมาจนถึงปัจจุบัน แม้ได้เปลี่ยน ฐานรองรับมาหลายรูปแบบ จนมาถึงปัจจุบัน
นับว่าการเสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชร สองครา คือพุทธศักราช ๒๔๔๘ และ ๒๔๕๐ ทรงพระราชทานสิ่งที่เป็นมงคลให้ชาวกำแพงเพชร มาจนถึงปัจจุบัน คือ
๑.ต้นสัก ทรงปลูก เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๐
๒.จารึกวงเวียนต้นโพ กลางเมืองกำแพงเพชร
๓.หนังสือพระราชนิพนธ์เที่ยวเมืองพระร่วง
๔.พลับพลารับเสด็จวัดชีนางเกา กลายเป็นโรงเรียนสตรีพลับพลา  โรงเรียนสตรีกำแพงเพชร “นารีวิทยา” และ เป็นกำแพงเพชรพิทยาคม เมื่อรวมกับ กำแพงเพชร “วัชรราษฎร์วิทยาลัย”
นับ เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อเมืองกำแพงเพชร ที่ชาวกำแพงเพชร ประทับใจอยู่มิรู้คลาย

ภาษา
ภาษาถิ่นอำเภอพรานกระต่าย
ภาษาถิ่น หมายถึง ภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นหนึ่งของประเทศไทย ในประเทศไทยมีภาษาถิ่นอีสาน ภาษาถิ่นใต้ และภาษาถิ่นเหนือ ที่เรียกกันว่าภาษาล้านนา ภาษาถิ่นเป็นภาษาเดียวกับภาษาไทย แต่มีลักษณะบางอย่างแตกต่างผิดเพี้ยนไปจากภาษากลาง และความแตกต่างนั้น มักเป็นระบบ เช่น คำที่ใช้ภาษากรุงเทพฯใช้ ร ภาษาเหนือจะเป็น ฮ เช่นคำว่า รัก เป็นฮัก คำว่า เรือน เป็นเฮือน คำว่า ร้อง

       
        ลักษณะของภาษาถิ่นพรานกระต่าย คือ
        ๑. เป็นวัฒนธรรมทางภาษา ใกล้เคียงกับภาษากลาง มีแตกต่างและเพี้ยนไปจากภาษากลาง  เช่น
เสื่อ   เพี้ยนเป็น   เสือ
เสือ   เพี้ยนเป็น   เสื่อ
ข้าวสาร   เพี้ยนเป็น   ข้าวส่าน
หนังสือ   เพี้ยนเป็น   นั้งสื่อ
คนสวย   เพี้ยนเป็น   คนส่วย
มั่งซิ   เพี้ยนเป็น   มั่งฮิ
ไปซิวะ   เพี้ยนเป็น   ไปซิ
ไปไหนเล่า   เพี้ยนเป็น   ไปไหน่หลา
มังซิ   เพี้ยนเป็น   มั่งฮิ

        ๒. เป็นภาษาถิ่นที่ใช้แพร่หลายในหมู่คนพื้นบ้านพรานกระต่าย และยังใช้อยู่จนปัจจุบันนี้
ฝรั๋ง   ความหมายคือ   ฝรั่ง(ผลไม้)
น้ำแหน๋   “   น้อยหน่า
ยู้   “   ผลัก,ดัน
พัก   “   ผลักให้ล้ม
โด๋   “   สิ่งของที่อยู่ใกล้
ตรงโน้น   “   สิ่งของที่อยู่ไกล
เนี๊ยะ   “   ตรงนี้
ยั้ง   “   หยุด
ตะพัด   “   กั้นไว้,กักไว้
ไม้แง่ม   “   ไม้สอยผลไม้
งวม   “   ครอบ,สวม
แงะ   “   เหลียวหน้ามาดู
กะบก   “   จอบ
กะจอบ   “   เสียม
คุโยน   “   ภาชนะชนิดหนึ่งสาน
ด้วยไม้ไผ่ยาด้วย
ชันใช้ตักน้ำจากบ่อขุด
กะต๋าง   “   ถังน้ำ
อีมุย   “   ขวาน
ตุ๊กแก้ม   “   จิ้งจก
ลูกแอ   “   ลูกกระบือ
แมงกะบี้   “   ผีเสื้อ
ตุ๊กกะเดี้ย   “   ลูกน้ำ
ลูกโจ๋   ความหมายคือ   ลูกสุนัข
หยูด   “   ไม่กรอบ
กากหมู่   “   หนังหมูทอดพอง
แมงอี้หนีด   “   จิ้งหรีด

       
๓. คำสร้อย ใช้เสียงดนตรีในการขึ้น หรือจบประโยคในการสนทนา
ภาษากลาง   ภาษาพรานกระต่าย
ซิเรา   ฮิหล่าว
นั่น   ฮ่าน
ไปไหนมา   ไปไหนมาหล่า,ไปไหนมาเล๊า
เถอะ   เฮอะ ( ไปกันเฮอะ)
เอาซิ   เอาฮิ
ก้าย   คำลงท้ายจบประโยคในการพูด
หล่า   สร้อยคำพูดหลังจบประโยคคำถาม
        ๔
. ภาษาเปลี่ยนไป
อยู่ที่นี่   โด๋นิ
อยู่โน่น   โด๋น่ะ


ภาษาถิ่น   คำอ่าน   ภาษากลาง/ความหมาย
กงล้อ,กงรถ   กง – ล้อ, กง - รถ   ล้อรถ
กงแน๋ว   กง - แหนว   ตรงไป
กระเจิง   กะ – เจิง   กระจาย
กะต้า   กะ – ต้า   ตะกร้า
กะลุ้ง   กะ – ลุ้ง   ลังใส่ของ
กะบวย   กะ – บวย   ที่ตักน้ำ
กะบ๊ก   กะ – บ๊ก   จอบ
กะปี๊บ   กะ – ปี๊ป   ปีปน้ำ
กะมัง   กะ – มัง   กาละมัง
คว่ำข้าวเม่า   คว่ำ- ข้าว –เม่า   ล้ม กลิ้งไป
ก๊วยติ๊งนง   ก๊วย – ติ้ง – หนง   นั่งไขว่ห้าง
ก้อนเซ่า   ก้อน – เซ่า   ก้อนดินวางเป็นเส้า 3 ก้อนใช้หุงข้าว
กระบวย   กะ – บวย   กะบวยตักน้ำ
กะจ้อน   กะ – จ้อน   กระแต
กะชุก   กะ – ชุก   เสื่อหักมุม(เสื่อชนิดหนึ่งเหมือนบุ้งกี๋ชนกัน
กะเดียด   กะ – เดียด   เอาของวางที่เอวแล้วเดินๆไป
กะต้อ   กะ – ต้อ   กระโชงโลงวิดน้ำ
กะด๋อนกะแด๋น   กะ – ด๋อน - กะ – แด๋น   ไม่เรียบ ไม่สม่ำเสมอ
กะต๋อนกะแต๋น   กะ – ต๋อน – กะ – แต๋น   ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
กะต๋าย   กะ – ต๋าย   กระต่าย
กะเทิ๊ด   กะ – เทิ๊ด   เลื่อน ,เคลื่อนที่
กะทุนล้อ   กะ – ทุน – ล้อ   หลังคาล้อเกวียนสานด้วยไม้
ไผ่กุด้วยใบตอง
กะบ๊ก   กะ – บ๊ก   จอบ
กะบวกกะบั๋ว   กะ – บวก – กะ บั๋ว   เป็นหลุมเป็นบ่อ
กะบั่ว   กะ – บั๋ว   ยุบเป็นรอยควาย
กะบ๊ะ   กะ – บ๊ะ   ถาดใส่ข้าว
กะเบ๊อะ   กะ – เบ๊อะ   เป็นก้อนใหญ่
กะพือ   กะ – พือ   พัด
กะเล็นเต   กะ – เล็น – เต   กระแตตัวเล็กๆ
กะโล่   กะ – โล่   ไม้สานสำหรับใส่ข้าว
กะโหลกกะลา   กะ –โหลก – กะ – ลา   กะลามะพร้าว
กิ้งก๋า   กิ้ง – ก๋า   กิ้งก่า
กินจุ๊จริงๆ   กิน – จุ๊ - จิง – จิง   กินกับข้าวมาก
กินเติบ   กิน – เติบ   กิน ข้าวได้มากๆ
กุ๊กๆ   กุ๊ก – กุ๊ก   เรียกไก่ให้มา
แกวนไฟ   แกวน – ไฟ   จุดไฟสกัดกั้นไม่ให้ไปลามมา
โกรกไม้   โกรก – ไม้   เลื่อยไม้
โก๊กๆ   โก๊ก – โก๊ก   เรียกไก่
ไก๋   ไก๋   ไก่
ไก๋ตักกะต๊าก   ไก่ – ตัก – กะ – ต๊าก   ไก่ตัวเมียตกใจร้อง
ก๋อไฟ   ก๋อ – ไฟ   ก่อกองไฟ
กล๋าวโทษ   กล๋าว – โทด   โทษ
ขนมคู่   ขะ- หนม – คู๋   ปาท่องโก๋
ข้าวเกียบโป๋ง   ข้าว – เกียบ – โป๋ง   ข้าวเกรียบว่าว
ขี้โก๊ะ   ขี้ – โก๊ะ   ขี้หัว
ขี้เท่อ   ขี้ – เท่อ   คนสมองไม่ดี – มีดไม่คม
ขี้ตะเก๊ด   ขี้ – ตะ – เก๊ด   ไม้เชื้อไฟ
ขึ้นกะปุ่มกะปิ๋ม   ขึ้น – กะ – ปุ๋ม – กะ – ปิ๋ม   ขึ้นปริ,พุ่งจะแตกปริ
ไขว   ไขว   ไขว่ห้าง
เขยิ้บ   ขะ – เยิ้บ   การเคลื่อนตัวเข้า – ออกโดย
ไม่ยกก้น
ควายฮึด   ควาย – ฮึด   ควายขวิด
คว่ำข้าเม่า   คว่ำ – ข้าว – เม่า   ล้มคว่ำ
คุย   คุย   เป็นเนินชายทุ่งนา
คุ่ยช่าย   คุ่ย – ช่าย   ต้นกุ๊ยช่าย
งบน้ำอ้อย   งบ – น้ำ – อ้อย   น้ำอ้อยที่หยอดเป็นแผ่นทรง
งัว   งัว   วัว
แงะ   แงะ   หันไปมอง
เงิง   เงิง   ทับกันไม่สนิท
โงนเงน   โงน – เงน   จะล้มลง -ฐานไม่แน่น
จ๊กดิน   จ๊ก – ดิน   ขุดดิน
จริงไม๊   จิง – ไม๊   จริงหรือไม่จริง
จัง   จัง   ถูก เจอ
จิ้งจัง   จิ้ง – จัง   มากมาย
จิ๊งเหล่น   จิ้ง – เหล่น   จิ้งเหลน
จุ๊กกะจี๋   จุ๊ก – กะ – จี๋   ตัวด้วงหรือแมลงที่เกิดจาก
เจิ๋งเลิ้ง   เจิ๋ง – เลิ้ง   น้ำมากเกินไป
เจิ๋นทาง   เจิ๋น – ทาง   หลงทางเดิน
โจ๋ๆ   โจ๋ – โจ๋   เรียกลูกหมา
ซะมุก   ซะ – มุก   กินมูมมาม ไม่เรียบร้อย
ชะโลกโกกเกก   ชะ – โลก – ก๊ก - เก๊ก   หุบเขาที่มีหินมาก
ซุหั่ว   ซุ – หั่ว   สระผม
ซ๊กม๊ก   ซ๊ก – ม๊ก   สกปรก
ดอกกระดาษ   ดอก – กระ –ดาด   ดอกเฟื่องฟ้า
ดั๊กตุ้ม   ดั๊ก – ตู้ม   การจับปลาด้วย
เครื่องจักสาน
ดั้งกางเกง   ดั้ง – กาง – เกง   เป้า กางเกง
เดี๊ยะๆ   เดี๊ยะ – เดี๊ยะ   ดุให้หยุดการกระทำ
เดินโดกเดก   เดิน – โดก – เดก   เดินไปเดินมา
โด๋ยนิ   โด๋ย – นิ   ใกล้ๆนี่
ตรงโน้น   ตรง – โน๊น   ตรงนั้น
ตะงุดๆ   ตะ - งุด - ตะ – งุด   โมโหตะหงุดตะหงิด
ต๊กใจ   ต๊ก – ใจ   ตกใจ
ตอดตอ   ตอด – ตอ   ตุ๊กแก
ตะไก   ตะ – ไก   กรรไกร
ตุ๊กแก้ม   ตุ๊ก – แก้ม   จิ้งจก
ตะคั่นตะครอ   ตะ – คั่น – ตะ - คอ   อาการครั่นเนื้อครั่น
ตัวเหมือนจะเป็นไข้
ตะปิ้ง   ตะ – ปิ้ง   เครื่องเงินสำหรับปิด
อวัยวะเพศเด็กผู้หญิง
ตะรูน   ตะ – รูน   พุ่งตัวออกไป, รีบร้อน
ตะวัก   ตะ – วัก   กะลามาทำเป็น
รูปช้อนตักข้าว
ตุ๊กกะเดียม   ตุ๊ก – กะ – เดียม   จั๊กกะจี้
ต๊กกะเด๋ง   ต๊ก – กะ – เด๋ง   กระดานหก
ติ๋น   ติ๋น   เนื้องอก
ตกกะเดี้ย   ตก – กะ – เดี้ย   ลูกน้ำ
แตกระแห่ง   แตก – ระ – แห่ง   ผิวแตก
ถะร้อง   ถะ – ร้อง   ป่าที่ต่ำ
ถั๋วไก่   ถั่ว – ไก๋   ถั่วเขียว
ถาด   ถาด   กระทกให้
ควายไปทางขวา
ถุ่ง   ถุงยาง   ถุงพลาสติกใส่ของ
ทด   ทด   ทำนบ
ท้องเปาะ   ท้อง – เปาะ   ท้องเสีย
ถ่อยลงมา   ถ่อย – ลง – มา   เลื่อนของ
ลงมาจากที่สูง
เทิน เทิน วางของซ้อนกัน
แทงคอน   แทง – คอน   ไปเช้ามืด
นกก๊อด   นก – ก๊อด   นกประหลอด
นกอีตุ้ม   นก – อี้ – ตุ้ม   นกตะลุ่ม
นอนแอ้งแม้ง   นอน – แอ้ง –แม้ง   นอนหมดเรี่ยว
หมดแรง
นอนไขว๋ห้าง   นอน – ไขว๋ – ห้าง   นอนยกเข่า
ขาทับซ้อนกัน
นอนแผ๋หล๋า   นอน – แผ๋ – หลา   นอนหงายหมดอาลัย
นอนเอกขะเน๊ก   นอน – เอก – ขะ – เน๊ก   นอนหงายอย่างสบายใจ
หน๋อไม้   หน๋อ – ไม้   หน่อไม้ไผ่
น้ำแหน๋   น้ำ – แหน๋   น้อยหน่า
นุง   นุง   ชื่นไม่กรอบ
โน้น   โน้น   ไกลลิบ
บ้องหู่   บ้อง – หู่   ใบหู
บะเล่อบะล่า   บะ – เล่อ – บะ – ล่า   ใหญ่โต
ปลาต๊กคลั่ก   ปลา – ต๊ก – คลั่ก   ปลาที่อยู่ในหนองน้ำ
ใกล้จะแห้ง
ปลาบ้วน   ปลา – บ้วน   ปลาขึ้นมาหายใจ
บนผิวน้ำ
ปลาเฮ้ด   ปลา – เฮ้ด   ทอดมันปลา
ปลาหง   ปลา – หง   ปลาตัวเล็กๆ,ลูกปลาตัวแดงๆ
ปั๊กกะเดก   ปั๊ก – กะ – เดก   ขาหัก
ปูก้ามเท่อ   ปู – ก้าม – เทอ   ปูก้ามใหญ่
ปูก้ามเทิ่ง   ปู – ก้าม –เทิ่ง   ปูตัวผู้ก้ามใหญ่
เป็นดุ้น   เป็น – ดุ้น   เป็นท่อน
เปรียว   เปรียว   ไม่เชื่อง
เปิดหน้าถัง   เปิด – หน้า – ถัง   เปิดประตูที่เป็นแผ่นพับ
แป๊ะเข่ามา   แป๊ะ – เข่า – มา   อาศัยเขามาด้วย
พักไห   พัก – ไห   มะระ
ผ้าคะม้า   ผ้า – คะ – ม้า   ผ้าขาวม้า
ผ้าห่มเช้า   ผ้า – ห่อ – เช้า   ผ้าขนหนู
ผ้าอีเตี๋ยว   ผ้า – อี – เตี๋ยว   ผ้าที่พันหม้อนึ่งข้าวเหนียว
โผเผ   โผ – เผ   เหนื่อยล้าแทบหมดแรง
ฝนกุ๋ม   ฝน – กุ๋ม   ฝนตกนานมาก(เมฆครึ้ม)
ฝนตกฉ่อฉ่อ   ฝน – ตก – ฉ่อ – ฉ่อ   ฝนตกพรำๆ
ฝนมีด   ฝน – มีด   ลับมีด
ฟ้าทะแหลบ   ฟ้า – ทะ – แหลบ   ฟ้าแลบ
ฝรั๋ง   ฟะ – หรั๋ง   ฝรั่ง(ผลไม้)
ม้วนกระลอก   ม้วน- กระ ลอก   อาการดิ้นยังไม่ตาย
มอง   มอง   ครกกระเดื่องตำข้าว
มะเขื่อรื่น   มะ – เขื่อ – รื่น   มะเขือรื่น
พุดทรา   พุด – ซา   พุทรา
มั่วอี้ตั้ว   มั่ว – อี้ – ตั้ว   ชุลมุนวุ่นวาย
มาฮิ   มา - ฮิ   มาซิ
แมงแสบ   แมง - แสบ   แมลงสาบ
แมงอีทอง   แมง – อี – ทอง   แมลงทับ
โม๋   โม๋   โผล่ขึ้นมา
ไม้กระตาก   ไม้ – กระ - ตาก   ไม้ท่อนขนาดเหมาะมือ
ไม้เท้าเอว   ไม้ – เท้า – เอว   ไม้ยันเรือนล้อ
ไม้แง่ม   ไม้ – แง่ม   ไม้สอยผลไม้
ยุ่ย   ยุ่ย   ยุ่ยสลาย, เปื่อย
หยูด   หยูด   เหี่ยวย่น
รถเครื่อง   รถ – เครื่อง   รถมอเตอร์ไซด์
รถอีเล่อ   รถ – อี – เล่อ   รถไถนา
ลอกควาย   ลอก – ควาย   กระดิ่งแขวนคอควาย
ล้อกะแทะ   ล้อ – กะ – แทะ   ล้อที่มีเหล็กหุ้มหน้ากง
ลอยกะเผ๋อเหล๋อ   ลอย – กะ – เผลอ – เหลอ   ของลอยอยู่ในน้ำ มากมาย
ล้ออีแอ๋ว   ล้อ – อี้ – แอ๋ว   ล้อหมุน
ลากแตกลากแตน   ลาก – แตก – ลาก – แตน   อาเจียนมากๆ
ลิ้นเตา   ลิ้น – เตา   รังผึ้งสำหรับ
ใส่ถ่านในเตา
ลิว   ลิว   โยนหรือเหวี่ยง
ลูกโจ๋   ลูก – โจ๋   ลูกหมา
ลูกต๋อม   ลูก – ต๋อม   ลูกช้าง
ลุมหลู่   ลุม – หลู่   ใกล้แจ้งใกล้สว่าง
ลูกหนัง   ลุก – หนัง   ลูกกระสุนดินเหนียว
ลูกอิฐ   ลูก – อิฐ   ลูกหิน
ลูกแอ   ลูก – แอ   ลูกควาย
แว้ง   แว้ง   เลี้ยวกลับ
สลาง   สะ – หลาง   ที่นึ่งข้าวเหนียว
เส้นนังร้อน   เส้น – นัง – ร้อน   วุ้นเส้น,เส้นแกงร้อน
เสอิ๊ก   สะ – เอิ๊ก   อาหารชนิดหนึ่ง
คล้ายๆกับห่อหมดใส่ไข่
เสือ   เสือ   เสื่อปูนอน
เสือกกะดี๋   เสือก – กะ – ดี๋   ว่ายน้ำหงายหลัง
เสือตบตูด   เสือ – ตบ – ตูด   ด้วงดักแด้
หญ้าก๋อน   หญ้า – ก๋อน   หญ้าเจ้าชู้
หนั๋งปะแด๋ะ   นั๊ง – ประ – แด๋ะ   เชือกที่ใช้หนังวัวหรือ
นั่งควายมาทำเป็นเป็นเกลียว
หม้อกา   หม้อ – กา   กาต้มน้ำร้อน
หมากเก็บ   หมาก – เก็บ   หมากเก็บ
หมู่   หมู่   หมู
หมู๋บ้าน   หมู – บ้าน   หมู่บ้าน
หยอดขิงขาง   หยอด – ขิง – ขาง   แมลงวันหยอดไข่
ยั้งก๋อน   ยั้ง – ก๋อน   หยุดก่อน
หล๋าย   หล๋าย   คลองน้ำเล็ก
หวานเห่   หวาน – เห่   ทอดเห
หอบแฮกๆ   หอบ – แฮก – แฮก   เหนื่อยจนหอบมากๆ
หอยแกลบ   หอย – แกลบ   หอยกาบ
หางโกน   หาง – โกน   เชือกที่ร้อยอ้อมควายไถนา
โหก   โหก   ไล่ควายกลับ
เหียนไส้   เหียนไส้   อาการคลื่นไส้
อ้อม   อ้อม   สายรัดวัว – ควายไว้ ไถนา
อัตตะวัด   อัด – ตะ – วัด   ควายวิ่งหรือคนไม่อยู่ ในกรอบ
อี้จี๋   อี้ – จี๋   แมลงกุดจี่
อีซิว   อี้ – ซิว   ปลาซิว
อี้ดุ๊ก   อี้ – ดุ๊ก   ปลาดุก
อี้ดี๋   อี้ – ดี๋   ปลากระดี่
อี้โผง   อี้ – โผง   กระบอกไม้เล็กๆใส่
ลูกไม้กระทุ้งแล้วเกิดเสียงดัง
อี่ข้อง   อี้ – ข้อง   ตะข้อง
อี้บุ้ง   อี้ – บุ้ง   ตัวบุ้งของผีเสื้อ
อี้โรย   อี้ – โรย   เครื่องโรยขนมจีน
อี้หง   อี้ – หง   เครื่องช้อนปลา
อี้หนีด   อี้ – หนีด   จิ้งหรีด
อี้หมอ   อี้ – หมอ   ปลาหมอ
อี้หวด   อี้ – หวด   มีดฟันหญ้า
อีกหน   อิ้ก – หน   อีกครั้ง
อี้ออดอี้แอด   อี้ – ออด –อี้ – แอด   การกระทำบ่อยครั้ง
เพียงเล็กๆน้อยๆ
อุงไป   อุง – ไป   หมุนไป (เช่น กงล้อมหมุนไป)
เอ้น   เอิ้น   เรียก
เอี้ยงไป   เอี้ยง – ไป   แอบไปมองดู
แอบหมาก   แอบ – หมาก   กระไทหมาก
ไอ้หนู่   ไอ้ – หนู่   ลูกผู้ชาย
ฮุ้มฮุ้ม   ฮุ้ม – ฮุ้ม   ฝนตกน้ำไหล มาเร็วมาก
ฮุน   ฮุน   ดึงเชือกให้ควายไปทางซ้าย
         ภาษาถิ่นพรานกระต่าย เป็นภาษาถิ่นที่งดงามควรแก่การรักษาไว้เพื่อสืบทอดสู่ลูกหลานชาวพรานกระต่ายให้นานที่สุด
ขอขอบพระคุณคุณแม่สนาม อยู่ครอบ และคุณครูจารีรัตน์ นทีประสิทธิพรที่ให้ข้อมูลภาษาถิ่นพรานกระต่าย


42  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ประวัติ ครูมาลัย ชูพินิจ เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2023, 06:15:56 am
                                                                                  ครูมาลัย ชูพินิจ
    
          ครูมาลัย ชูพินิจ เกิดเมื่อวันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ.2449 ที่บ้านริมแม่น้ำปิง ตำบลคลองสวนหมาก อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร เป็นบุตรของ นายสอน และนางระเบียบ ชูพินิจ ในวัยเด็ก ครูมาลัย ชูพินิจ เข้ารับการศึกษาชั้นต้นที่จังหวัดกำแพงเพชร จนจบชั้นประโยคประถมศึกษา เมื่ออายุประมาณ ๑๐ ปี จึงเข้าไปศึกษาต่อใน ระดับสูงจนจบประโยคมัธยมศึกษา  เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๖๗
 และใช้ชีวิตส่วนใหญ่ อยู่ในกรุงเทพฯ ครูมาลัย ชูพินิจ เริ่มประกอบอาชีพครั้งแรกโดยรับราชการครู ที่โรงเรียนวัดสระเกศ เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๖๗ สองปีต่อมาก็ลาออกจาก อาชีพครูเนื่องจากพอใจกับงานหนังสือพิมพ์มากกว่า และได้ยึดอาชีพนักหนังสือพิมพ์ และนักประพันธ์มาโดยตลอด ๓๗ ปี จนถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งที่ปอดเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เวลา ๑๗.๔๕ น. ณ  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ในช่วงเวลาที่ ครูมาลัย ชูพินิจ ประกอบอาชีพนักหนังสือพิมพ์ และนักประพันธ์ ได้สร้างผลงานไว้มากมาย ทั้งด้านสารคดี บทความ กีฬา ปรัชญา นวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร มีผู้กล่าวคาดประมาณกันว่าผลงานของมาลัย ชูพินิจ มีประมาณ ๓๐๐๐ เรื่อง นับว่ามาลัย ชูพินิจ เป็นนักประพันธ์ที่มีผลงานมากที่สุดคนหนึ่ง เป็นตัวอย่างของ ความอุตสาหะ ในการประกอบอาชีพที่ดียิ่ง นามปากกาของ มาลัย ชูพินิจ ได้แก่ ก.ก.ก. จิตรลดา ฐ.ฐ.ฐ. ต่อแตน น.น.น. น้อย อินทนนท์ นายไข่ขาว นายฉันทนา นายดอกไม้ นายม้าลาย แบ๊ตตลิ่งกรอบ ผุสดี ผู้นำ พลับพลึง ม.ชูพินิจ มะกะโท แม่อนงค์ เรไร เรียมเอง ลูกป่า วิชนี ส.ส.ส. สมิง กะหร่องหนอนหนังสือ อะแลดดิน อาละดิน Aladdin อาตมา อินทนนท์น้อย อุมา ฮ.ฮ.ฮ. ฉ.ฉ.ฉ. ดุสิต ลดารักษ์
          นวนิยายที่ดีเด่น แสดงถึงความผูกพันทางความรู้สึกระหว่างครูมาลัย ชูพินิจ กับกำแพงเพชร คือ นวนิยาย เรื่อง ทุ่งมหาราช ใช้นามปากกาว่า เรียมเอง ซึ่งมาลัย ชูพินิจ กล่าวไว้ในคำนำของหนังสือว่า "ความมุ่งหมายของข้าพเจ้าในการเขียนทุ่งมหาราช ก็มิได้ ปรารถนาจะให้เป็นประวัติของตำบลคลองสวนหมาก ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนนามกันมา เป็นนครชุมหรือประวัติศาสตร์ของชาวบ้านนั้น โดยแท้จริงมากไปกว่าเสมือนบันทึกของเหตุการณ์ประจำยุค ประจำสมัย" นวนิยายเล่มนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของข้อมูลการค้นหาตนเองของอนุชนกำแพงเพชรในปัจจุบัน
          ครูมาลัย ชูพินิจ เป็นผู้มีผลงานสร้างสรรค์ต่อวงการหนังสือพิมพ์และวงการ ประพันธ์เป็นอเนกอนันต์ นอกจากงานหนังสือพิมพ์ และการประพันธ์แล้ว มาลัย ชูพินิจ ยังได้ปฏิบัติงานรับใช้สังคมอีกเป็นอันมาก ได้รับเชิญให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการในองค์การทางสังคม หลายองค์การ ในทางการเมืองได้รับแต่งตั้ง เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในทางวิชาการเป็นอาจารย์พิเศษ วิชาการบริหาร ฝ่ายบรรณาธิการของวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
          ผลงานทุกประเภทของมาลัย ชูพินิจ ได้รับการยอมรับนับถือจากทุกวงการ เกียรติยศก่อนเสียชีวิต คือการได้รับพระราชทานปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕


ชีวประวัติ
         มาลัย ชูพินิจ เป็นชาวกำแพงเพชรโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันพุธที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๙ บ้านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ตำบลคลองสวนหมาก อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร บิดามารดาคือ นายสอนและนางระเบียบ ชูพินิจ ตระกูลชูพินิจ มีบรรพบุรุษสืบต่อมาจากตระกูล ณ บางช้าง ซึ่งนิยมรับราชการสืบต่อกันมา จนกระทั่งถึงชั้นปู่ของมาลัย ชูพินิจ ซึ่งได้ย้ายไปรับราชการประจำอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชรในรัชกาลที่ 5 แต่บิดามารดาของมาลัย ชูพินิจ มิได้รับราชการตามบรรพบุรุษ หากหันมาค้าไม้สักและไม้กระยาเลย อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติสำคัญของจังหวัดนั้น
         มาลัย ชูพินิจ มีน้องชายร่วมมารคา 1 คน หากเสียชีวิตแต่เยาว์วัย ด้วยไข้ทรพิษ ต่อมาเมื่อมาลัย  ชูพินิจ มีอายุประมาณ 10 ขวบเศษมารดาได้เสียชีวิตลง หลังมรณกรรมของมารดา บิดาของเขาได้แต่งงานใหม่ และมีบุตรชาย หญิงซึ่งนับเป็นน้องต่างมารดาของมาลัย ชูพินิจ อีก ๔ คน คือ
         ๑. เด็กชาย... ชูพินิจ (ถึงแก่กรรม)
         ๒. นางสาวสำเนียง ชูพินิจ (ถึงแก่กรรม)
         ๓. นายประสาน ชูพินิจ  (ถึงแก่กรรม)
         ๔. นางสาวมาลี ชูพินิจ (ถึงแก่กรรม)
         มาลัย ชูพินิจ ใช้ชีวิตวัยเด็กที่ตำบลคลองสวนหมาก จังหวัดกำแพงเพชร อยู่จนอายุประมาณ ๑๐ ขวบเศษ จึงได้เดินทางไปพำนักอยู่ที่กรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาต่อ โดยในชั้นแรกได้พักอาศัยอยู่กับญาติผู้หนึ่ง จนย่างเข้าวัยรุ่น จึงได้เข้าไปอาศัยอยู่กับพระยามหาอำมาตยาธิบดี ที่ตำบลยศเสจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา
ด้านการศึกษา
         มาลัย ชูพินิจ ได้รับการศึกษาขั้นต้นที่วัดบรมธาตุ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านที่ตำบลคลองสวนหมาก จังหวัดกำแพงเพชร แล้วย้ายไปเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดกำแพงเพชร จนจบประถมศึกษา
         เริ่มเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดบพิตรพิมุข เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ มาลัย  ชูพินิจ ได้ย้ายไปเรียนวิชาครูโดยเฉพาะที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศ
         เมื่อจบการศึกษาวิชาครูจากโรงเรียนวัดบวรนิเวศ มาลัย ชูพินิจได้กลับเข้าเรียนวิชาสามัญในมัธยมศึกษาปีที่ ๗  ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
         ในขณะที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย มาลัย ชูพินิจ ได้ใช้เวลาว่างในตอนกลางคืนเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เขาจึงได้ ชื่อว่าเป็นนักเรียนเก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์ด้วยผู้หนึ่ง

ด้านการทำงาน
         พ.ศ.๒๔๖๙ ทำหนังสือไทยใต้ ที่จังหวัดสงขลา ตามคำชักชวนของ นายบุญทอง เลขะกุล ซึ่งเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
         พ.ศ.๒๔๗๐ เดินทางกลับกรุงเทพฯ ตามคำชักชวนของนายกุหลาบ สายประดิษฐ์ เข้าทำงานที่หนังสือพิมพ์รายวัน บางกอกการเมือง รับผิดชอบงานในแผนกสารคดี
         พ.ศ. ๒๔๗๑ ร่วมก่อตั้ง หนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษ มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการ นับเป็นงานที่ประสบผลสำเร็จ มียอดขายถึง ๔,๐๐๐ ฉบับ
         พ.ศ.๒๔๗๓ ร่วมกันทำหนังสือพิมพ์ใหม่รายวัน  มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกสารคดี และบันเทิง ได้รับเงินเดือนชั้นหลังสุดที่ได้รับก่อนลาออกจากครู ทำได้ ๑ ปี คณะผู้จัดทำลาออกทั้งคณะ เพราะถูกบีบบังคับจากนายทุนผู้ดำเนินการในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
         พ.ศ ๒๔๗๕ รวมดำเนินงานจัดทำหนังสือพิมพ์ประชาชาติ มีตำแห่งเป็นหัวหน้าแผนกสารคดีและบันเทิงคดีต่อมาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการและบรรณาธิการ การทำงานด้านหนังสือพิมพ์นี้ครูมาลัย ชูพินิจ ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยในการทำหนังสือพิมพ์ทีเดียว ทำงานอยู่ ๗ ปี จึงลาออกด้วยเหตุผลทางการเมือง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐
         พ.ศ.๒๔๘๐ ไปทำไร่ถั่วเหลือง ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
         พ.ศ.๒๔๘๑ รวบรวมพรรคพวกตั้งบริษัทจำกัด ไทยวิวัฒน์ (ต่อมาเป็นบริษัท อักษรนิติ) ออกหนังสือพิมพ์ฉบับบ่าย ประชามิตร รายวัน ตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการ และหนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษ ฉบับเช้า ตำแหน่งบรรณาธิการ จนถึง พ.ศ. ๒๔๘๖ จึงลาออกเพราะสุขภาพไม่ดี และขณะนั้นประเทศไทยอยู่ในภาวะสงคราม
         พ.ศ.๒๔๘๖ ไปทำสวนมะพร้าวที่อ่าวพนังตัก จังหวัดชุมพร เป็นเวลา ๑ ปี
         พ.ศ.๒๔๘๘ ร่วมกับคุณอารีย์ ลีวีระ ก่อตั้งบริษัท ไทยพาณิชยการ จำกัด จัดทำหนังสือพิมพ์รายวันสยามนิกร พิมพ์ไทย สยามสมัย ตำแหน่งที่ปรึกษาของหนังสือพิมพ์ไทย และเป็นนักเขียนประจำของบริษัทไทยพาณิชยการ จำกัด ทำงานอยู่นานถึง ๑๗ ปี

ครอบครัว
         มาลัย ชูพินิจ สมรสกับนางสาวสงวน จันทร์สิงห์ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ทั้งสองได้พบและรู้จักกันเมื่อครั้งมาลัย ชูพินิจเป็นครูสอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนรวมการสอนและนางสาวสงวน จันทร์สิงห์ไปเรียนพิเศษอยู่ที่นั่น มาลัย ชูพินิจ มีบุตรและธิดา รวม ๕ คน คือ
         1. นายสุคต ชูพินิจ นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
         2. นายกิตติ ชูพินิจ รัฐศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
         3. นางขนิษฐา ณ บางช้าง ศิลปะบัณฑิต (โบราณคดี) มหาวิทยาลัยศิลปากร
         4. นางสาวโสมนัส ชูพินิจ อักษรศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
         5. นางสาวสมาพร ชูพินิจ นิสิตคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
         ชีวิตครอบครัวของมาลัย ชูพินิจเป็นชีวิตที่สงบ ราบรื่นและมีความสุข แม้จะมีงานในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ เป็นอันมาก แต่มาลัย ชูพินิจ ก็สามารถแบ่งเวลาสำหรับครอบครัวได้เสมอ เขาเป็นพ่อที่ลูกจะเข้าไปหาเพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำได้ทุกเวลาและทุกกรณี

ถึงแก่กรรม
         มาลัย ชูพินิจ เป็นผู้ที่ทำงานหนักมาตลอดชีวิต โดยมิได้คำนึงถึงสุขภาพของตนเอง แม้กระนั้นเขาก็ยังคงเป็นผู้มีสุขภาพดีและแข็งแรงอยู่เสมอ จนกระทั่งประมาณต้นปี ๒๕๐๖ สุขภาพเขาเริ่มทรุดโทรมลง มีอาการเจ็บป่วยบ่อยๆ แต่ก็ยังคงทำงานในหน้าที่ของเขาต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง ประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๖ ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปสำรวจความขาดแคลนของนักเรียนในภาคเหนือ ตามโครงการของมูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งเขาเป็นกรรมการอยู่ เขาก็ล้มเจ็บลง แต่ยังไม่ทันที่จะหายเขาก็ได้เดินทางไปภาคเหนือตามโครงการนั้นๆ จนเสร็จสิ้นภาระ จึงเดินทางกลับกรุงเทพฯและล้มเจ็บอีกครั้งหนึ่ง จนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จากการตรวจรักษาของแพทย์ปรากฏว่า เขาเป็นมะเร็งที่ปอดขั้นร้ายแรง มาลัย ชูพินิจถึงแก่กรรม ณ ห้อง ๒๒ ตึกปัญจราชินี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๐๖ เวลา 17๑๗.๔๕ น.     

ความชำนาญ
         จากการศึกษาชีวิตและงานของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของไทยหลายคนทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้พบว่า ก่อนหน้าที่จะก้าวเข้าสู่วงการหนังสือ เขาเหล่านั้นล้วนมีสิ่งผลักดันหรือได้รับความบันดาลใจให้เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นคนเขียนหนังสือมาแล้วทั้งสิ้น
         สำหรับมาลัย ชูพินิจ ความเป็นนักประพันธ์และนักหนังสือพิมพ์ของเขามีที่มาจากภาวการณ์และแรงดลใจหลายประการ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
         ประการแรก มาลัย ชูพินิจ มีนิสัยรักการอ่านเป็นคุณสมบัติประจำตัวมาตั้งแต่เด็ก จากการเป็นนักอ่านหนังสือนี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้มาลัย ชูพินิจ เป็นนักเขียนในเวลาต่อมา
         ประการที่สอง มาลัย ชูพินิจ เคยเป็นนักเรียนเก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยและโรงเรียนเทพศิรินทร์ ซึ่งล้วนเป็นสถานศึกษาที่ผลิตนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงของไทยมาหลายยุค หลายสมัย
         ประการที่สาม ซึ่งอาจจะเป็นประการสำคัญที่สุด คือ ความรัก นักประพันธ์ชายเป็นจำนวนมากได้รับแรงบันดาลใจให้เป็นนักเขียนจากความรัก มาลัย ชูพินิจ ไม่ยอมรับว่า แรงดลใจให้เป็นนักประพันธ์ของเขามาจากความรักอย่างเดียว หากแต่ถือว่ามันเป็นเพียงโซ่วงหนึ่งของสายโซ่เท่านั้น และโซ่วงนี้เขาเรียกมันว่าความบังเอิญ
         ประการที่สี่ เช่นเดียวกับที่หลวงวิจิตรวาทการ เคยสรุปสาเหตุที่ทำให้คนเป็นนักประพันธ์ไว้ข้อหนึ่งว่า คนบางคนเป็นนักประพันธ์เพื่อกระทำให้ความปรารถนาของตนบริบูรณ์ มาลัย ชูพินิจ ต้องสูญเสียความหวังและความฝันที่จะเป็นเจ้าของไร่หรือพ่อค้าไม้ไปกับภาวะตลาดไม้ตกต่ำใน พ.ศ.2463 แต่เขาก็ได้ความฝันนี้กลับคืนมาเมื่อเขาเขียน “ทุ่งมหาราช” "แผ่นดินของเรา" และเรื่องสั้นอีกหลายเรื่อง สมกับความปรารถนาของเขาเองที่ต้องการเป็นนักประพันธ์เพื่อฝันถึงสิ่งที่ตนต้องการแต่ไม่มี ฝันถึงความสำเร็จที่ตนปรารถนาแต่ไม่ได้ (สุธิรา สุขนิยม, 2532, ออนไลน์)

ผลงานสำคัญ/ที่สร้างชื่อเสียง
         - ทุ่งมหาราช มหาราช เป็นประวัติของตำบลคลองสวนหมาก จังหวัดกำแพงเพชร สะท้อนภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านในตำบลนั้น แสดงการต่อสู้ของมนุษย์กับโรคระบาดและไฟป่า
         - แผ่นดินของเรา แสดงการต่อสู้ของภัคคินีกับเคราะห์กรรมที่บังเกิดขึ้นภายหลังจากที่หล่อนหนีสามีไปอยู่กับชู้รัก จนถูกชู้รักทอดทิ้งไปมีภรรยาใหม่ บ้านถูกไฟไหม้และตนเองต้องไปประกอบอาชีพเป็นโสเภณี เพื่อหาเงินมารักษาโรคให้ชู้รัก จนในที่สุดก็ล้มเจ็บอยู่อย่างโดดเดี่ยวและกลับมาตายในบ้านของสามีเก่า
         - บันทึกจอมพลเป็นสารคดีทางการเมืองเล่มสำคัญเมหนึ่ง ซึ่งสะท้อนบรรยากาศของการเมือง ความเป็นอยู่และจิตใจของบุคคลหลายกลุ่มของไทยในช่วงเวลาระหว่างพ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2488 ได้อย่างแจ่มชัด แม้การลำดับเหตุการณ์บางตอนจะยังไม่ดีพอทางด้านรายละเอียด แต่การเปิดเผยเรื่องบางเรื่องซึ่งยังไม่เคยถูกนำมาเปิดเผยและเป็นเรื่องที่ออกมาจากต้นตอของข่าวโดยตรง ทำให้หนังสือเล่มนี้มีคุณค่าทางการศึกษาประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งของไทยมิใช่น้อย
         - เสือฝ้ายสิบทิศเป็นสารคดีที่เปิดเผยชีวิตของเสื้อฝ้ายตั้งแต่ต้นจนได้ชื่อว่าเป็นขุมโจร 10 จังหวัด ผู้อ่านจะได้ทราบสาเหตุที่เขาเปลี่ยนชีวิตจากผู้ใหญ่บ้านมาเป็นโจร ความลับในเรื่องกำลังคนและอาวุธ รายละเอียดของการปล้นสะดมครั้งสำคัญนับแต่ปล้นคหบดี โรงสี โรงเลื่อย ตลอดจนเรือโยงของญี่ปุ่น กลวิธีที่ใช้ในการปล้นละวินัยของโจรในการใช้ศาลเตี้ยในการชำระความ และสาเหตุที่ทำให้เขากลับตัวเป็นคนดี (วรินทร์ธรา  ธราณิชอิศม์เดช, 2560, ออนไลน์)
         ในบั้นปลายของชีวิตครูมาลัย ชูพินิจ ประสบความสำเร็จในชีวิตที่เป็นที่ยอมรับของสังคมเป็นอย่างมากประมวลได้ดังนี้
             - พ.ศ.2502 ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
             - พ.ศ.๒๕๐๕ รับพระราชทานปริญญาบัตร วารสารดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
         ผลงานสำคัญต่างประเทศ ได้รับเชิญไปปฏิบัติงานในต่างประเทศหลายครั้ง คือ
             - ได้รับเชิญจากรัฐบาลเยอรมันตะวันตกไปสังเกตสถานการณ์ ในนครเบอร์ลินและเยอรมันตะวันตก พ.ศ.๒๕๐๒
             - ได้รับเชิญไปประชุองค์การต่อต้านคอมมิวนิสต์ (APACL) ครั้งที่ ๕ ที่นครเซอูล ประเทศเกาหลีประเทศเกาหลีใต้ และครั้งที่ ๖  ณ กรุงไทเป และดูงานที่ไต้หวัน เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓
             - ได้รับเชิญจากรัฐบาลไต้หวัน ให้ไปสังเกตการณ์ ณ เกาะคีมอย (QUEMOR)
             - ได้รับการแต่งตั้งร่วมคณะผู้แทนไทยไปร่วมสัมมนาขององค์การซีโต้  ณ เมืองละฮอร์ ประเทศปากีสถาน
             - ได้รับเชิญจากบริษัทการบินแอร์ฟรานซ์ (AIR FRANCE) เดินทางไปรอบโลก
             - ได้รับเชิญจากรัฐบาลเยอรมันไปสังเกตสถานการณ์เบอร์ลิน เยอรมันตะวันตก พร้อมทั้งรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
             - ได้รับเชิญจากรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อสังเกตการณ์การเศรษฐกิจ ศึกษาวัฒนธรรม และเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างกัน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๔
             - ได้รับเชิญจากสมาคมการประพันธ์ฟิลิปปินส์ ให้ไปประชุมที่บาเกียว
             - ได้รับเชิญจากบริษัทการบิน SWISS AIR และรัฐบาลสวิสให้ไปเยือนประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ผลงาน/เกียรติคุณ/รางวัลอื่นๆ
         มาลัย ชูพินิจ เป็นนักเขียนคนหนึ่งในจำนวนน้อยคนของนักเขียนไทยที่สามารถเปลี่ยนแนวการเขียนไปต่างๆ แนว และเขียนได้ดีทุกประเภท
         เนื่องจากมาลัย ชูพินิจ เป็นทั้งนักหนังสือพิมพ์และนักประพันธ์ ในขณะเดียวกัน งานเขียนของเขาจงมีทั้งประเภทบันเทิงคดีและสารคดี ซึ่งจำแนกออกได้เป็น ๖ ประเภท คือ
         ๑. นวนิยาย
         นวนิยายของมาลัย ชูพินิจ มีทั้งประเภทเพ้อฝันและสมจริง นวนิยายที่เขียนในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๙ -๒๔๘๐ ส่วนใหญ่เป็นนวนิยายเพ้อฝัน และที่เขียนในระหว่างพ.ศ.๒๔๘๐-๒๕๐๒ ส่วนใหญ่เป็นนวนิยายสมจริง
         นวนิยายเพ้อฝันของมาลัย ชูพินิจ จำแนกออกเป็นประเภทย่อยได้ดังนี้
             ๑. นวนิยายประเภทรักโศก เนื้อเรื่องเกี่ยวกับความรักระหว่างหนุ่มสาว จบลงด้วยความเศร้า เช่น ธาตุรัก, เกิดเป็นหญิง เป็นต้น
             ๒. นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เป็นนวนิยายที่นำโครงเรื่องมาจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์หรือพงศาวดาร เป็นผลงานประเภทแรกที่สุดของมาลัย ชูพินิจ ซึ่งเขียนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ ได้แก่ สงครามชิงนางและศึกอนงค์ ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๘๒ ได้เขียนเรื่อง ยอดทหารหาญ และหลังจากที่หันไปสนใจเขียนนวนิยายสมจริงเป็นเวลาหลายปี เขาได้กลับมาเขียนนวนิยายประเภทนี้อีกครั้งหนึ่งคือเรื่องล่าฟ้า
             ๓. นวนิยายอิงวรรณคดี คือน วนิยายที่เขียนโดยนำโครงเรื่องมาจากวรรณคดี มีเพียงเรื่องเดียวคือ ชายชาตรี
             ๔. นวนิยายสมจริงของมาลัย ชูพินิจ จำแนกออกเป็นประเภทย่อยได้ดังนี้
                 ๔.๑ นวนิยายแสดงแนวคิด คือนวนิยายที่สร้างเนื้อเรื่องจากแนวความคิด เพื่อแสดงให้เห็นแนวความคิดนั้น ๆ เด่นชัดขึ้น เช่นเรื่อง ความรักลอยมา แสดงแนวคิดว่า ผู้ที่สามารถดำรงชีวิตให้เป็นสุขได้ จะต้องรู้จักตนเองและความต้องการของตนเองให้แน่นอน เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตนไปตามแนวทางที่ตนต้องการ และต้องไม่เรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างจากชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
                 ๔.๒ นวนิยายแสดงปัญหา คือนวนิยายที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เช่น ความเลวร้ายทางการเมือง, ความเหลวแหลกของสังคม, การปฏิรูปที่คุมขัง, การหย่าร้างและปัญหาเยาวชน เป็นต้น นวนิยายประเภทนี้ มาลัย ชูพินิจเขียนไว้หลายเล่ม เช่นเรื่อง ลมแดง แสดงปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายทุนและกรรมกร เป็นต้น
                 ๔.๓ นวนิยายสังคม คือนวนิยายที่หยิบยกส่วนหนึ่งของสังคมมาเป็นเนื้อเรื่อง เช่น ทุ่งมหาราช เป็นประวัติของตำบลคลองสวนหมาก จังหวัดกำแพงเพชร สะท้อนภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านในตำบลนั้น
                 ๔.๔ นวนิยายผจญภัย คือนวนิยายที่เกี่ยวกับการเสี่ยงโชคและงานที่เต็มไปด้วยอันตรายและการเสี่ยงภัย นวนิยายประเภทนี้ได้แก่ ล่องไพร และลูกไพร
                 ๔,๕ นวนิยายนักสืบ คือนวนิยายที่เกี่ยวกับการสอบสวนสืบสวนเรื่องลึกลับต่างๆจากร่องรอยหรือการไขปัญหา นวนิยายประเภทนี้มีน้อยมาก ได้แก่เรื่อง เสือจำศีล และชายสามหน้า
         ๒. เรื่องสั้น
         มาลัย ชูพินิจ เริ่มเขียนเรื่องสั้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยเรื่องสั้นแรกสุดของเขาเท่าที่ค้นพบคือ หล่อนผู้ก่อกรรม ใช้นามปากกา ม.ชูพินิจ พิมพ์ในนิตยสารศัพท์ไทย ต่อจากนั้นเขาก็มีผลงานประเภทนี้ลงพิมพ์ติดต่อกันเรื่อยมา โดยไม่ขาดระยะในนิตยสารและหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
         เรื่องสั้นของมาลัย ชูพินิจ แบ่งออกเป็น ๔ ลักษณะ คือ
             ๒.๑ เรื่องสั้นประเภทไม่มีโครงเรื่อง คือเรื่องสั้นประเภทเหตุการณ์ที่มีความหมาย เป็นเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เป็นประสบการณ์ของตัวละคร ซึ่งในสายตาของผู้อื่นแล้วไม่แลเห็นความสำคัญอะไร แต่ผู้เขียนทำให้สำคัญ เช่นเรื่อง แก้เผ็ด เป็นเรื่องของหญิงชายคู่หนึ่งซึ่งต่างคนต่างถูกคนรักทรยศต่อความรัก ทั้งสองได้พบกันโดยบังเอิญและเมื่อได้รู้ว่า แต่ละคนผิดหวังมาจากความรักแล้วก็ตัดสินใจร่วมชีวิตใหม่กันต่อไป
             ๒.๒ เรื่องสั้นประเภทแสดงโครงเรื่อง คือเรื่องสั้นที่ต้องการแสดงโครงเรื่องเป็นสำคัญ มาลัย ชูพินิจ เขียนเรื่องสั้นประเภทนี้มากที่สุด และส่วนใหญ่มีตอนจบเป็นแบบหักมุมหรือพลิกความคาดหมายของผู้อ่าน เช่นเรื่อง อวสานของฤดูร้อน
             ๒.๓ เรื่องสั้นประเภทแสดงแนวคิด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักและการแต่งงาน เช่น เรื่องวันแต่งงาน แสดงแนวคิดว่า การแต่งงานเป็นสิ่งที่สวยงามเมื่อยังใหม่หรือเมื่อยังมีความรักอยู่เท่านั้น แต่เมื่อความรักเสื่อมคลายลง ถ้าปราศจากความซื่อตรงจงรักและการให้อภัยแล้ว ชีวิตแต่งงานก็ไม่ยั่งยืน
             ๒.๔ เรื่องสั้นประเภทแสดงความสำคัญของฉาก ให้ฉากเป็นสิ่งสำคัญของเรื่อง เป็นการแสดงถึงอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่อชีวิตมนุษย์ มาลัย ชูพินิจ เขียนเรื่องประเภทนี้ได้ดี โดยมักกำหนดให้ฉากหรือสิ่งแวดล้อมเป็นผู้แก้ปัญหาชีวิตของมนุษย์หรือเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ เช่นเรื่อง น้ำเหนือ
         ๓. บทละคร
         งานเขียนประเภทบทละครของมาลัย ชูพินิจ มี 2 ประเภท คือ
             ๓.๑ บทละครพูด บทละครพูดของมาลัย ชูพินิจ มีจุดมุ่งหมายคือเขียนให้อ่านเพื่อความบันเทิง มิใช่เขียนเพื่อการแสดงบนเวที ซึ่งเขาได้ประพันธ์ไว้มากมายได้แก่ นักเลงดี, ละครพูด, วันว่าง, แม่เลี้ยง, เพลงลา, รังรัก, การทดลองของแพรว, ฎีกา 5 บาท, เมืองใหม่, ทายาทรัก, เลขานุการินี, สามชาย, ลิปสติก, ตามใจท่าน, ช.ต.พ., ไข้รายแรก, นักย่องเบา, ยามพักฟื้น, วันดีวันร้าย, แขกนอกบัญชี, ลึกลับตลอดกาล, บ้านของเรา, สองสมัย, ไล่เบี้ย, แม่ปลาช่อน, ครูมวย, รสนิยม, นักเรียนใหม่, ชีวิตเช่า, สองสมัย ฯลฯ
             ๓.๒ บทละครวิทยุและโทรทัศน์ บทละครวิทยุของมาลัย ชูพินิจ มีเพียงเรื่องเดียวและมีชื่อเสียงมาก คือเรื่อง ล่องไพร ส่วนบทละครโทรทัศน์นั้น มาลัย ชูพินิจ เริ่มเขียนเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒  ด้วยเรื่อง สกุณาจากรัง แสดงโดยคณะกัญชลิกา ออกอากาศ ณ สถานีวิทยุไทยโทรทัศน์ และหลังจากนั้นได้เขียนบทละครให้เป็นประจำเฉลี่ยประมาณเดือนละ ๑ เรื่อง
              บทละครที่เขียนให้แก่คณะกัญชลิกาใช้ชื่อว่า ละครชีวิตครอบครัว เนื้อเรื่องเกี่ยวกับปัญหาชีวิตครอบครัว จุดมุ่งหมายเพื่อแสดงคติสอนใจและเพื่อแนะแนวทางแก้ปัญหาชีวิต ส่วนใหญ่เป็นบทละครที่เขียนขึ้นใหม่เพื่อการแสดงโดยเฉพาะ มีเพียงบางเรื่องที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของตนเอง เช่นเรื่อง ตายทั้งเป็นและธาตุดิน เป็นต้น
              มาลัย ชูพินิจ เขียนบทละครโทรทัศน์ให้กับคณะกัญชลิกาติดต่อกันมาเป็นเวลาประมาณ ๓ ปี จึงหยุดเขียน เนื่องจากมีงานด้านอื่นเพิ่มขึ้น บทละครที่เขียนให้แก่คณะกัญชลิกาส่วนหนึ่ง ได้แก่เรื่อง นามหล่อนคือหญิง , สามชีวิต,  แกะในหนังราชสีห์, โคกตะแบก, ล็อตเตอรี่ที่หนึ่ง และเลขานุการใหม่
               นอกจากคณะกัญชลิกาแล้ว มาลัย ชูพินิจ ยังเขียนให้แก่คณะพงษ์ลดา พิมลพรรณ และแก่สถาบันต่างๆ ซึ่งแสดงเพื่อการกุศล เช่น มูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เช่นเรื่อง ฝันร้าย เขียนจากเค้าโครงเรื่องของคุณหญิงอุศนา ปราโมช แสดงเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๐๒
         ๕. งานเขียนคอลัมน์ประเภทต่างๆ
         งานเขียนคอลัมน์ของมาลัย ชูพินิจ มีดังนี้
             - คอลัมน์ ระหว่างบรรทัด เป็นคอลัมน์ที่มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมตั้งแต่การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา กีฬา และอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเรา
             - คอลัมน์ ระหว่างยก เป็นบทนำที่เขียนเป็นประจำในหนังสือพิมพ์สังเวียนซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ เกี่ยวกับวงการกีฬาและเน้นหนักในเรื่องมวยเป็นสำคัญ โดยใช้นามปากกาว่า สมิงกะหร่อง เป็นบทนำประเภทที่มีชื่อเรื่อง
             - คอลัมน์ น้อย อินทนนท์ เขียน...  เป็นคอลัมน์ประจำในสยามสมัยรายสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่ฉบับครบรอบปีที่ ๑๕ เป็นต้นมา เป็นคอลัมน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสาธารณกิจเป็นส่วนใหญ่ โดยเน้นหนักไปในเรื่องการเมืองภายในประเทศ วิธีเขียนจึงมีลักษณะเป็นแบบวิเคราะห์ประกอบกับแบบพรรณนา
             - คอลัมน์ หมายเหตุ เป็นคอลัมน์ที่เปิดขึ้นในสยามสมัยรายสัปดาห์ โดยมาลัย ชูพินิจ เขียนแทน ธนาลัย ซึ่งหยุดพักการเขียนเพื่อการอุปสมบท ใช้นามปากกาว่า น้อย อินทนนท์ ใช้วิธีเขียนแบบบทความประเภทวิเคราะห์ผสมกับพรรณนา เนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง
             - คอลัมน์ พูดกันฉันเพื่อน ใช้นามปากกา ผู้นำ ในไทยใหม่ (รายวัน) บางฉบับ เช่น ฉบับที่ ๓ มกราคม ๒๔๗๓ แสดงข้อคิดเห็นว่าผู้ที่ก้าวไปสู่ความมีชื่อเสียงด้วยการโป้ปดมดเท็จตลบตะแลงย่อมจะทานอานุภาพความจริงไปไม่ได้ และจะต้องตกลงมาอย่างไม่เป็นท่าในวันหนึ่ง
             - คอลัมน์ของนักคิด ใช้นามปากกา นายดอกไม้, ม.ชูพินิจ แสดงทัศนะและปรัชญาชีวิตอย่างสั้นๆ ในหนังสือพิมพ์ผู้นำ
             - คอลัมน์ ประชาชน เป็นคอลัมน์แสดงแง่คิดจากเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและสวัสดิภาพของประชาชน
             - คอลัมน์ ป.ล. เป็นคอลัมน์ที่มีลักษณะเด่นและนำชื่อเสียงมาสู่ผู้เขียนเป็นอย่างมาก
             - คอลัมน์ แว่นใจ ในพิมพ์ไทยรายเดือน ใช้นามปากกาต่างๆกัน เช่น จิตรลดา, ฮ.ฮ.ฮ, ก.ก.ก, ฐ.ฐ.ฐ แสดงข้อคิดและปรัชญาชีวิต
             - คอลัมน์ ชีวิตในเดือนนี้ ในปิยมิตรรายเดือน ใช้นามปากกา นายฉันทนา แสดงทัศนะและปรัชญาชีวิต
             - คอลัมน์ บทเรียนจากชีวิต ในพิมพ์ไทยรายเดือน ใช้นามปากกาต่างๆกัน เช่น น.น.น, ส.ส.ส แสดงทัศนะและปรัชญาชีวิต
             - คอลัมน์ อาณาจักรของข้าพเจ้า ในแสนสุข ใช้นามปากกา ม.ชูพินิจ แสดงทัศนะและปรัชญาชีวิต
             - คอลัมน์ เพื่อผู้หญิง ใช้นามปากกา เรไร เนื้อหาของคอลัมน์มีขอบเขตกว้างขวางมาก นับตั้งแต่การเย็บปักษ์ถักร้อย การบริหารร่างกาย แบบบ้านและแบบเครื่องเรือนเครื่องใช้สำหรับสตรีไปจนถึงแฟชั่นเครื่องแต่งกายของสตรีด้วย
             - คอลัมน์ ปัญหาชีวิต โดยผุสดี เป็นคอลัมน์สำหรับผู้หญิงอีกแบบหนึ่งในประชามิตรรายสัปดาห์ มาลัย ชูพินิจใช้วิธีเขียนแบบเป็นจดหมายจากพี่ถึงน้อง แนะนำแนวทางที่ควรประพฤติและปฏิบัติตนของหญิงวัยรุ่น ซึ่งนอกจากจะเกี่ยวกับความรัก การคบเพื่อนต่างเพศแล้ว ยังแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยอีกด้วย
            - คอลัมน์ เพื่อผู้ชาย โดยเรียมเอง ที่ประชาชาติรายสัปดาห์ เป็นข้อเขียนเกี่ยวกับทัศนะและเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผู้ชายควรรู้ รวมทั้งสอนกีฬาประเภทต่างๆ
            - คอลัมน์ บ้านและโรงเรียน โดยผุสดี ซึ่งลักษณะการเขียนแต่ละบทแต่ละตอนแสดงออกถึงความเข้าใจในจิตวิทยาของเด็กและความเอาใจใส่ของผู้เขียนที่มีต่อเยาวชนได้เป็นอย่างดีจนไม่น่าเชื่อว่าผู้เขียนเป็นผู้ชาย
            - คอลัมน์ ความในใจ โดยอุมา ในประชามิตร-สุภาพบุรุษ เป็นคอลัมน์ตอบปัญหาชีวิต ซึ่งส่วนมากเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว (สุธิรา สุขนิยม, 2532, ออนไลน์)
         ๕. สารคดี
         มาลัย ชูพินิจ มักเขียนสารคดีประเภทชีวประวัติบุคคลสำคัญของต่างประเทศ เช่น เรื่องโซเครตีส เจ้าลัทธิและมหาปราชญ์คนแรกแห่งกรีก ใช้นามปากกา ม.ชูพินิจ, เดวิด ทิฟวิงสโตน วีรบุรุษเอกของแอฟริกา ใช้นามปากกา นายดอกไม้, ความรักของจินตกวีเอกอิตาลี ใช้นามปากกา ผู้นำ เป็นต้น
         ในปี พ.ศ.๒๔๗๕ เขาเริ่มเขียนสารคดีเชิงข่าว มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกในขณะนั้น โดยเขียนแบบข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์คือใช้การพาดหัวแทนชื่อเรื่อง เช่น ญี่ปุ่นว่าจะรบอเมริกาแน่ในขั้นต้นจะยึดเกาะฮาวาย ซึ่งแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่แปลจากภาษาญี่ปุ่น เขียนโดย นายพลโท กิโอ คัตสุชาโต
         ในปีเดียวกัน เขาเขียนสารคดีท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกใน ผู้นำ คือเรื่องชีวิตของการท่องเที่ยวภาคเหนือ ซึ่งเป็นเรื่องการท่องเที่ยวครั้งใหญ่ของเขา
         สารคดีอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเขาทำขึ้นในระยะแรกคือ สารคดีภาพข่าว ซึ่งเป็นการรวบรวมภาพในเรื่องต่างๆกัน เช่น ชีวิตของพีระ, สงครามอิตาลี-อะบิสซิเนีย และจีนรบญี่ปุ่น เป็นต้น
         สารคดีที่นำชื่อเสียงมาสู่มาลัย  ชูพินิจ อย่างแท้จริงคือ สารคดีเบื้องหลังข่าว เรื่อง บันทึกจอมพลและเสือฝ้ายสิบทิศ
         ๖. งานแปล
         มาลัย ชูพินิจ เริ่มงานแปลตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ ผลงานแปลในระยะแรกเริ่มนี้ได้แก่ เรื่องสั้นชื่อ สามวันจากนารี ซึ่งตีพิมพ์ในศัพท์ไทย ฉบับเดือนมิถุนายน ๒๔๖๙ และสิเหน่ห์นางละคร ในสมานมิตรบันเทิง
         หลังจากนั้นเขาก็เริ่มสนใจในงานเขียนของมาเรีย คอเรลลี่(Marie Corelli) นักเขียนชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียง โดยทดลองแปลเรื่องสั้นก่อน เช่นเรื่อง ผู้คงแก่เรียน (The Stepping Stone) , ธาตุหญิง (The Withering of a Rose) และไปสวรรค์  (The Distance voice) เป็นต้น เมื่อได้ผลเป็นที่พอใจแล้วจึงเริ่มแปลและเรียบเรียงเรื่องเถ้าสวาท (Wormwood) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2471 แปลจบในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน แล้วมอบให้สำนักพิมพ์นายเทพปรีชาจัดพิมพ์จำหน่าย
         ผลงานชิ้นสำคัญต่อมาคือเรื่อง เต็ลมา  (Thelma) ของคอเรลลี่ เช่นเดียวกันในพ.ศ. ๒๔๗๙ ส่งพิมพ์เป็นตอนๆในสยามนิกร แต่หลังจากแปลได้เพียงภาคแรก สยามนิกรก็หยุดกิจการไปชั่วคราว ทำให้มาลัย  ชูพินิจ ชะงักการแปลไปด้วย จนกระทั่งสำนักพิมพ์พิพัฒน์พานิชมาติดต่อขอนำไปพิมพ์เป็นเล่ม เขาจึงแปลต่อให้จนจบในพ.ศ.๒๔๘๕
         นอกจากผลงานด้านการประพันธ์แล้ว ครูมาลัย  ชูพินิจ ยังมีผลงานที่อุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่สังคม โดยให้ความสนใจงานด้านการศึกษา และงานเกี่ยงกับเยาวชนการปฏิบัติเพื่อสังคม ดังนี้
             - กรรมการในคณะกรรมการฝ่ายการสื่อสารมวลชนของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วย การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
             - กรรมการบริหารมูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนในพระบรมราชินูปถัมภ์
             - กรรมการมูลนิธิราชประชาสมาสัย
             - กรรมการสภาสังคมสงเคราะห์ ในพระบรมราชินูปถัมภ์
             - ที่ปรึกษาสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์
             - กรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
             - อุปนายกสมาคมภาษาและหนังสือ
             - อุปนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (สันติ อภัยราช, 2562, ออนไลน์)
ผลงานชิ้นเอกของครูมาลัย ชูพินิจ
ผลงานชิ้นเอกของ ครูมาลัย ชูพินิจ นักประพันธ์ ชาวกำแพงเพชร ที่ฉายภาพบ้านเมืองคลองสวนหมากหรือนครชุมในอดีต ระหว่าง พ.ศ.๒๔๓๓-๒๔๙๓ ครูมาลัยเขียนเรื่องนี้จากความทรงจำรำลึก ความสำนึกในบุญคุณ และความรักในมาตุภูมิ ดังที่กล่าวไว้ในคำนำหนังสือว่าเรื่องทุ่งมหาราชเป็น “เสมือนบันทึกของเหตุการณ์ประจำยุคประจำสมัย ซึ่งผ่านมาในชีวิตของข้าพเจ้าและก่อนหน้าข้าพเจ้าขึ้นไป...” เนื่องจาก “ทุ่งมหาราช” เป็นวรรณกรรมที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนปากคลองสวนหมาก การต่อสู้กับภัยธรรมชาติและภัยพิบัตินานา ด้วยความทรหดอดทนด้วยหัวใจของนักสู้ผู้มีความรักอันยิ่งใหญ่ต่อบ้านเกิดเมืองนอน โดยครูมาลัยได้ผูกโครงเรื่องและดำเนินเรื่องผ่านการต่อสู่ของตัวละครเอกในเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพินิจพิจารณาบรรยายฉากด้วยภาษาที่งดงามของนักประพันธ์แล้ว 
จะมองเห็นภาพวิถีชีวิตของคนปากคลองสวนหมาก วัฒนธรรม การละเล่น การทำมาหากินของชาวบ้าน บุคคลสำคัญ และเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ได้อย่างชัดเจน ดังตัวอย่าง “...นั่นดงเศรษฐี ไม่มีใครรู้ว่าสร้างมาเมื่อไหร่ ร้างมาแต่เมื่อไหร่ แต่มันเป็นเครื่องหมายของปู่ย่าตายายก่อนๆ เราขึ้นไปก่อนปู่ยาทวดของเราขึ้นไป เป็นมรดกที่ทิ้งไว้ให้พวกคนไทยรุ่นหลังได้ระลึก...” “...นี่เองพะโป้ผู้ยิ่งใหญ่ พะโป้ผู้มีคุณแก่ชาวกำแพงเพชรโดยทั่วไปและคลองสวนหมากโดยเฉพาะ พะโป้ผู้นำฉัตรทองแต่ตะโก้งมาประดิษฐาน ณ ยอดพระบรมธาตุ...” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเรื่อง “ทุ่งมหาราช” เป็นวรรณกรรมท้องถิ่นของชาวกำแพงเพชรโดยแท้ ผู้อ่านสามารถมองเห็นภาพท้องถิ่นของชาวคลองสวนหมากหรือนครชุมในอดีต ซึ่งสะท้อนภาพประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งของกำแพงเพชรไว้ได้อย่างดี นอกจากเรื่อง “ทุ่งมหาราช” จะเป็นวรรณกรรมของท้องถิ่นแล้วยังได้รับยกย่องให้เป็นหนังสือดีหนึ่งใน ๑๐๐ เล่มที่คนไทยควรอ่าน
ครูมาลัย ชุพินิจ คือบุคคลสำคัญของจังหวัดกำแพงเพชร อีกท่านหนึ่ง
เอกสารอ้างอิง
http://www.sunti-apairach.com/book/book1pdf/booksec1_05.pdf
http://www.sunti-apairach.com/letter/index.php/topic,1007.0.html
43  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ประวัติ นายสันติ อภัยราช เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2023, 12:05:10 pm
                                                                          นายสันติ อภัยราช
 

ชีวประวัติ/ความเป็นมา
         ชีวิตวัยเด็ก
นายสันติ อภัยราช เป็นบุตรของนายเสรี อภัยราช  และ นางเสงี่ยม อภัยราช เกิดวันที่ ๔ ตุลาคม -๒๔๙๐  เป็นชาวกำแพงเพชร โดยกำเนิด   ในวัยเด็กมีความสนใจและชอบศึกษา ด้านภาษาและวรรณกรรม จากการอ่านวรรณคดี และวรรณกรรมตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือออก และเรียนรู้จากการฟังการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ประเภท  มุขปาฐะ จากปราชญ์ท้องถิ่น ผู้ใหญ่ พระภิกษุ และชอบท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ร่วมศึกษาจารึกที่พบในจังหวัดกำแพงเพชร ภาษาถิ่นของทุกอำเภอในเมืองกำแพงเพชร ขณะเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนพิบูลวิทยาคาร อำเภอคลองชลุง จังหวัดกำแพงเพชร มีนายอั๋น ทิมาสาร เป็นครูใหญ่ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุง ท่านมอบหมายให้ทำงานในโรงเรียนดูแลเอกสารหนังสือ จัดห้อง จัดหนังสือ แจกหนังสือ ดูแลกระดานชนวน ที่เด็ก ๆ ส่งมาตรวจสอบและเป็นผู้ ตรวจสอบว่ามีใครส่งบ้าง ใครเขียนถูกเขียนผิดอย่างไร เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๕ บิดาได้ย้ายมาเป็นปลัดอำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร ขณะนั้นกำแพงเพชรมี ๔ อำเภอ คือ อำเภอเมืองกำแพงเพชร อำเภอคลองขลุง อำเภอพรานกระต่าย อำเภอขาณุวรลักษบุรี มารดาเป็นแม่ค้าขายขนมหวาน ในตลาดคลองขลุง ตอนเช้าต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ทุกวัน เพื่อช่วยทำขนมหวาน เช่น วุ้น ตะโก้ ขนมฟักทอง ถั่วแปบ เป็นต้น ออกไปขายด้วยตนเอง ตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบ เมื่อได้เวลาแปดนาฬิกาจะต้องเดินไปโรงเรียน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นผู้ตั้งใจเรียนรู้ ได้รับความเมตตาจากครูทุกคน ให้เป็นหัวหน้าห้องมาโดยตลอด ในเวลาเย็นเมื่อกลับจากโรงเรียน ก็จะมาขายขนมที่มารดาทำในตอนกลางวันไปขายในตลาดและตามบ้านผู้คน ในตอนค่ำคุณย่าลำไย ซึ่งในอดีตเป็นนางเอกละคร ของพระยาสุจริตรักษา(ทองคำ) เจ้าเมืองตาก มีความสนใจในวรรณคดีไทย แต่ท่านอ่านหนังสือไม่ออก ท่านจึงจ้างให้อ่านให้ฟังทุกวัน จึงส่งผลให้นายสันติ อภัยราช สามารถจำวรรณคดีไทยได้หลาย ๆ เรื่อง และก่อให้เกิดความสนใจวรรณคดีไทยและวรรณกรรมไทยทุกเรื่องตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ
         เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ คุณพ่อได้ย้ายมาเป็นปลัดอำเภอเมืองกำแพงเพชร ทั้งครอบครัวได้ย้ายตามมาอยู่เมืองกำแพงเพชร คุณพ่อได้มอบหมายให้มีหน้าที่ซ่อมสามล้อรับจ้าง ซึ่งพ่อมีสามล้อให้เช่าจำนวนหลายสิบคัน ปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน เป็นเวลา ๖ ปี ทำให้ชำนาญ  คนปั่นสามล้อนั้น มีหลายคนที่มีความรู้มาก มีทั้งนักขุดพระ นักเลงเก่า นักมวย ทำให้ได้พบผู้คนอย่างหลากหลาย และด้วยมีบ้านติดกับ ลุงหอม รามสูต ลูกชายหลวงพิพิธอภัย (หวน) หลวงพิพิธอภัยเป็นบุตรพระยากำแพง(อ้น) เจ้าเมืองกำแพงเพชร ท่านให้ความเมตตามาก พาไปเที่ยวชมไร่ในเมืองเก่าด้วย ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เล่าเรื่องในอดีตให้ฟังตลอดการเดินทาง ทำให้มีโอกาสทราบเรื่องเมืองกำแพงเพชรในอดีตอย่างละเอียด
         ด้านการศึกษา
             ระดับประถมศึกษา เริ่มเรียนก่อนประถมศึกษา ที่โรงเรียนพิบูลวิทยาคาร ตำบลคลองขลุง อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร และระดับชั้นประถมปีที่ ๑ ถึงประถมปีที่ ๔
             ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนกำแพงเพชร “วัชรราษฎร์วิทยาลัย” อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
             ระดับอนุปริญญา วิทยาลัยครูพิบูลสงคราม อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
             ระดับปริญญาตรี การศึกษาบัณฑิต (ภาษาและวรรณคดีไทย) วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร ถนนสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร
             ระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นนทบุรี
         ด้านชีวิตครอบครัว
             สมรสกับนางจันทินี อภัยราช (จารุวัฒน์) อดีตอาจารย์ 3 ระดับ 8 โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม มีบุตร 1 คน ชื่อนายอรรถ อภัยราช อดีตพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดกำแพงเพชร (ถึงแก่กรรม)
         ด้านการทำงาน
             เริ่มรับราชการในตำแหน่ง ครูตรี โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย จังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๘ และดำรงตำแหน่งวิทยฐานะที่สำคัญดังนี้
             ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐  อาจารย์ ๑ โรงเรียนรัตนาธิเบศร์ นนทบุรี
             ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕    อาจารย์ ๒ โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม จังหวัดกำแพงเพชร
             ๒๔ กันยายน ๒๕๔๓    อาจารย์ ๓ โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม จังหวัดกำแพงเพชร
             ๑ เมษายน ๒๕๔๖       ครูเชี่ยวชาญ (คศ.4) โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม จังหวัดกำแพงเพชร
             และได้รับเกียรติ ให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร ตั้งแต่ปี ๒๕๔๑จนถึง ๒๕๕๔
ความชำนาญ/ความสนใจ
         ด้านการวิจัยส่งเสริมวรรณกรรม มีการสำรวจศึกษา สังเคราะห์  วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา ถ่ายทอด ส่งเสริม เอตทัคคะ แลกเปลี่ยน ด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา ของท้องถิ่นเมืองกำแพงเพชรและรวบรวมสร้างเป็นองค์ความรู้ ตีพิมพ์เพื่อให้ผู้อื่นได้ศึกษา       
         การอนุรักษ์วรรณกรรม มีการนำวรรณกรรมมาศึกษาไว้ในระบบออนไลน์ ให้คนมีความรัก ความหวงแหน และความเข้าใจ และภูมิใจในความเป็นคนไทย มีกิจกรรมศึกษาอย่างมีหลักการทำให้เกิดการอนุรักษ์ อย่างยั่งยืน
         ด้านงานฟื้นฟูวรรณกรรม มีการเลือกสรรวรรณกรรม ที่สูญหาย หรือกำลังเสื่อมสลาย ให้ความหมายและให้ความสำคัญ ต่อการดำเนินชีวิต ของผู้เกี่ยวข้อง โดยมีกิจกรรมที่ชัดเจนและเกิดประโยชน์ต่อสังคม
         นายสันติ อภัยราช เป็นผู้ที่มีองค์ความรู้ในด้านของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา  ภาษาวรรณกรรมท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้องกับเมืองกำแพงเพชร  ด้วยกระบวนการศึกษาค้นคว้าที่เป็นระบบ จัดทำเป็นข้อมูลองค์ความรู้ จึงทำให้เป็นผู้ที่ได้รับเชิญให้มีบทบาทในเรื่องดังกล่าวของทางจังหวัด อีกทั้งยังมีปณิธานในการทำนุบำรุงศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่นและยังมีความสามารถในการถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านั้นให้เป็นองค์ความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับเมืองกำแพงเพชร ผ่านทางการเป็นวิทยากรบรรยาย  ทั้งยังเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางสื่อออนไลน์ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้มีโอกาสในการเข้าศึกษาอย่างทั่วถึง
ผลงานสำคัญ/ที่สร้างชื่อเสียง
         นายสันติ  อภัยราช ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา ภาษาและวรรณกรรม ของท้องถิ่นเมืองกำแพงเพชร และจัดสร้างองค์ความรู้ นวัตกรรม หรือผลงานที่มีคุณภาพ สามารถนำไปเผยแพร่ในระดับประเทศหรือระดับนานาชาติอย่างมากมายผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตและและทางวิทยุ โทรทัศน์ และการเป็นวิทยากร
         นายสันติ  อภัยราช เป็นผู้ที่มีองค์ความรู้ที่ตกผลึกจากการศึกษาค้นคว้าพัฒนาตนเองและลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนทำให้เกิดชิ้นงาน นวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพ ตอบโจทย์และตอบสนองความต้องการของชุมชน และสังคม โดยมีการเผยแพร่ให้รับรู้รับทราบได้ในหลายช่องทางทั้งด้วยตนเอง เว็บไซต์ และสื่อสังคมออนไลน์ สามารถเปิดอ่านเพื่อการเรียนรู้ได้ทั่วโลก ผลงานสำคัญมีดังนี้
         ๑) การวิจัยและพัฒนา ตีพิมพ์เผยแพร่ การบรรยายในด้านภาษาและวรรณกรรม กว่า 30 เรื่อง
         ๒) จัดการแสดง แสง สี เสียง ในงานประเพณีนบพระเล่นเพลง   งานแข่งเรือ  และงานประเพณีลอยกระทง นำวรรณกรรมท้องถิ่นมาเสนอในรูปแบบการแสดง แสง สี เสียง โดยเฉพาะงานนบพระเล่นเพลง มากกว่า ๑๐ ปี ในตำแหน่งผู้เขียนบท และผู้กำกับการแสดงทุกปี
         ๓) การเป็นวิทยากร นำเสนอเรื่องของภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่นในทุกระดับการศึกษาต่อเนื่องยาวนานกว่า ๔๐ ปี
         ๔) การดำเนินรายการโทรทัศน์วัฒนธรรม ทางเคเบิลท้องถิ่น ต่อเนื่องมากว่า ๑๐ปี จำนวนหลายร้อยเรื่อง
         ๕) การดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ ทางอินเตอร์เน็ต ทั้งระบบ เรื่อง ภาพ และวิดีโอ เพื่อเผยแพร่ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่นหลายร้อยเรื่อง  
         ๖) การสร้างเครือข่ายสภาวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร
         ๗) การสร้างเครือข่ายสภาวัฒนธรรมอำเภอ ๑๑ อำเภอ
         ๘) การสร้างเครือข่ายสภาวัฒนธรรมตำบล ๒๘ ตำบล
         ๙) การสร้างเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้ภาษาไทย จังหวัดกำแพงเพชร
         ๑๐) การสร้างเครือข่ายสโมสรฝึกการพูดกำแพงเพชร ในรอบ ๔๔ปี มากกว่าหมื่นคน
         ๑๑) การสร้างเครือข่ายชมรมนักกลอนนครชากังราว
         ๑๒) การสร้างเครือข่ายองค์การอาสาประชาธิปไตยกำแพงเพชร
          ๑๓) จัดตั้งชมรมสตรองจิตพอเพียงต้านทุจริต ของ ป.ป.ช.จังหวัดกำแพงเพชร ทุกอำเภอ
         ๑๔) แผนการสอนและเอกสารประกอบการสอนในรายวิชาการพูด ผลงานทางวิชาการระดับ 8
         ๑๕) แผนการสอนและเอกสารประกอบการสอนในรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่น ผลงานทางวิชาการระดับ 9
         ๑๖) เอกสารและตำราทางวิชาการ จำนวน 107 เล่ม ซึ่งทุกเล่มสามารถเปิดอ่านได้  จากเว็บไซต์
         ๑๗) จดหมายเหตุทางวัฒนธรรมกำแพงเพชร ซึ่งรวบรวมเรื่องราวของจังหวัดกำแพงเพชรและเรื่องทั่วไปที่มีประโยชน์ต่อสังคม
         ๑๘) โทรทัศน์วัฒนธรรม เป็นการบันทึกวิดีทัศน์เรื่องราวสำคัญต่าง ๆ จำนวน 708 เรื่อง ตัวอย่างเช่น พระมหากษัตริย์กับเมืองกำแพงเพชร แหล่งท่องเที่ยวและภูมิปัญญากำแพงเพชร วัดโบราณในจังหวัดกำแพงเพชร คหกรรมศิลป์ในจังหวัดกำแพงเพชรการแสดงพื้นบ้านจังหวัดกำแพงเพชรวัฒนธรรมประเพณีในจังหวัดกำแพงเพชรพระเครื่องเมืองกำแพงเพชรบุคคลดีเด่นเมืองกำแพงเพชร การแสดงแสงสีเสียง การแสดงของนักเรียน เพลงกับเมืองกำแพงเพชร มหกรรมวัฒนธรรมภาคเหนือ เป็นต้น
ผลงาน/เกียรติคุณ/รางวัล อื่น ๆ
         ผลงาน (ความเชี่ยวชาญภูมิปัญญาด้านภาษา วรรณกรรม และ วัฒนธรรม ประเพณี) เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาและพัฒนาสังคม
             - ผลงานเรื่อง งานวิจัยวรรณกรรมท้องถิ่นเรื่อง การแสดงพื้นบ้านของชุมชนโบราณกำแพงเพชร โดยรับทุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พิมพ์เผยแพร่ ๒ ครั้ง จำนวน ๓๕๑ หน้า ได้ใช้เป็นแบบเรียน และแนวทางการวิจัย ทางภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น จากหลายสถาบัน
             - ผลงานเรื่อง งานวิจัยและถ่ายถอด เอกสารจดหมายเหตุเรื่องเมืองกำแพงเพชร ใบบอกในสมัยรัชกาลที่ ๕ จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
             เล่มที่ ๑ จำนวน ๘๕ หน้า พิมพ์ ๑,๐๐๐ เล่ม
             เล่มที่ ๒ จำนวน  ๖๘ หน้า พิมพ์ ๑,๐๐๐ เล่ม
             - ผลงานเรื่อง วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดกำแพงเพชร ( ทำหน้าที่บรรณาธิการ) จำนวน ๓๐๗ หน้า จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม เป็นเอกสารอ้างอิง โดยทั่วไป
             - งานศึกษาวิจัย เรื่อง ประวัติความเป็นมาของศาลากลางจังหวัดกำแพงเพชร ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสด็จวางศิลาฤกษ์ศูนย์ราชการจังหวัดกำแพงเพชร วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ จำนวน ๕๗ หน้า พิมพ์จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม
             - งานศึกษา วิเคราะห์วิจัย ถ่ายถอด จารึกที่พบในเมืองกำแพงเพชร ปีพุทธศักราช ๒๕๔๕ จำนวน ๑๐๔ หน้า จำนวนพิมพ์ ๕๐๐ เล่ม จำหน่ายจ่ายแจกไปทั่วประเทศ
             - งานศึกษาวิจัย เรื่องเดินเท้าสำรวจถนนพระร่วง ด้วยระบบ GPS. สำรวจด้วยดาวเทียม จำนวน ๑๓๓ หน้า จำนวนพิมพ์ ๑,๐๐๐ เล่ม เผยแพร่ ไปทุกชุมชนในจังหวัดกำแพงเพชร และผู้สนใจทั่วไป
             - ประมวลภาพ ฝีพระหัตถ์ เสด็จประพาสต้นกำแพงเพชร เมื่อครบร้อยปี พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จเมืองกำแพงเพชร ๑๒๐ หน้า พิมพ์จำนวน ๕๐๐ ฉบับ เผยแพร่ไปทั่วประเทศ
             - งานวิจัย ตามรอยเสด็จประพาสต้น พระพุทธเจ้าหลวง ณ เมืองกำแพงเพชร จำนวน ๑๔๙ หน้า พิมพ์จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม เป็นแบบเรียน รายวิชาภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น
             - งานศึกษาค้นคว้า วิจัย เรื่องหนองปลิง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาตำบลหนองปลิง จำนวน ๙๗ หน้า จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม เป็นเอกสารแบบเรียนและอ้างอิงโดยทั่วไป
             - งานศึกษาค้นคว้า วิจัย เรื่องคณที พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาตำบลคณที จำนวน ๘๕ หน้า จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม เป็นเอกสารแบบเรียนและอ้างอิงโดยทั่วไป
             - งานศึกษาค้นคว้า วิจัย เรื่องนครชุม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาตำบลนครชุม จำนวน ๘๕หน้า จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม เป็นเอกสารแบบเรียนและอ้างอิงโดยทั่วไป
             - งานศึกษาค้นคว้า วิจัย เรื่องอำเภอไทรงาม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาไทรงาม จำนวน ๑๐๓ หน้า จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม เป็นเอกสารแบบเรียนและอ้างอิงโดยทั่วไป
             - งานศึกษาค้นคว้า วิจัย เรื่องอำเภอคลองขลุง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาอำเภอคลองขลุง จำนวน ๑๒๐ หน้า จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม เป็นเอกสารแบบเรียนและอ้างอิงโดยทั่วไป
             - งานศึกษาค้นคว้า วิจัย เรื่องอำเภอพรานกระต่าย พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาอำเภอพรานกระต่าย จำนวน ๑๔๐ หน้า จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม เป็นเอกสารแบบเรียนและอ้างอิงโดยทั่วไป
             - งานศึกษาค้นคว้า วิจัย เรื่องอำเภอลานกระบือ พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาอำเภอลานกระบือ จำนวน ๑๗๐ หน้า จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม เป็นเอกสารแบบเรียนและอ้างอิงโดยทั่วไป
            
            
             - ผลงานที่ริเริ่มสร้างสรรค์ นำภาษาและวัฒนธรรม ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถิ่น นำเสนอทางรูปแบบ วิดีโอ และ อินเตอร์เน็ต ทำให้ผู้สนใจทั่วโลกได้ชมเรื่องราวของความเป็นไทย
         ผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคม (ระดับชุมชน/ท้องถิ่น/อำเภอ/ประเทศ)
        ระดับประเทศ
             - ผลงานเรื่อง งานวิจัยวรรณกรรมท้องถิ่นเรื่อง การแสดงพื้นบ้านของชุมชนโบราณกำแพงเพชรโดยรับทุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พิมพ์เผยแพร่ ๒ ครั้ง จำนวน ๓๕๑ หน้า ได้ใช้เป็นแบบเรียน และแนวทางการวิจัย ทางภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น จากหลายสถาบัน
             - งานโทรทัศน์วัฒนธรรมทำหน้าที่ เขียนบท กำกับบท และวิทยากรบรรยาย เผยแพร่ทาง เคเบิลท้องถิ่น ทั่วประเทศ และทั่วโลก ความยาว ประมาณ ๑๕ – ๓๐ นาที ในเรื่องของ
             - พระมหากษัตริย์กับเมืองกำแพงเพชร จำนวน ๑๑ ตอน
             - แหล่งท่องเที่ยวและภูมิปัญญากำแพงเพชร จำนวน ๔๑ ตอน
             - วัดโบราณในจังหวัดกำแพงเพชร จำนวน ๕๒ ตอน
             - คหกรรมศิลป์ในจังหวัดกำแพงเพชร จำนวน ๔๑ ตอน
             - การแสดงพื้นบ้านจังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 12 ตอน
             - วัฒนธรรม ประเพณีในจังหวัดกำแพงเพชร ๒๑ ตอน
   และอื่นๆอีกจำนวนมาก
             - งานนำเสนอรายการโทรทัศน์วัฒนธรรม ทางอินเตอร์เนต วิดีโอ กูเกิล รวมงานภาษาและวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น จำนวน หลายร้อยเรื่อง

         เครื่องราชอิสริยาภรณ์/ เกียรติคุณ / รางวัลที่เคยได้รับ
         เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่ได้รับ
             - ป.ม. ประถมาภรณ์มงกุฎไทย
             - ป.ช. ประถมาภรณ์ช้างเผือก
         เกียรติคุณ ดำรงตำแหน่งและเคยดำรงตำแหน่ง
             - อาจารย์ 3 ระดับ 9 กรมสามัญศึกษา (สพท.กำแพงเพชร)
             - ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร
             - ผู้ทรงคุณวุฒิของสภาวิจัยแห่งชาติ
             - ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร
             - ผู้ทรงคุณวุฒิสภาวัฒนธรรมภาคเหนือ
             - ผู้ทรงคุณวุฒิของสำนักงานการศึกษากำแพงเพชร เขต 1
             - ผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร
             - ผู้ทรงคุณวุฒิของสำนักงานที่ดินจังหวัดกำแพงเพชร                        
ผู้ทรงคุณวุฒิของการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร
ผุ้ทรงคุณวุฒิของการศึกษานอกโรงเรียนและการศึกษาตามอัธยาศัย
ผุ้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
ผู้ทรงตุณวุฒิผังเมืองจังหวัดกำแพงเพชร
ผุ้ทรงคุณวุฒิของป.ป.ช.กำแพงเพชร
            - รองประธานสภาวัฒนธรรมภาคเหนือ
             - ครูต้นแบบ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
         รางวัลที่เคยได้รับ
             - ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร
             - ครูแม่แบบภาษาไทยดีเด่นระดับประเทศ
             - คนดีศรีกำแพงเพชร
             - ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมกำแพงเพชร
             - ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม
             - บุคลดีเด่นด้านวัฒนธรรม
             - บุคคลดีเด่นแห่งปี 2543 จากหนังสือพิมพ์ไท สยาม
             - บุคคลเกียรติยศ จากหนังสือพิมพ์ประชาไทย
                ศิษย์เก่าเกียรติยศ โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม
            ศิษย์เก่าเกียรติยศ ขุนพลพิบูลสงคราม
   ครูเจ้าฟ้ามหาจักรี (ครูขวัญศิษย์)
             รางวัลวชิราชากังราว จากสมาคม นักหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนกำแพงเพชร
   รางวัลเชิดชูเกียรติศิลปินท้องถิ่น ศรืสุวรรณภิงคาร สาขาวรรณศิลป์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร
             - ได้รับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (วัฒนธรรมศึกษา)จากมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
             - ได้รับรางวัลไปศึกษา ดูงานด้านวัฒนธรรม ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
การดำเนินชีวิต
          เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ บิดาได้ย้ายกลับมาเป็นปลัดอำเภอเมืองกำแพงเพชร อีกครั้ง ได้กลับมาเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่โรงเรียน กำแพงเพชร “วัชราษฎร์วิทยาลัย” โรงเรียนชายประจำจังหวัดกำแพงเพชร ในขณะนั้นเมื่อมาอยู่กำแพงเพชร เนื่องจากกำแพงเพชรเป็นเมืองเก่า ในวันหยุดทุกสัปดาห์ ได้ตามผู้ใหญ่ไปศึกษาเมืองโบราณอย่างเข้าใจ โดยละเอียด ได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆจากเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร ในขณะนั้นเนื่องจากไปเป็นลูกศิษย์ของท่านอย่างละเอียด ทุกเรื่องจนจบชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๓ ในระหว่างเรียนเนื่องจากเป็นคนพูดน้อย แต่ชอบเล่านิทาน ในระหว่างพักเที่ยงจึงมีเพื่อนมานั่งล้อมวงฟังนิทานกันทุกวัน จนครูประจำชั้นให้ทำหน้าที่สอนแทน เมื่อครูติดธุระเป็นเหตุให้ได้รับเลือกตั้งให้เป็นหัวหน้าชั้นทุกปี
          เมื่ออายุได้ราว ๑๔– ๑๕ ปี ได้ศึกษาดนตรีสากล ดนตรีไทย และมวยไทย อย่างละเอียด จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จัดว่าเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมากคนหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อจบการศึกษาโรงเรียนและจังหวัดกำแพงเพชร ได้คัดเลือกคนที่เหมาะสมที่จะเป็นครู และเรียนเก่งที่สุด ไปเรียนครู ที่วิทยาลัยครูพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก เรียนอยู่ ๔ ปี โดยเลือกวิชาภาษาและวรรณคดีไทย เป็นวิชาเอก ระยะเรียนได้ออกค่ายชนบท บ่อยมาก ไปฝึกสอนโรงเรียนที่ไกลที่สุด เป็นหัวหน้าหน่วยฝึกสอน ทั้งประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาและประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง ผลการเรียนอยู่ระดับค่อนข้างดี
          เมื่อจบระดับ ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูงจากวิทยาลัยครูพิบูลสงครามแล้ว บิดาซึ่งปลัดอำเภอเสียชีวิต จึงไปหางานทำในกรุงเทพตามแบบฉบับของ เด็กบ้านนอก และไปสอบเข้าเรียนต่อวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร ในภาคค่ำ ในสาขาวิชาภาษาและวรรณคดีไทยเหมือนเดิม ตอนเช้าไปสอนหนังสือโรงเรียนเอกชน
ที่โรงเรียนศึกษาวิทยา สีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ตอนเย็นไปเรียน ที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร  ขณะเรียนได้อะไรมากมายทั้งด้านความรู้และประสบการณ์ เปลี่ยนโรงเรียนมาสอนที่โรงเรียนเกษมพิทยา คลองตัน กรุงเทพ ให้ใกล้วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตรมากขึ้น เพื่อสะดวกในการเดินทาง โดยเดินทางโดยเรือในคลองแสนแสบ เมื่อจบการศึกษาได้ปริญญาการศึกษาบัณฑิตสาขาภาษาและวรรณคดีไทย
          ไปสอนที่โรงเรียนพณิชยการมักกะสัน ดินแดง กรุงเทพ ๓ ปี ไปสอนโรงเรียนช่างกลสยาม ท่าพระ กรุงเทพอีก ๓ ปี จึงสอบบรรจุเข้ารับราชการในปีการศึกษา ๒๕๑๘ ที่โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย กรุงเทพ ได้ปีเศษ เกิดเหตุการณ์ วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ถูกย้ายมาอยู่ชานเมืองนนทบุรี โรงเรียนเล็กๆในขณะนั้น คือโรงเรียนรัตนาธิเบศร นนทบุรี ทำการสอนอยู่ที่โรงเรียนรัตนาธิเบศรจนกระทั่งพุทธศักราช ๒๕๓๕ ขณะทำงานได้ศึกษาด้วยตนเองที่หอสมุดแห่งชาติ และหอจดหมายเหตุเกือบทุกวัน ในระหว่างนั้นได้ศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราชเป็นรุ่นแรก๓ปีจบได้รับปริญญานิติศาสตรบัณฑิตอย่างภาคภูมิใจ
          ได้ตั้งใจไว้ว่าเมื่อมีประสบการณ์ พอสมควรแล้วจะกลับมาพัฒนาบ้านเมืองของตนเอง เมื่อถึงเวลาจึงขอย้ายมาดำรงตำแหน่งอาจารย์ ๒ ระดับ ๖ ที่โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม จังหวัดกำแพงเพชร ได้ลงพื้นที่ ทำงานด้านภาษา วรรณกรรม และวัฒนธรรมอย่างจริงจังและเต็มความสามารถ จนกระทั่งเป็นสัญลักษณ์ ของผู้รู้ในเมืองกำแพงเพชร
          ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ ทำงานได้รับผลดีมากมาย จึงได้รับคัดเลือก จากกรมสามัญศึกษา ให้ไปศึกษาดูงานด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ณ ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
          ได้เลื่อนระดับเป็นอาจารย์ ๓ ระดับ ๘ ในปีการศึกษา ๒๕๔๓ และได้เลื่อนเป็นอาจารย์ ๓ ระดับ ๙ ในวิชาภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น ในปีการศึกษา ๒๕๔๖ และได้รับเกียรติคุณอย่างมากมายในที่สุดหลังจากการทำงานอย่างหนัก
        หลังเกษียณอายุราชการ อาจารย์สันติ อภัยราช  ยังเป็นวิทยากร อีกหลายแห่ง อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ศูนย์อบรมคุณธรรมวัดหนองปลิง  โรงเรียนเกือบทุกโรงเรียนในจังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดใกล้เคียง เทศบาล   องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด หน่วยงานราชการเกือบทุกแห่ง และทำหน้าที่โค้ช ชมรมสตรองจิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดกำแพงเพชร และจัดรายการวิทยุ ณสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดกำแพงเพชร วิทยากรสโมสรฝึกการพูดกำแพงเพชร จนถึงปัจจุบัน และตั้งใจว่าจะทำงานให้ความรู้แก่ผู้สนใจ ตลอดไป จนไม่สามารถทำได้
        
44  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / สาวคนเก่งคนดี ในทุกหน นางฟ้าทันตกรรมของทุกคน ทำฟันจนงดงามด้วยจริงใจ ทุกทุกคนรักใ เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2023, 10:23:29 am
สาวคนเก่งคนดี ในทุกหน
นางฟ้าทันตกรรมของทุกคน
ทำฟันจนงดงามด้วยจริงใจ
ทุกทุกคนรักใคร่ไมตรีจิต
เธอคือมิตรของทุกคนอย่างสดใส
สอนรุ่นน้องดูแลน้องไม่เลือกใคร
เกษียณไปใครเล่าจะดูแล


 ผ่อง สีม่วงนางฟ้าโอพีดี
เป็นศักดิ์ศรี รับผิดชอบตามกระแส
ทำสะอาดพื้นงามจับดวงแด
เอกสารตามดูแลทุกผู้คน
ประสานงานอย่างรวดเร็วเป็นที่รัก
หมอ พยาบาล ประจักษ์ทุกแห่งหน
คนดีสีดอกปีปรางวัลตน
คนทุกคนรักเธอเสมอไป


 นางฟ้าชุดขาวที่พราวพักตร์
อรอนงค์จงรักองค์กรได้
หัวหน้าใหญ่พยาบาลสำราญใจ
มีวินัยเสน่ห์นักภักดิ์แต่เธอ
ดอกเตอร์ อรอนงค์.กลางนภา
มีศรัทธาดีงามสม่ำเสมอ
จิตใจดี อารมณ์ดีใครพบเจอ
ต้องรักเธอแนบสนิทใน     จิตใจ
มนุษยสัมพันธ์กลั่นจากจิต
มีชีวิตเพื่อทุกคนไม่สงสัย
ประสานงานยอดเยี่ยมด้วยฤทัย
อร คือดวงใจของทุกคน
เสียดายเธอไม่ได้มาในงานนี้
เพราะรับหน้าที่ยิ่งใหญ่ในทุกหน
ฝากดวงจิตคิดถึงเธอละเมอดล
อร จงล้นแต่สิ่งดีที่งดงาม

ขออำนวยอวยพรให้สี่สาว
นางฟ้าชุดขาวไร้ขวากหนาม
ประสบสุขหลังเกษียณทุกโมงยาม
สู่สนามประชาชนคนสำคัญ
จงเกษมสุขสันต์แสนหรรษา
มีเวลาดูแลตนอย่างสร้างสรรค์
อร ผ่อง จู๋จี๋ จัน สุขนิรันดร์
มาสร้างสรรค์สังคมใหม่ วิไลเอย
45  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / สานรัก สานฝัน สานสัมพันธ์ มุทิตาจิต ปี ๖๖ ชมรมลูกหลวงพ่ออู่ทอง โรงพยาบาลกำแพงเพช เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2023, 10:14:57 am
สานรัก สานฝัน สานสัมพันธ์ มุทิตาจิต ปี ๖๖ ชมรมลูกหลวงพ่ออู่ทอง โรงพยาบาลกำแพงเพชร ๒ ถึง ๕ มิถุนายน ๒๕๖๖

ถึงเวลาเกษียณ เพียรรับใช้
ดัวยหัวใจดูแลร่วม
รังสรรค์
นางฟ้าชุดขาวพราวอนันต์
ทุกคีนวัน อุทิศตน คนพ้นภัย
หลายสิบปี ดูแล ชุบชึวิต
มีดวงจิตเพื่อสังคม อย่างสดใส
เป็นนางฟ้างดงามทั้งกายใจ
ดวงฤทัยเพื่อมวลชน คือคนดี
ชมรมลูกหลวงพ่ออู่ทอง ไม่หมองหมาง
สร้างหนทางสร้างรัก สมศักดิ์ศรี
ทุกท่านคือนางฟ้า ในปฐพี
มีชีวีอุทิศให้ ใจนิยม
โรงพยาบาลกำแพงเพชร ก่อเกร็ดแก้ว
คึอเพชรแพรว แสนงาม อย่างสวยสม
ทุกท่านคือสี่นางฟ้า น่าชื่นชม
ร่วมนิยมยินดีวิถีนาง

 ๑ จันทนา ศรีสวรรค์ จันคนงาม
เลิศสนาม แอร์โรบิกไม่ขัดขวาง
เด่นดังดี มีอารมณ์ เยือกเย็นพลาง
รับผิดชอบทุกทุกอย่างการได้ยิน
เกษียณแล้วยังห่วงหา อาทรยิ่ง
ทุกทุกสิ่งสร้างด้วยเธอ เสมอศิลป์
จะคิดถึง คำนึงหา เป็นอาจิณ
ทุกชึวิน ต้องตระหนักด้วยรักเธอ
๒ สุรีรัตน์ วงศ์มูล.คือจู๋จี๋
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 95
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!