จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
เมษายน 30, 2025, 10:10:25 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3 ... 99
1  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ????????????จังหวัดกำแพงเพชรส่งท้ายความยิ่งใหญ่กับการแสดงแสง สี เสียงและสื่อผสม "กำแพง เมื่อ: เมษายน 27, 2025, 08:50:06 am
ฮืมฮืมฮืม???จังหวัดกำแพงเพชรส่งท้ายความยิ่งใหญ่กับการแสดงแสง สี เสียงและสื่อผสม "กำแพงเพชร เพริศแพร้ว เทิดศรัทธา พระบารมี สดุดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ในคืนสุดท้าย

ฮืมฮืม??วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. ที่สนามหน้าเมืองกำแพงเพชร นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร มอบหมายให้ นายอนุชา พัสถาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานนำส่วนราชการร่วมรับชมการแสดงแสง สี เสียงและสื่อผสม "กำแพงเพชร เพริศแพร้ว เทิดศรัทธา พระบารมี สดุดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม โครงการสร้างกิจกรรมรองรับการท่องเที่ยว ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘  ในคืนที่ 2 โดยมี นายปริญญา ถวัลย์อรรณพ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดฯ , นายสันติ อภัยราช ผู้ทรงคุณวุฒิ , วัฒนธรรมจังหวัดฯ , หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน , พลังงานจังหวัดฯ , สหกรณ์จังหวัดฯ , ผู้แทนศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดฯ ,หอการค้าจังหวัดฯ ,  ส่วนราชการ , องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมด้วยประชาชนกว่า ๑,๐๐๐ คน ร่วมรับชมการแสดง

ด้วยสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร ได้จัดการแสดงแสง สี เสียงและสื่อผสม"กำแพงเพชร เพริศแพร้ว เทิดศรัทธา พระบารมี สดุดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ขึ้นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ ประชาสัมพันธ์เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม และเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด "ร้อยเรื่องราวประวัติศาสตร์ ปลุกชีวิตเมืองมรดกโลก" ผ่านการแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสมที่สะท้อนถึงความเป็นมาและคุณค่าของเมืองกำแพงเพชรเมืองมรดกโลก
สำหรับเนื้อหาในการแสดงมีการนำเสนอเรื่องราว จำนวน ๖ องก์ ที่เกี่ยวกับบูรพกษัตริย์ไทยกับเมืองกำแพงเพชร เพื่อเชิดชูความสำคัญของจังหวัดกำแพงเพชร คือ
องก์ที่ ๑ เปิดปูมนามเมือง
องก์ที่ ๒ จรัสเรืองบารมีนเรศเจ้า
องก์ที่ ๓ เล่าขานวีรกรรมพระเจ้าตาก
องก์ที่ ๔ หลอมรักบูชาพระปิยะ
องก์ที่ ๕ เทิดศรัทธาองค์ภูมิพล
องก์ที่ ๖ พระบารมีมากล้นทศมราชา

ซึ่งจากการแสดงแสง สี เสียงฯ ทั้ง 2 วันที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนทั้งในจังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดใกล้เคียง มีความประทับใจกับการแสดง รวมถึงทำให้ประชาชนในพื้นที่มีจิตสำนึกรักจังหวัดกำแพงเพชรมากขึ้น และความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
2  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๘ ที่สนามหน้าเมืองกำแพงเพชร สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬ เมื่อ: เมษายน 26, 2025, 09:34:46 am
วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๘ ที่สนามหน้าเมืองกำแพงเพชร สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร นำโดยนายปริญญา ถวัลย์อรรณพ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร ดำเนินการจัดการแสดงแสง สี เสียงและสื่อผสม "กำแพงเพชร เพริศแพร้ว เทิดศรัทธา พระบารมี สดุดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม โครงการสร้างกิจกรรมรองรับการท่องเที่ยว ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยมี นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพช เป็นประธานเปิด พร้อมด้วยนางกาญจนี รุจนเสรี ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดฯ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดฯ นางสาวสุพัตรา คล้ายทิม นายอนุชา พัสถาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ , นายกองเอกชัยพฤกติ์ เชียรธานรักษ์ ปลัดจังหวัดฯ พันเอกพงศธร เมืองแก่น รอง ผอ.รมน.กพ. นายอนันต์  ผลอำนวย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดฯ หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอทุกอำเภอ นายกเทศมนตรีเมืองกำแพงเพชร ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมด้วยประชาชนกว่า ๑,๐๐๐ คน ร่วมรับชมการแสดง

            ด้วยสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร ได้จัดการแสดงแสง สี เสียงและสื่อผสม"กำแพงเพชร เพริศแพร้ว เทิดศรัทธา พระบารมี สดุดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ขึ้นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ ประชาสัมพันธ์เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม และเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด "ร้อยเรื่องราวประวัติศาสตร์ ปลุกชีวิตเมืองมรดกโลก" ผ่านการแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสมที่สะท้อนถึงความเป็นมาและคุณค่าของเมืองกำแพงเพชรเมืองมรดกโลก โดยการแสดงแสง สี เสียง ในครั้งนี้เกิดจากแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ในการนำ "เรื่องราวของ "สี" เป็นตัวแทนของชีวิต และ "เสียง" เป็นพลังของการเล่าเรื่อง เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจ และปลุกจิตสำนึกให้เกิดความภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เกิดความสนใจศรัทธา และมีส่วนร่วมในการสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม
ผนวกกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยวและผลักดันนโยบาย IGNITE Thailand's Tourism ในการกระตุ้นการท่องเที่ยว

             สำหรับการแสดง แสง สี เสียงฯ มีการนำเสนอเรื่องราว จำนวน ๖ องก์ ที่เกี่ยวกับบูรพกษัตริย์ไทยกับเมืองกำแพงเพชร เพื่อเชิดชูความสำคัญของจังหวัดกำแพงเพชร คือ
องก์ที่ ๑ เปิดปูมนามเมือง
องก์ที่ ๒ จรัสเรืองบารมีนเรศเจ้า
องก์ที่ ๓ เล่าขานวีรกรรมพระเจ้าตาก
องก์ที่ ๔ หลอมรักบูชาพระปิยะ
องก์ที่ ๕ เทิดศรัทธาองค์ภูมิพล
องก์ที่ ๖ พระบารมีมากล้นทศมราชา
โดยมีดำเนินการจัดแสดงฯ ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘ ณ บริเวณสนามหน้าเมืองกำแพงเพชร
3  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ????????⭐️????????ผู้ว่าฯกำแพงเพชร นำส่วนราชการ และเทศบาลเมืองกำแพงเพชรประกอบพิธีบวงสรวง เมื่อ: เมษายน 15, 2025, 04:11:36 pm
ฮืมฮืม??⭐️?ฮืมฮืม?ผู้ว่าฯกำแพงเพชร นำส่วนราชการ และเทศบาลเมืองกำแพงเพชรประกอบพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อหลักเมือง ในงานประเพณีสงกรานต์ 2568

             วันที่ 15 เม.ย.68 เวลา 08.29 น. ที่ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร นายชาธิป รุจนเสรี  ผู้ว่าราชการจังวัดกำแพงเพชร เป็นประธานนำหัวหน้าส่วนราชการ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อหลักเมืองกำแพงเพชร เพื่อความเป็นสิริมงคลในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2568 โดยมี นางกาญจนี รุจนเสรี  นายกเหล่ากาชาดจังหวัดฯ , นายวุฒิชัย ศุภอรรถพานิช นายกเทศมนตรีเมืองกำแพงเพชร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกำแพงเพชร, หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล ข้าราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่สังกัดเทศบาลเมืองกำแพงเพชร และประชาชนเข้าร่วมในพิธี 
           
              ภายในพิธี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร (ประธานในพิธี) จุดเทียนธูปบูชาด้านหน้าโต๊ะเครื่องสังเวย และเทียนชัยขันน้ำสาครต้นกลางปรัมพิธี และคณะผู้บริหาร จุดเทียนลำดับวิปัสสี 8 ต้น จากนั้นพราหมณ์ในพิธีเริ่มประกอบพิธี ก่อนเชิญประธานในพิธี และคณะ ร่วมปักธูปลงที่เครื่องสักการะสังเวย บายศรี พร้อมโปรยข้าวตอกดอกไม้  ขณะที่ ประธานพิธี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เริ่มจุดเทียนธูปเปิดกรวยสักการะ ด้านบนศาลหลักเมือง ถวายพวงมาลัย ผ้าสามสี และสรงน้ำจากสังข์ลงที่เสาหลักเมืองและเศียรพระเทพารักษ์ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะ เป็นการสมโภชน์เสาหลักเมือง ตามคติประเพณีโบราณแบบราชนิยม เป็นอันเสริจพิธี
4  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / === พิธีปล่อยขบวนรถแห่ผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ ในงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔ ก เมื่อ: เมษายน 15, 2025, 04:10:34 pm
=== พิธีปล่อยขบวนรถแห่ผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ ในงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔ กิจกรรม “สงกรานต์ เย็นสบาย สายน้ำปิง” ===

วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘  เวลา ๑๔.๓๐ น. นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถแห่ผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ ผ่านถนนสายราชดำเนิน ๑ และ ถนนเทศา ๒ ไปยังวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ในงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๘ กิจกรรม “สงกรานต์ เย็นสบาย สายน้ำปิง” โดยมีนายอนุพันธ์ พานิช ท้องถิ่นจังหวัดกำแพงเพชร นายปริญญา ถวัลย์อรรณพ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร ส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อเป็นการร่วมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมานาน ด้วยเทศบาลเมืองกำแพงเพชร ภายใต้การนำของนายวุฒิชัย ศุภอรรถพานิช นายกเทศมนตรีเมืองกำแพงเพชร ได้ตระหนักถึงการสืบสานประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นให้ดำรงอยู่สืบไป จึงได้จัดงานนี้ขึ้น เพื่ออนุรักษ์ และส่งเสริม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป อีกทั้งให้เด็ก เยาวชน และประชาชน มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของของไทย และท้องถิ่นเมืองกำแพงเพชร และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสำหรับการจัดงานประเพณีฯ โดยเทศบาลเมืองกำแพงเพชร ได้ร่วมบูรณาการการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ร่วมกับจังหวัดกำแพงเพชร กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม สภาวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร และภาคเอกชน ร่วมกันจัดกิจกรรมดังกล่าว ระหว่างวันที่  ๙ - ๑๕ เมษายน ๒๕๖๘
โดยรถขบวนได้ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้สีสันสวยงามเข้ากับบรรยากาศสงกรานต์ ชาวชุมชนต่างแต่งกายด้วยชุดไทย ร่วมแห่ห่มผ้าองค์เจดีย์พระบรมธาตุ เป็นพิธีเก่าแก่ที่สืบทอดมาหลายสิบปีของชาวเมืองกำแพงเพชร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เคลื่อนขบวนจากบริเวณหน้าสำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร ไปตามถนนสายหลักของตัวเมืองกำแพงเพชร ท่ามกลางประชาชนที่เล่นสาดน้ำกันทั้งสองข้างทาง ได้ร่วมสรงน้ำพระและร่วมขบวนแห่ผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ ตลอดเส้นทางถนน ราชดำเนิน ๑ และถนนเทศา ๒ เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมสำคัญนี้ ก่อนที่ขบวนจะเดินทางข้ามสะพานแม่น้ำปิง ไปยังวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ตำบลนครชุม อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร และได้ถวายผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ แด่พระเมธีวชิรภูษิต เจ้าคณะอำเภอทรายทองวัฒนา ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง จากนั้นจึงห่มผ้ารอบฐานองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นอันเสร็จสิ้นกิจกรรม
ในการนี้ นายอภินันท์ มุสิกะพงษ์ วัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมร่วมเดินขบวนแห่ฯ และร่วมถวายผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ ณ สถานที่ดังกล่าว
5  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / === การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบบทการแสดงแสง สี เสียง โครงการสร้างกิจกรรมรองรับการ เมื่อ: เมษายน 11, 2025, 10:07:41 pm
=== การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบบทการแสดงแสง สี เสียง โครงการสร้างกิจกรรมรองรับการท่องเที่ยว กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๘ ===

วันศุกร์ที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๘  เวลา ๑๓.๓๐ น.
นายสันติ อภัยราช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบบทการแสดงแสง สี เสียง โครงการสร้างกิจกรรมรองรับการท่องเที่ยว กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๘ โดยมีนายปริญญา ถวัลย์อรรณพ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร ผู้ทรงคุณวุฒิ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ด้วยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร ได้กำหนดจัดการแสดงแสง สี เสียง สื่อผสม กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ภายใต้โครงการสร้างกิจกรรมรองรับการท่องเที่ยว ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ “กำแพงเพชร เพริศแพร้ว เทิดศรัทธา พระบารมี สดุดีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘ เพื่อพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้มีความหลากหลาย กระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในท้องถิ่น โดยมีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเมือง มรดกโลกทางวัฒนธรรมเป็นกลไกในการสร้างรายได้ เกิดการกระจายรายได้ในระดับเศรษฐกิจฐานราก และส่งเสริมการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกำแพงเพชร โดยที่นักท่องเที่ยว ประชาชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ ร่วมเป็นสื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ภายในที่ประชุมได้มีการพิจารณารายละเอียดบทการแสดง เพื่อให้การแสดงมีความสมบูรณ์ และถูกต้องตามประวัติศาสตร์
ในการนี้ นายอภินันท์ มุสิกะพงษ์ วัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร ตำบลหนองปลิง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร

#สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร
#สาสน์ศิลป์วัฒนธรรมกำแพงเพชร
6  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / https://phetkamphaengnews.com/archives/36656 แถลงข่าวเตรียมจัด แสง สี เสียง ยิ่ เมื่อ: เมษายน 09, 2025, 08:19:46 am
https://phetkamphaengnews.com/archives/36656

แถลงข่าวเตรียมจัด แสง สี เสียง ยิ่งใหญ่! เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปลุกชีวิตเมืองมรดกโลก

      วันที่ 8 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ กำแพงเพชร ชั้น 2 อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ได้มีการแถลงข่าวการเตรียมจัดงานแสดงแสง สี เสียง สุดตระการตา เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายใต้ชื่อ “กำแพงเพชร เพริศแพร้ว เทิดศรัทธา พระบารมี สดุดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช”  โดยมี นายอนุชา พัสถาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธาน พร้อมด้วย นายปริญญา ถวัลย์อรรณพ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร, นายอภินนัท์ มุสิกพงษ์ วัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร, อ.อมรศักดิ์ กุลสุ และ อ.สันติ อภัยราช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวัฒนธรรม ร่วมการแถลงข่าว

      รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ เน้นย้ำความโดดเด่นของจังหวัดในฐานะเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่มีโบราณสถานงดงาม ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ และวิถีชุมชนที่น่าสนใจยังคงกลิ่นไอของความเป็นไทยแบบดั้งเดิม จึงสามารถผสานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างลงตัว มุ่งหวังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น

      ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร กล่าวว่า แรงบันดาลใจในการจัดงานคือการนำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์และคุณค่าของเมืองกำแพงเพชรผ่านการแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสมที่ตระการตา เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสเสน่ห์ของเมืองมรดกโลกแห่งนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก ประจำปีงบประมาณ 2568

      วัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร กล่าวถึงพื้นเพของชาวกำแพงเพชรที่เป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำปิง มีเอกลักษณ์ด้านหัตถกรรม เกษตร และประเพณีท้องถิ่นที่น่าภาคภูมิใจ รวมถึงบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเฉพาะในยุคสุโขทัยและสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

      ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวัฒนธรรม ได้กล่าวเสริมถึงความสำคัญของกำแพงเพชรในอดีต ที่เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญเชื่อมโยงสุโขทัยและอยุธยา มีโบราณสถานมากมายที่สะท้อนความเจริญรุ่งเรือง จนได้รับการยกย่องเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ระดับโลก รวมถึงความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับเมืองกำแพงเพชร ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญของการแสดงเพื่อเทิดพระเกียรติและสร้างความภาคภูมิใจในแผ่นดินไทย

      จังหวัดกำแพงเพชรมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่าการจัดกิจกรรมแสดงแสง สี เสียง ในครั้งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความน่าสนใจ ดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวกำแพงเพชรในฐานะ “ผู้สืบสานอารยธรรมลุ่มน้ำปิง” อันจะนำไปสู่การสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่
7  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / วันเสาร์ที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานเพ เมื่อ: เมษายน 01, 2025, 08:35:43 pm
วันเสาร์ที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๘
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานเพลิงศพ พระเทพวชิรเมธี (วีระ วรปญฺโญ ป.ธ.๙, ผศ.ดร.) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง และผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์กำแพงเพชร ณ เมรุชั่วคราววัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ตำบลนครชุม อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร
เวลา ๐๙.๐๐ น.  เชิญหีบศพออกตั้งบำเพ็ญกุศล ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานหีบทองทึบประกอบศพ ณ ศาลาธรรมจักรซันเดย์ วัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง
เวลา ๑๖.๐๐ น.  เชิญหีบศพเวียนเมรุ แล้วเชิญขึ้นตั้งบนจิตกาธาน โดยได้รับความเมตตาจากพระเทพวัชรสิทธิเมธี เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร เจ้าอาวาสวัดท่าหลวง พระอารามหลวง พร้อมด้วย พระครูวชิรปัญญากร รองเจ้าคณะจังหวัด ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร เจ้าอาวาสวัดบ่อสามแสน พระครูวชิรคุณพิพัฒน์ รองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร เจ้าอาวาสวัดถาวรวัฒนา(ใต้) เดินนำหีบศพเวียนเมรุ คณะสงฆ์ ข้าราชการ ผู้นำท้องที่ และพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธี
ในการนี้ นายอภินันท์ มุสิกะพงษ์ วัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร เข้าร่วมพิธีเชิญหีบศพเวียนเมรุ อีกทั้งกำกับดูแลการปฏิบัติงาน โดยมอบหมายให้ นายศุภชัย พูลสมบัติ นายภาณุสิทธิ์ ทะสน นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ พร้อมด้วย พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี และพนักงานขับรถ กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร ปฏิบัติหน้าที่ตามหมายรับสั่งที่ ๑๓๔๓ ลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๘ ในการตั้งแต่งเครื่องเกียรติยศประกอบศพ (หีบทองทึบ) และเชิญหีบทองทึบประกอบศพเวียนเมรุ ทั้งนี้ จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันอาทิตย์ที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๘
ผลการปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และสมพระเกียรติ

ติดต่อสอบถามเรื่องการขอพระราชทานเกี่ยวกับพิธีการศพได้ที่
ห้องงานประสานขอพระราชทานเพลิง ศาลากลางจังหวัดกำแพงเพชร ชั้น ๑
ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น.
โทร. ๐๖-๒๔๕๑-๙๔๗๘
#ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

ภาพและข้อมูล : กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานจังหวัดกำแพงเพขร
8  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ตอนที่ ๑๔ ตอนที่ ๑๔ เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” เมื่อ: มีนาคม 21, 2025, 05:37:21 pm
ตอนที่ ๑๔

เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๔ : ช่วงเวลา “๕ ปีชม” ของหลวงตาเอกแห่งวัดพระบรมธาตุ

หลังจากช่วงเวลาแห่งการพัฒนาวัดพระบรมธาตุ “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย” รวมเป็น เวลา ๑๕ ปีผ่านไป ในช่วงจากปี พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๖๕ ผู้เขียนขอเรียกว่าช่วงเวลานี้ว่า “๕ ปีชม” เพราะเป็นช่วงที่ทุกอย่างภายในวัดเริ่มลงตัว เป็นห้วงเวลาที่หลวงพ่อไม่ได้ทุ่มเทกับการก่อสร้าง มากมายเหมือนก่อนหน้านี้ และเป็นช่วงคุณงามความดีที่หลวงพ่อได้สั่งสมมาเริ่มผลิดอกออกผล หรือได้รับอานิสงส์แห่งบุญนั้น

ตลอดระยะเวลาที่หลวงพ่อมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุยังได้อนุรักษ์ฟื้นฟู กิจกรรมงานบุญต่าง ๆ ของวัดพระบรมธาตุให้คงอยู่คู่กับวัดและชุมชน พยายามจัดกิจกรรมงาน บุญตลอดทั้งปีเพื่อไม่ให้ชาวบ้านกับวัดมีความห่างเหินกัน แต่การทำบุญของหลวงพ่อไม่ใช่การ เปิดรับบริจาค ขอเพียงแค่คนมาร่วมงานที่วัดจัดขึ้นก็พอแล้ว งานบุญสำคัญของวัดพระบรมธาตุใน ตลอดระยะเวลา ๑ ปีนั้น เริ่มต้นจากงานไหว้พระบรมธาตุ เพ็ญเดือน ๓

งานประจำปีไหว้พระบรมธาตุ เพ็ญเดือน ๓ มีมาตั้งแต่เมื่อไรนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่ผู้สูงอายุชาวนครชุมได้ให้ข้อมูลตรงกันว่า ประเพณีไหว้พระบรมธาตุนครชุมในวันเพ็ญเดือน ๓ เท่าที่จำความได้ก็มีมาช้านานแล้ว โดยทางวัดพระบรมธาตุจะจัดงานขึ้น และพุทธศาสนิกชนใน จังหวัดกำแพงเพชรก็จะรับรู้โดยทั่วกันว่า ช่วงวันเพ็ญเดือน ๓ จะต้องเดินทางมาไหว้พระบรมธาตุ นครชุมหรือมาเที่ยวงานไหว้พระบรมธาตุนครชุมเป็นประจำทุกปี ซึ่งทางวัดพระบรมธาตุจะจัดงาน ขึ้นในช่วงระหว่างวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ถึงแรม ๓ ค่ำเดือน ๓ ของทุกปี ในลานพระบรมธาตุจะมีซุ้มต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญ เช่น ซุ้มถวายสังฆทาน ซุ้มตักบาตรประจำวันเกิด ซุ้มตัก บาตร ๑๐๘ ซุ้มสวดนพเคราะห์สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ซุ้มบูชาวัตถุมงคล ซุ้มผ้าป่าสนับสนุน การศึกษาของพระภิกษุสามเณร เป็นต้น ในงานประเพณีดังกล่าวจึงเป็นงานบุญอันยิ่งใหญ่ที่เปิด โอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญพร้อม ๆ กับการไหว้ขอพรองค์พระบรมธาตุนครชุมด้วย

ส่วนกลางคืนนั้น ก็จะมีมหรสพสมโภชตลอดทุกคืน เช่น ลิเก หนังกลางแปลง รำวงย้อน ยุค และการแสดงที่เวทีกลางซึ่งจะเป็นการแสดงของเยาวชนจากโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัด กำแพงเพชรที่ส่งนักเรียนมาร่วมแสดงสมโภชองค์พระบรมธาตุนครชุมในช่วงงานประจำปี มหรสพ ต่างๆ จะยุติลงในเวลาประมาณเที่ยงคืนของทุกคืน และตลอดช่วงงานประเพณีจะมีร้านค้ามากมาย มาตั้งร้านจำหน่ายสินค้า ทั้งสินค้าพื้นเมือง สินค้า OTOP สินค้าจากโรงงาน อาหารเครื่องดื่มและ ข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป

นอกจากนี้ ในช่วงงานประเพณีไหว้พระบรมธาตุนครชุมยังมีการเผาข้าวหลาม “มหกรรม เผาข้าวหลามภูมิปัญญาไทย” จำหน่ายเพื่อนำรายได้ร่วมทำบุญกับทางวัดพระบรมธาตุด้วย ทำให้“ข้าวหลาม” เป็นเอกลักษณ์และของฝากสำคัญของงานประเพณีไหว้พระบรมธาตุนครชุมไปแล้ว เพราะในรอบ ๑ ปี จะมีการเผาข้าวหลามเพียง ๕ วัน เฉพาะช่วงงานประเพณีเท่านั้น เดิมทีก่อน หน้าที่หลวงพ่อจะมาอยู่วัดพระบรมธาตุนั้น การเผาข้าวหลามจะทำอยู่บ้านใครบ้านมัน แล้วค่อย เอามารวมกันทำบุญที่วัด เมื่อหลวงพ่อมาอยู่จึงสนับสนุนไม้ไผ่และมะพร้าวสำหรับทำกะทิ พร้อม ทั้งชวนให้ชาวบ้านมาเผาข้าวหลามรวมกันอยู่ภายในวัด แต่ละปีข้าวหลามจะถูกเผาเป็นจำนวนมาก ขูดมะพร้าวคั้นกะทิ แช่ข้าวและเผากันสด ๆ ร้อน ๆ ภายในวัด ทำให้ข้าวหลามมีความสดใหม่และ อร่อยหวานมันเป็นเอกลักษณ์ แต่ละปีจะมีผู้คนมาเข้าคิวรอซื้อข้าวหลามเป็นจำนวนมาก

ในพิธีเปิดงานไหว้พระบรมธาตุ เพ็ญเดือน ๓ หลวงพ่อจะให้มีการนิมนต์พระเดชพระคุณ พระเทพวัชราภรณ์ (เฉลิม วีรธมฺโม ป.ธ. ๕) เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร - พิจิตร (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดนาควัชรโสภณ อำเภอเมืองกำแพงเพชร มาเป็นประธานสงฆ์ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และชัยมงคลถาคาในพิธีเปิดงานเป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ของคณะสงฆ์ฝ่าย มหานิกายและธรรมยุติกนิกายในจังหวัดกำแพงเพชรให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในฐานะเป็นสาวก ของพระพุทธเจ้า ภายหลังพระเทพวัชราภรณ์ได้ลาออกจากตำแหน่งและย้ายไปจำพรรษาที่วัด ประชาบำรุง จังหวัดมหาสารคาม ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ หลวงพ่อก็ให้นิมนต์พระครูปัญญาสัตติคุณ (ณรงค์ศักดิ์ จิตฺวํโส) เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร - พิจิตร (ธรรมยุต) วัดไพรสณฑ์รัตนาราม อำเภอ คลองลาน (ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระสุนทรวชิราจารย์) มาเป็นประธานสงฆ์ในพิธีนี้แทน

ประเพณีก่อพระทราย จัดขึ้นในช่วงวันตรุษไทย คือวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ จะมีการนำ ทรายที่ริมฝั่งแม่น้ำปิงมาก่อเป็นเจดีย์ทราย แล้วประดับตกแต่งด้วยดอกไม้และกระดาษสีให้เกิด ความสวยงาม

ประเพณีสงกรานต์ ทางวัดพระบรมธาตุจะจัดกิจกรรมเป็นเวลา ๓ วัน วันแรกตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน จะมีกิจกรรมก่อเจดีย์ทราย วันที่สองตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ช่วงเช้าจะมีกิจกรรม ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้กับอดีตเจ้าอาวาสวัดและทำบุญรวมญาติ ช่วงบ่ายจะมีกิจกรรม สรงน้ำพระ ซึ่งหลวงพ่อจะเปิดโอกาสให้ญาติโยมสรงน้ำขอพรได้ในช่วงเวลานี้ และวันที่สามตรงกับ วันที่ ๑๔ เมษายน ช่วงกลางวันจะมีพิธีแห่ผ้าห่มองค์พระบรมธาตุ ช่วงเย็นจะมีพิธีก่อพระทรายน้ำ ไหล โดยนำทรายที่ริมฝั่งแม่น้ำปิงมาก่อเป็นเจดีย์ทรายขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้และ กระดาษสีให้เกิดความสวยงาม จากนั้นก็จะมีการถวายพระทรายที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง

วันที่ ๒๒ - ๒๓ มิถุนายนของทุกปี นับตั้งแต่สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหาธรรม ราชาลิไทยแล้วเสร็จ หลวงพ่อมีดำริให้จัดงานวันสถาปนาพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหาธรรม ราชาลิไทย และรำลึกการสถาปนาพระบรมธาตุนครชุม ในงานจะเป็นกิจกรรมแบบงานวัดทั่วไปในช่วงเย็นวันที่ ๒๒ มิถุนายนจะมีกิจกรรมรำบวงสรวงดวงพระวิญญาณพระมหาธรรมราชาลิไทย ภาคค่ำจะมีมหรสพสมโภช เช่น ลิเกหรือการแสดงของนักเรียนจากโรงเรียนในเขตใกล้เคียง ช่วง เช้าวันที่ ๒๓ มิถุนายนจะมีกิจกรรมทำบุญตักบาตร และช่วงบ่ายจะมีพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณ พระมหาธรรมราชาลิไทย ระยะแรกงานนี้หลวงพ่อใช้งบประมาณทางวัดจัดขึ้น ต่อมาทางองค์การ บริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชรได้สนับสนุนงบประมาณบางส่วน และในงานนี้จะมีการทำบุญแจก ทานข้าวสารอาหารแห้งอีกด้วย

วันที่ ๙ - ๑๒ สิงหาคมของทุกปี หลวงพ่อดำริให้มีการจัดงานบวชศีลจารินีเฉลิมพระ เกียรติ ๑๒ สิงหามหาราชินี โดยเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนมาบวชศีลจารินีรักษาศีล ๘ เข้าพัก ปฏิบัติธรรมอยู่ภายในวัด ทุกปีมีผู้มาร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติปีราวละ ๑๒๐ - ๒๐๐ คน วันที่ ๒๕ สิงหาคมของทุกปี หลวงพ่อดำริให้มีการจัดงานรำลึก ร. ๕ เสด็จประพาสต้น เนื่องจากใน
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรและทรงนมัสการพระบรมธาตุนครชุม ทุกปีหลวงพ่อจึงให้มี การจัดงานรำลึกทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล บางปีในช่วงกลางวันก็จัดให้มีการละเล่น พื้นบ้าน และจัดกิจกรรมเสวนาทางวิชาการ

ช่วงเทศกาลกินเจของแต่ละปี หลังจากที่มีเจ้าภาพถวายรูปเจ้าแม่กวนอิมแกะสลักจากไม้ หอมกฤษณาขนาดใหญ่ และทางวัดได้สร้างวิหารแปดเหลี่ยมประดิษฐานไว้ด้านหลังอาคารตลาด น้ำนครชุมในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ทางวัดก็จะมีการจัดทำโรงครัวเจ เพื่อรองรับผู้ที่ถือศีลกินเจและ เดินทางมาขอพรเจ้าแม่กวนอิมไม้หอมกฤษณา

วันสารทไทย ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ถือเป็นงานบุญสำคัญของวัดที่หลวงพ่อ ดำริให้มีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ก่อนวันสารทไทยจะมีการทำข้าวต้มลูกโยนตลอดทั้งวัน ในเช้า วันงานจะมีการบิณฑบาตกระยาสารท กล้วยไข่ และข้าวต้มลูกโยน หลังพระภิกษุสามเณรฉัน ภัตตาหารเช้าเสร็จก็จะเป็นพิธีเทศน์มหาชาติเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ ตลอดทั้งวันทั้งคืน โดย หลวงพ่อมักจะขึ้นแสดงธรรมกัณฑ์ทศพรเป็นกัณฑ์แรก จากนั้นก็จะเป็นพระธรรมกถึกแสดงธรรม ต่อเนื่องกันไปจนถึงรุ่งเช้า แต่ละปีก็จะนิมนต์พระธรรมกถึกทั้งภายในวัดและวัดอื่นที่มีชื่อเสียงใน การเทศน์เฉพาะกัณฑ์มาแสดงธรรม

วันออกพรรษา ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ช่วงเช้าก็จะมีการทำบุญและตักบาตร เทโวโรหณะที่ลานพระบรมธาตุ และวันลอยกระทง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ช่วงเย็นก็จะมีการ ทอดผ้าป่าแถว และช่วงค่ำก็จะมีกิจกรรมลอยกระทงสายกาบกล้วยที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง

วันที่ ๓ - ๖ ธันวาคมของทุกปี หลวงพ่อดำริให้มีการจัดงานบวชศีลจารินีเฉลิมพระเกียรติ ๕ ธันวามหาราช (ภายหลังเปลี่ยนเป็นงานถวายพระราชกุศลแทน) โดยเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนมาบวชศีลจารินีรักษาศีล ๘ เข้าพักปฏิบัติธรรมอยู่ภายในวัด ทุกปีมีผู้มาร่วม กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติปีราวละ ๑๒๐ - ๒๐๐ คน

วันที่ ๓๑ ธันวาคมของทุกปีซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จะมีพิธีเจริญพระพุทธ มนต์ ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ ซึ่งหลวงพ่อมีดำริให้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีขึ้น เป็นวัดแรก ๆ ในประเทศไทย โดยจะเริ่มมีการสวดมนต์ตั้งแต่เวลา ๒๒.๐๐ น. เป็นต้นไป เมื่อถึง เที่ยงคืนจะมีการตักบาตรเที่ยงคืนด้วยเมล็ดถั่ว งา ข้าวเปลือก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดม สมบูรณ์และเจริญงอกงาม ในคืนนี้ก็จะมีญาติโยมส่วนหนึ่งมาตั้งโรงทานตลอดคืน โดยเฉพาะโรง ทานปลากริมไข่เต่าจากชุมชนเจดีย์หัก จังหวัดราชบุรี ที่มีศรัทธาในตัวหลวงพ่อจะขึ้นมาทำโรงทาน แทบทุกปี เป็นที่รอคอยลิ้มรสของชาวกำแพงเพชรเป็นอย่างมาก

ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ วันมาฆบูชา วัดวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา และวัน อาสาฬหบูชา ช่วงเช้าจะมีการทำบุญตักบาตร แสดงพระธารรมเทศนา ๑ กัณฑ์ ในเนื้อหาที่ เกี่ยวข้องกับวันสำคัญนั้น ๆ ปกติแล้วหลวงพ่อมักจะเป็นผู้แสดงพระธรรมเทศนาด้วยตนเอง ช่วง ค่ำก็จะมีพิธีเวียนเทียนรอบองค์พระบรมธาตุ ซึ่งที่วัดพระบรมธาตุจะมีพิธีเวียนเทียนในเวลา ๒๐.๐๐ น. เนื่องจากหลวงพ่อเห็นว่าเป็นช่วงที่อากาศบริเวณลานพระบรมธาตุเริ่มเย็น พื้น กระเบื้องไม่ร้อนมาก และพุทธศาสนิกชนสามารถกินข้าวมื้อค่ำแล้วค่อยมาเวียนเทียนได้ จะได้ไม่ รีบร้อนมากนัก ส่วนวันวิสาขบูขาจะแตกต่างจากวันอื่นเล็กน้อยเพราะจะมีพิธีถวายสลากภัตต์ด้วย และในวันเข้าพรรษาก็จะมีโยมแอ๊ด (ผู้เขียนจำชื่อจริงไม่ได้) จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นำ ดอกเข้าพรรษาจากแม่สอดมาถวายหลวงพ่อ เพื่อให้พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนที่มา ทำบุญได้ใช้เวียนเทียนเป็นประจำทุกปี

ในช่วงเข้าพรรษาของทุกปี ในทุกบ่ายวันอาทิตย์หลวงพ่อจะจัดให้มีการเทศน์มหาชาติ เฉลิมพระเกียรติไปจนตลอดทั้งพรรษา และมีการถ่ายทอดเสียงออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจาย เสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดกำแพงเพชร (สวท. 97.25 Mhz) อีกด้วย

นอกจากกิจกรรมของทางวัดที่มีวันจัดงานเป็นที่แน่นอนดังกล่าวมานี้แล้ว ยังมีงานบุญอื่น ที่กำหนดวันไม่ได้แน่นอน เช่น พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน และงานบุญอื่น ๆ ที่มักจะมีการ จัดขึ้นอยู่เนือง ๆ เนื่องจากวัดพระบรมธาตุเป็นสถานที่จัดงานสำคัญ ๆ ของทางหน่วยงาน บ้านเมืองและคณะสงฆ์จังหวัดกำแพงเพชร ที่สำคัญคือทุกงานหลวงพ่อจะอยู่เป็นประธานสงฆ์โดย ตลอด และทุกงานหลวงพ่อจะกำกับดูแลการจัดกิจกรรมด้วยตัวเอง ภาพหลวงพ่อร่วมกับพระภิกษุ สามเณรและญาติโยมร่วมกันเตรียมงานด้วยตัวท่านเอง ไม่ทอดทิ้งคนทำงาน งานเสร็จดึกหลวงพ่อ ก็จะอยู่ด้วยจนดึก เป็นภาพที่ชินตาของชาวนครชุมและศิษยานุศิษย์ ไม้กวาดและอุปกรณ์สำหรับ การทำความสะอาดและพัฒนาด้านอาคารสถานที่จะอยู่ที่ท้ายรถไฟฟ้า (รถกอล์ฟ) ซึ่งเป็นรถส่วนตัวที่หลวงพ่อใช้ขับสำหรับตรวจการณ์ภายในวัดเสมอ เมื่อเจอจุดไหนที่ไม่สะอาดหรือไม่ เรียบร้อย หลวงพ่อก็จะจอดรถและใช้อุปกรณ์ดังกล่าวจากท้ายรถลงมือทำความสะอาดทันที

ช่วงเวลานี้ หลวงพ่อก็ยังไม่หยุดการพัฒนาตัวเอง ได้เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรนิติศาสตร บัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่เปิดทำ การเรียนการสอน เน้นผู้เรียนที่เป็นพระสังฆาธิการและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป เนื่องจากสามารถเทียบโอนได้ หลวงพ่อสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในปี พ.ศ. ๒๕๖๑

หลังจากหลวงพ่อสำเร็จการศึกษาหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์แล้ว ก็ สมัครเข้าเรียนต่อในหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย หลังจากเรียนภาคทฤษฎีจบตามหลักสูตรกำหนด หลวงพ่อก็เริ่มอาพาธ ช่วงเวลาที่แข็งแรงขึ้นก็พยายามที่จะทำวิทยานิพนธ์ให้สำเร็จการศึกษา แต่ทว่าในช่วงต้นเดือน ตุลาคม ๒๕๖๒ ศาสตราจารย์ พล.ต.ท. หญิง ดร. นัยนา เกิดวิชัย ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา วิทยานิพนธ์ก็ถึงแก่กรรม หลวงพ่อก็มีอาการทรุดลงตามลำดับ จึงไม่อาจที่จะทำวิทยานิพนธ์ให้ สำเร็จการศึกษา แต่ถึงกระนั้นหลวงพ่อก็รักษาสภาพนิสิตไว้โดยตลอด

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๕
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม
9  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ตอนื่ ๑๓.เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” ก่อนถึงวันพร เมื่อ: มีนาคม 21, 2025, 05:30:48 pm
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๓ : (ต่อ) แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

๕ ปีสวย (ต่อ)
เมื่อถมดินเสร็จทางจังหวัดกำแพงเพชรก็ได้ดำเนินการสร้างอาคารตลาดน้ำนครชุม เป็น อาคารโถง กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๕๐ เมตร เพื่อใช้ประโยชน์ในการให้ชาวบ้านมาค้าขายผลิตภัณฑ์ ในชุมชน และได้สร้างอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ชั้นเดียว เพื่อใช้ ประโยชน์ในการบริการนักท่องเที่ยว และเผยแพร่องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในแนวขนานกัน กับอาคารตลาดน้ำนครชุม ปัจจุบันใช้เป็นอาคารอเนกประสงค์ที่ทั้งทางวัดพระบรมธาตุ หน่วยงาน ราชการและชุมชนได้ใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะใช้เป็นที่จัดกิจกรรมประชุมสัมมนา นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการสร้างห้องน้ำสำหรับบริการนักท่องเที่ยวจำนวน ๒ ห้อง เป็นอาคาร คอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคามุงกระเบื้องลอนคู่ พื้นปูด้วยเซรามิคอย่างดี ไว้ในบริเวณดังกล่าวด้วย

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เกิดรัฐประหารขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมโดยคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ (คสช.) อันมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้าคณะ หลัง รัฐประหารมีการการชุมนุมและเคลื่อนไหวในทางการเมือง กิจกรรมรื่นเริงต่าง ๆ ในชุมชนก็งดไป ปีนั้นหลวงพ่อจึงปรารภกับผู้ว่า ฯ สุรพลว่า อยากสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหาธรรมราชา ที่ ๑ หรือพญาลิไทย ผู้ทรงสถาปนาพระบรมธาตุนครชุมและต้นพระศรีมหาโพธิ์เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๐ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์และรักษาความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของ วัดพระบรมธาตุไว้ ซึ่งทางผู้ว่า ฯ สุรพลก็เห็นด้วยและอนุมัติงบประมาณจำนวน ๓.๕ ล้านบาทเป็น ทุนตั้งต้น จากนั้นหลวงพ่อก็ได้ระดมทุนเพิ่มเติมโดยการสร้างวัตถุมงคลพระบูชาและพระกริ่งพระ พุทธมหาธรรมราชา พระบรมธาตุจำลองขนาดต่าง ๆ และพระพิมพ์เนื้อโลหะและเนื้ออิฐ ๗๐๐ ปี รวมทั้งสร้างพระบรมรูปพระมหาธรรมราชาลิไทยขนาดบูชา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้บริจาค บูชาระดมทุนเพื่อจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ด้วย

การวางศิลาฤกษ์สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหาธรรมราชาลิไทยจัดขึ้นวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ซึ่งตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตรและ ทรงนมัสการพระบรมธาตุนครชุมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ซึ่งหลวงพ่อได้ขออนุญาตทางราชการจัดเป็น งานใหญ่เรียกว่า “งานเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทย” ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ในงานมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่เคยเสด็จพระราช ดำเนินมายังพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร มีกิจกรรมเสวนาทางวิชาการในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนมี กิจกรรมรื่นเริงโดยวงดนตรีของทหารพราน

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับทีมงานของเครือข่ายสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรจัดทำบ้านดินตัวอย่าง และจัดนิทรรศการทางการเกษตรทฤษฎีใหม่อีกด้วย ซึ่งภายหลังหลวงพ่อได้มีส่วนสำคัญในการ ช่วยเหลือและส่งเสริมการทำกิจกรรมของเครือข่ายเกษตรกรกลุ่มนี้ ทั้งเข้าร่วมกิจกรรม สนับสนุนงบประมาณ ที่สำคัญคือ ในการจัดสวนหย่อมรอบลานพญาลิไทย เพื่อรับสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี (พระยศในขณะนั้น) ในการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด พระบรมราชานุสาวรีย์พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ณ วัดพระบรมธาตุ เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ หลวงพ่อก็ได้มอบหมายให้เครือข่ายเกษตรกรกลุ่มนี้มาเป็นผู้ดำเนินการจัดสวน ด้วยความไว้วางใจ

มูลเหตุในการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหาธรรมราชาลิไทยในครั้งนี้ หลวงพ่อเล่า ไว้ในคำอนุโมทนาในหนังสือ “พระมหาธรรมราชาลิไทย ปฐมมหาธรรมราชาแห่งอาณาจักร สุโขทัย” ซึ่งเป็นหนังสือที่ผู้เขียนได้ทำการศึกษาและเรียบเรียงขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ณ วัดพระบรมธาตุ และมีคุณครูเพ็ญรำเพย ขวัญวงศ์ เป็นเจ้าภาพ จัดพิมพ์จำนวน ๔,๐๐๐ เล่ม สิ้นงบประมาณจัดพิมพ์จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ไว้ว่า

“หลวงพ่อพระมหาสุธีร์ เขมจารี อดีตเจ้าอาวาสวัดสหราษฎร์รังสรรค์ ซึ่งเคยจำพรรษาอยู่ ที่วัดพระบรมธาตุมาก่อน ได้ปรารภสมัยที่อาตมามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุใหม่ ๆ ว่า ขอให้ดำเนินการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไทย) ให้สำเร็จ ด้วย เพราะจักได้ตอบแทนคุณูปการของพระองค์ท่านที่มีต่อวัดพระบรมธาตุ นครชุม และจังหวัด กำแพงเพชร และพระองค์เป็นพระราชาผู้ทรงธรรมควรแก่การรำลึกถึง เป็นต้นแบบแห่งการ ประพฤติปฏิบัติธรรม ตั้งแต่นั้นมาก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พญาลิไทยให้ สำเร็จ จวบจนท่านสุรพล วาณิชเสนี มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร จึงได้ร่วมกัน สร้างจนสำเร็จ นับเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่ควรจดจำไว้ชั่วกาลนาน”

การสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหาธรรมราชาลิไทยสำเร็จได้นั้น กล่าวได้เลยว่า ท่านผู้ว่า ฯ สุรพล เป็นผู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง แม้จะย้ายไปรับราชการเป็นผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทยแล้วแต่ก็ยังควบคุมและประสานงานการสร้างพระบรมราชานุสาวรียืในทุก โอกาสดังปรากฏในคำนิยมของผู้ว่า ฯ สุรพล วาณิชเสนี ในหนังสือ “พระมหาธรรมราชาลิไทย ปฐมมหาธรรมราชาแห่งอาณาจักรสุโขทัย” ว่า

“ถึงแม้ว่าจะได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยก็ตาม แต่การ ควบคุมและประสานงาน การขออนุญาตการก่อสร้างจากกรมศิลปากร การก่อสร้างฐานและการ ออกแบบองค์พญาลิไทยก็ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง แม้การขึ้นหุ่นเพื่อเตรียมการหล่อก็ต้องคอยอาศัย ช่างของกรมศิลปากร คือช่างอัษฎายุทธ์ อยู่เย็น เป็นผู้ออกแบบและมาคอยควบคุมมิให้ผิดเพี้ยนได้ โดยคำนึงถึงความเป็นพระราชาผู้ทรงธรรม ทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา นักรบ ใบหน้า ออกเมตตา ในพระหัตถ์ถือคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง แม้แต่เครื่องทรงก็ต้องศึกษาจากประวัติศาสตร์ เพื่อให้ตรงกับยุคของพญาลิไทย”

องค์พระบรมรูปพระมหาธรรมราชาลิไทยหล่อด้วยโลหะทองเหลืองรมดำ ขนาดสูงสองเท่า ครึ่งของคนจริง ออกแบบโดยนายอัษฎายุทธิ์ อยู่เย็น นายช่างกรมศิลปากร ทำพิธีเททองหล่อ ณ โรงหล่อประติมาไฟน์อาร์ท จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๐ และได้ทำพิธีอัญเชิญ พระบรมรูปประดิษฐานบนฐานสูง ๗ เมตรเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ซึ่งตรงกับวันที่พระมหา ธรรมราชาลิไทยทรงสถาปนาพระบรมธาตุนครชุมตามที่ปรากฏในจารึกนครชุม พ.ศ. ๑๙๐๐ พร้อมกันนี้ หลวงพ่อยังได้สร้างลานพญาลิไทย กว้าง ๕๐ เมตร ยาว ๑๐๐ เมตร เพื่อปรับภูมิทัศน์ สิ้นงบประมาณในการจัดสร้างทั้งสิ้นราว ๗.๕ ล้านบาท

นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้ร่วมกับจังหวัดกำแพงเพชรและสำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดกำแพงเพชรสร้างห้องสมุดประชาชน เฉลิมราชกุมารี อำเภอเมืองกำแพงเพชร ภายในพื้นที่ ของวัดพระบรมธาตุ ทางทิศตะวันออกของลานพญาลิไทย เหตุที่หลวงพ่อให้สร้างห้องสมุด ประชาชนในพื้นที่วัดนั้น เพราะหลวงพ่อเล็งเห็นความสำคัญของห้องสมุดที่ต้องควบคู่ไปกับ สถาบันการศึกษา เนื่องจากภายในวัดพระบรมธาตุมีสถานศึกษาถึง ๓ แห่ง ได้แก่ หน่วยวิทย บริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ และโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรม กิตติวงศ์” นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าเยื้องกับวัดยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมซึ่ง เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของจังหวัดกำแพงเพชร การที่มีห้องสมุด ประชาชนอยู่ใกล้ ๆ นั้นก็จะทำให้นิสิตและนักเรียนสามารถมาค้นคว้าหาข้อมูลได้สะดวก ทั้งยังทำ ให้วัดพระบรมธาตุเป็นศูนย์กลางของการศึกษาและพัฒนาชุมชนตามหลัก “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แม้ทางราชการจะมีงบประมาณในการจัดสร้างอาคารห้องสมุดแต่ในการตกแต่งภายในและภายนอกบางอย่างหลวงพ่อก็ให้คนงานของวัดเข้าไปช่วยดำเนินการอยู่ เนือง ๆ

ห้องสมุดประชาชน เฉลิมราชกุมารี แล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๐ และสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งดำรงพระยศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคาร ห้องสมุดประชาชน เฉลิมราชกุมารี อำเภอเมืองกำแพงเพชร อย่างเป็นทางการ ในคราวเสด็จ พระราชดำเนินทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ยังมีคณะเจ้าภาพภายใต้การนำของพระมหาบุญเลิศ มหาวีโร ป.ธ. ๗ ได้สร้างพระพุทธชินราชแกะสลักจากไม้กฤษณา ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปไม้กฤษณาที่มีขนาดใหญ่ ที่สุดในประเทศไทย อัญเชิญมาประดิษฐานที่วิหารจำลองหน้าศาลาการเปรียญ ภายหลังเมื่อจะมี การรื้อศาลาการเปรียญจึงอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นพระประธานในศาลาธรรมจักรซันเดย์ซึ่งสร้าง ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๐ และศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมยังได้รับคัดเลือก จากกระทรวงวัฒนธรรมให้ยกฐานะเป็นศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชตำบลนครชุม โดยมีหลวงพ่อทำ หน้าที่ในตำแหน่งประธานศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชตำบลนครชุมอีกด้วย

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ หลวงพ่อทราบว่าโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมจะทำการรื้อ อาคารเรียนไม้หลังเก่าซึ่งชำรุดทรุดโทรมออกเพื่อสร้างเป็นอาคารเรียนคอนกรีตหลังใหม่ขึ้น ทดแทน จึงได้ประสานงานกับทางโรงเรียนและสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษากำแพงเพชร - พิจิตรเพื่อขอไม้เก่าของอาคารมาสร้างเป็นอาคารปฏิบัติธรรม ซึ่งทางหน่วยงานดังกล่าวก็ดำเนินการส่ง เรื่องขออนุมัติตามขั้นตอนของระเบียบราชการจนสามารถรื้อถอนและนำไม้มาสร้างอาคารปฏิบัติ ธรรมได้ โดยหลวงพ่อได้ว่าจ้างผู้รับเหมาทำการรื้อถอนและนำไม้มาที่วัดพระบรมธาตุ จากนั้นก็ ดำเนินการสร้างเป็นหอวิปัสสนากัมมัฏฐานชื่อว่า “วัชร - นารี” เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าอาคารหลังนี้ สร้างขึ้นจากอาคารเรียนไม้หลังเก่าของโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมซึ่งเคยมีชื่อโรงเรียนว่า โรงเรียนกำแพงเพชร “วัชรราษฎร์วิทยาลัย” และโรงเรียนสตรีกำแพงเพชร “นารีวิทยา” อาคาร หลังนี้สร้างขึ้นทางทิศตะวันตกติดกับลานจอดรถ เป็นอาคารไม้สองชั้น ทรงไทยปั้นหยา กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๔๐ เมตร ชั้นบนเป็นที่พักผู้เข้าปฏิบัติธรรม ชั้นล่างเป็นห้องปฏิบัติธรรมและจัดกิจกรรม ต่าง ๆ มีห้องน้ำในตัวอาคารทั้งชั้นล่างและชั้นบนชั้นละ ๑๒ ห้อง มีมุขด้านหน้าใช้เป็นห้องรับรอง ทั้งยังได้ดำเนินการบูรณะพระนอนซึ่งประดิษฐานอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือขององค์พระบรม ธาตุ โดยการขยับเปลี่ยนทิศและสร้างอาคารใหม่แทนที่อาคารเดิม เป็นอาคารโถงไม่มีฝาผนัง มี พาไลยื่นมาด้านหน้าเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองด้วย

ในปีเดียวกันนี้ ตระกูลเดชศรี โดยการนำของคุณถนอม เดชศรี และคุณพิกุล เดชศรี ได้มี ศรัทธาที่จะถวายพระพุทธรูปโบราณซึ่งทางตระกูลได้สะสมไว้เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางพุทธ ศิลป์ของวัดพระบรมธาตุ และประสงค์ที่จะเป็นเจ้าภาพสร้างพระวิหารเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป โบราณดังกล่าว ตลอดจนพระพุทธรูปโบราณองค์อื่น ๆ ที่พบในวัดพระบรมธาตุ หลวงพ่อพิจารณา แล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อทางวัด ชุมชนและพระพุทธศาสนาจึงไม่ขัดศรัทธาตระกูลเดชศรี และ อนุญาตให้สร้างพระวิหาร “พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูป” ขึ้นบนลานพระบรมธาตุทางทิศตะวันตกให้ ขนานในแนวกันกับพระอุโบสถที่อยู่ทางทิศตะวันออกขององค์พระบรมธาตุ เป็นพระวิหารหลังคา ทรงไทย กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ใช้งบก่อสร้างกว่า ๒๑ ล้านบาท ภายในเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปโบราณพุทธศิลป์สมัยต่าง ๆ กว่า ๑๐๐ องค์ สร้างแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จ ทอดพระเนตรพระพุทธรูปโบราณภายในพระวิหารนี้ในคราวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระบรม ราชานุสาวรีย์พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ณ วัดพระบรมธาตุ เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ หลวงพ่อยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก หลักสูตรพุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ด้วย การทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อ “รูปแบบภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย” อันมี เนื้อหาที่สัมพันธ์หรือต่อยอดจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของหลวงพ่อในสาขาวิชาการบริหาร การศึกษา มหาวิทยานเรศวร การรับสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกเป็นหลักสูตรที่ ๒ หรือเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า “จบด๊อกเตอร์ ๒ ใบ” ทำให้มีคนเรียกชื่อหลวงพ่อแบบแซว ๆ กันว่า “เจ้าคุณ ซุปเปอร์ด๊อกเตอร์” หรือ “เจ้าคุณดับเบิ้ลด๊อกเตอร์”

หลวงพ่อทั้งพัฒนาวัด พัฒนาคนโดยการสอนหนังสือ และพัฒนาตนโดยการเรียนหนังสือ แต่ก็พยายามแบ่งเวลาในการทำงานวิจัยซึ่งถือเป็นหนี่งในภาระงานหลักของอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและอนุรักษ์แหล่งโบราณคดีในจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อมีงานวิจัยตามเกณฑ์การยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการ หลวงพ่อจึงยื่นขอกำหนดตำแหน่งทาง วิชาการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ต่อหน่วยงานรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัยในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลการพิจารณาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ ผลงานทางวิชาการของหลวงพ่อผ่านการพิจารณาคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานของคณะกรรมการ การอุดมศึกษา (สกอ.) และสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยมีมติเห็นชอบให้หลวง พ่อเป็น “ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา” ดังปรากฏความในคำสั่งมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่ ๓๐๕/๒๕๕๙ เรื่อง แต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ว่า

“อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๙ (๙) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐ และมติสภามหาวิทยาลัย ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ วันพุธที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ จึงแต่งตั้งให้ พระราชวชิรเมธี (วีระ วรปญฺโญ), ดร. อายุ ๕๖ พรรษา ๓๖ วุฒิการศึกษา ป.ธ. ๙, พธ.บ. (พระพุทธศาสนา), อ.ม. (ศาสนาเปรียบเทียบ), กศ.ด. (การ บริหารการศึกษา) ตำแหน่ง อาจารย์ สังกัด วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙”

จากคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ จึงทำให้ หลังจากนี้เป็นต้นไป ชื่อของหลวงพ่อปรากฏในเอกสารต่าง ๆ ว่า “พระราชวชิรเมธี, ผศ.ดร.” อัน เป็นการระบุตำแหน่งทางวิชาการไว้ท้ายราชทินนาม ต่างจากบุคคลทั่วไป เนื่องจากมหาวิทยาลัย สงฆ์มีแนวปฏิบัติว่า สมณศักดิ์หรือราชทินนามนั้นเป็นสิ่งพระได้รับพระราชทานจากพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเอาชื่อตำแหน่งหรืออื่นใดที่ไม่ใช่สิ่งพระราชทานมานำหน้าย่อมเป็นการไม่ บังควร จึงมีการนำตำแหน่งทางวิชาการดังกล่าวไปต่อท้ายราชทินนามแทน
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ หลวงพ่อยังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครสวรรค์ และได้รับแต่งตั้งเป็นประธาน คณะกรรมการการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ฝ่ายศาสนศึกษา ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอีกด้วย

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๔
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม
10  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / === การประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมจังหวัดกำแพงเพชร ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ === ว เมื่อ: มีนาคม 19, 2025, 10:22:34 pm
=== การประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมจังหวัดกำแพงเพชร ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ ===

วันพุธที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๘  เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอนุชา พัสถาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมจังหวัดกำแพงเพชร ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘  ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ มีนโยบายในการส่งเสริมการเรียนรู้พัฒนาศักยภาพคน องค์กรและหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ในการขับเคลื่อน และส่งเสริมคุณธรรม เพื่อให้คนไทยมีพฤติกรรมที่สะท้อนการมีคุณธรรมเพิ่มขึ้น มุ่งสู่สังคมคุณธรรมที่คนไทยอยู่ร่วมกันด้วยความสมานฉันท์ ภายใต้หลักธรรมคำสอนของศาสนา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วิถีวัฒนธรรมไทย และคุณธรรม ๕ ประการ “พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา กตัญญู” กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดสรรงบประมาณให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชรในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมระดับจังหวัด ดำเนินการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) ภายในที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาทบทวนร่างประกาศเจตนารมณ์การขับเคลื่อน “ จังหวัดคุณธรรม” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ พิจารณาปัญหาที่อยากแก้ ความดีที่อยากทำ และพิจารณาแผนการดำเนินงานขับเคลื่อนการส่งเสริมคุณธรรมจังหวัดกำแพงเพชร มีการรายงานผลการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมในภาพรวมของจังหวัดกำแพงเพชร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ แผนการขับเคลื่อนการส่งเสริมคุณธรรมของจังหวัดกำแพงเพชรภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) รายงานผลการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ การคัดเลือกและยกย่องคนดีศรีจังหวัด โครงการเสริมหนุนกลไกเครือข่ายทางสังคมเพื่อการขับเคลื่อนจังหวัดจังหวัดคุณธรรม และโครงการส่งเสริมคุณธรรม ศีลธรรม นำการศึกษา ให้ที่ประชุมรับทราบ
ในการนี้ นายอภินันท์ มุสิกะพงษ์ วัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร พร้อมด้วย ข้าราชการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ดำเนินการจัดประชุมฯ โดยมีคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมจังหวัด มีนางสาวสิริกร นิลกำแหง พัฒนาการจังหวัดกำแพงเพชร นายสมชาย ดอนสมพงษ์ ศึกษาธิการจังหวัดกำแพงเพชร นางสาวมะลิวัน สิทธิโยธี พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกำแพงเพชร นายวีระ บัวผัน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต ๒ นายสันติ อภัยราช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนราชการ หน่วยงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ทั้งนี้ ก่อนเริ่มประชุม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุภายในพิพิธภัณฑ์ โดยมีนางสาวเบญจวรรณ จันทราช หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกำแพงเพชร เป็นผู้นำชม ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกำแพงเพชร ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร
11  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ๑๙มีนาคม ๒๕๖๘ ครบรอบ ๕๔ ปี แห่งการเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร พิพิธภัณ เมื่อ: มีนาคม 19, 2025, 06:14:54 pm
๑๙มีนาคม ๒๕๖๘ ครบรอบ ๕๔ ปี แห่งการเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานประจำแหล่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี เพื่อเก็บรวบรวม สงวนรักษา และจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่ได้จากการดำเนินงานทางโบราณคดีภายในเขตจังหวัดกำแพงเพชร เพื่ออนุรักษ์และเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปกรรมท้องถิ่นของจังหวัดกำแพงเพชร โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายสุกิจ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นเป็นผู้แทนพระองค์

หมายเหตุ ภาพถ่ายเก่าเป็นภาพในพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๔
12  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ????????⚡มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร จัดกิจกรรม "มรดกวิถีชุมชน 2 ฝั่งสายน้ำ ตามรอยเสด เมื่อ: มีนาคม 14, 2025, 04:50:39 am
ฮืมฮืม??⚡มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร จัดกิจกรรม "มรดกวิถีชุมชน 2 ฝั่งสายน้ำ ตามรอยเสด็จประพาสต้นรัชกาลที่ 5 จังหวัดกำแพงเพชร" สืบสานมรดกวัฒนธรรม Soft Power ด้านอาหารและวัฒนธรรม

วันที่ 13 มี.ค.68 เวลา 19.30 น. ที่พิพิธภัณฑสถานจังหวัดกำแพงเพชร เฉลิมพระเกียรติ (พิพิธภัณฑ์เรือนไทย) ต.ในเมือง อ.เมือง นายชธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร มอบหมายให้ นายอนุชา พัสถาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร ร่วมให้การต้อนรับ นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในโอกาสเดินทางมาเป็นประธานเปิดกิจกรรม "มรดกวิถีชุมชน 2 ฝั่งสายน้ำ ตามรอยเสด็จประพาสต้นรัชกาลที่ 5 จังหวัดกำแพงเพชร" สืบสานมรดกวัฒนธรรม Soft Power ด้านอาหารและวัฒนธรรม โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปรียนุช พรหมภาสิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร, นางกาญจนี รุจนเสรี ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกำแพงเพชร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ, ข้าราชการ, เจ้าหน้าที่, ประชาชน ภาครัฐและเอกชนในจังหวัดกำแพงเพชร,องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสถาบันการศึกษา และบริษัทเอกชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมในวันและเวลาดังกล่าว
ภายในกิจกรรม มีการจัดแสดงวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมอันหลากหลายของ 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนตำบลไตรตรีงษ์ ชุมชนตำบลนครชุม และชุมชนตำบลในเมือง นอกจากนั้นทางสำนักศิลปะและวัฒนธรรมฯยังได้ทำการศึกษาและพัฒนาอาหารและผลิตภัณฑ์ผ่านกรอบแนวคิดตามรอยเสด็จประพาสต้นรัชกาลที่ 5 สำหรับอาหาร 7 เมนู ประกอบด้วยอาหารทรงโปรดและอาหารพื้นถิ่น ได้แก่ ขนมจีน-น้ำยาจากตำบลไตรตรีงษ์ ผักห่อจากตำบลนครชุม พล่าน้ำเพลี่ยจากตำบลในเมือง ข้าวคลุกน้ำพริกกะปิ กรีนคาเวียร์แกงไข่น้ำใส่เป็ดย่าง (ไข่ผา) และข้าวแช่ชาววัง (ข้าวสามสี) ซึ่งในเมนูอาหาร 2 เมนูสุดท้ายได้มีการพัฒนาโดยการนำไข่ผำและข้าวสามสีที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรร่วมกับชุมชนในพื้นที่ทั้งนี้เพื่อต่อยอดองค์ความรู้จากงานวิจัยสู่การนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรมอีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิง วัฒนธรรมและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ซึ่งนอกจากเมนูอาหารแล้วยังมีผลิตภัณฑ์ที่ได้พัฒนาเป็นของที่ระลึก แบ่งออกเป็นประเภท เสื้อ กระเป๋า และพวงกุญแจ อีกด้วย
13  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ตอนที่ ๑๒เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” ก่อนถึงวันพร เมื่อ: มีนาคม 12, 2025, 04:53:20 pm
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๒: (ต่อ) แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

๕ ปีสวย
เป็นช่วงเวลาที่หลวงพ่อได้กำหนดไว้สำหรับการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในวัด พระบรมธาตุตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ ถือเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิง กายภาพของวัดพระบรมธาตุเป็นอย่างมาก เพราะมีการปรับผังอาคารและเสนาสนะภายในวัดใหม่ เกือบทั้งหมด นำมาซึ่งความสง่างามขององค์พระบรมธาตุนครชุมในปัจจุบัน ซึ่งนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นมาถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้มาสัมผัสกับแนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ “๕ ปี สวย” ของหลวงพ่อ เนื่องจากผู้เขียนมาอยู่วัดพระบรมธาตุในช่วงกลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ใน ฐานะเด็กวัดที่ช่วยเป็นเลขานุการโครงการวิจัยของหลวงพ่อ ก่อนที่ภายหลังจะได้รับมอบหมายจาก หลวงพ่อให้เข้าสอนแทนในชั้นปีที่ ๔ สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ ของหน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร และเป็นอาจารย์ประจำในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลังจากนั้นก็ได้รับรู้ในการพัฒนาสิ่ง ต่าง ๆ ของหลวงพ่อเรื่อยมา

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ถือเป็นปีที่เริ่มความเปลี่ยนแปลงของวัดพระบรมธาตุตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากในช่วงกลางเดือนมกราคมปีนั้น รัฐบาลของนาวสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มาจัดประชุม คณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดกำแพงเพชร ทางรัฐบาลเปิดโอกาสให้หน่วยงานในท้องถิ่นเสนอ โครงการพัฒนาต่าง ๆ เข้ารับการพิจารณางบประมาณจากคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษ เมื่อทาง หน่วยงานราชการทราบเรื่องก็ได้แจ้งให้หลวงพ่อทราบ เผื่อว่าหลวงพ่อจะเสนอโครงการเพื่อรับการ พิจารณา และก็เป็นเช่นนั้น หลวงพ่อได้เสนอโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดพระบรมธาตุเพื่อขอรับ งบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล

ผู้เขียนจำได้ว่าในระหว่างที่หน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร จัดกิจกรรม ปฏิบัติเฉลิมพระเกียรติประจำปีที่วัดเกาะรากเสียดนอก อำเภอโกสัมพีนคร หลวงพ่อได้เรียกให้ ผู้เขียนกับคุณจันทรา กุลนันทคุณ นักวิชาการวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร หรือที่หลวงพ่อเรียกว่า “คุณนายจันทร์” มาหารือและช่วยเขียนโครงการว่าจะปรับปรุงภูมิทัศน์วัด พระบรมธาตุอย่างไรบ้างที่ศาลากองอำนวยการ ณ วัดเกาะรากเสียดนอก หลวงพ่อ ผู้เขียนและ คุณนายจันทร์ก็ระดมความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง สุดท้ายก็ตกผลึก ส่งข้อมูลให้ทางหน่วยงาน โยธาธิการดำเนินการต่อ และเสนอโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดพระบรมธาตุไปยังที่ประชุม คณะรัฐมนตรีในวงเงินที่จำได้คร่าว ๆ ราว ๓๐ ล้านบาท และเป็นที่โชคดีว่าในรัฐบาลมีนายวราเทพ รัตนากร ซึ่งเป็นชาวอำเภอบึงสามัคคี จังหวัดกำแพงเพชร เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาลงพื้นที่เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณา ปรากฏว่าทางคณะรัฐมนตรีอนุมัติ โครงการดังกล่าว ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิดน่าจะได้รับอนุมัติงบประมาณที่ ๒๘ ล้านบาท โดยให้ใช้ งบประมาณจากปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ซึ่งสามารถเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๗ เมื่อมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีออกมา ทีมงานทุกคนดีใจตื่นเต้นกันใหญ่ และเป็นเกียรติของผู้เขียนอย่างยิ่งที่หลวงพ่อให้โอกาสและไว้ใจในการร่วมงาน ซึ่งขณะนั้น ผู้เขียนมีอายุเพียง ๒๕ ปีเท่านั้น

ในระหว่างที่รอการปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งใหญ่ หลวงพ่อได้ขออนุญาตกรมศิลปากร ดำเนินการรื้อพื้นคอนกรีตลานรอบองค์พระบรมนครชุมออก เนื่องจากไม่สามารถระบายความชื้น และเกิดผลกระทบต่อองค์พระบรมธาตุ แล้วปูพื้นลานพระบรมธาตุด้วยกระเบื้องโบราณ (กระเบื้อง ดินเผา) สิ้นงบประมาณ ๓.๕ ล้านบาท ทั้งได้ปลูกต้นชวนชมขนาดใหญ่ประดับบริเวณรอบฐานองค์ พระบรมธาตุ จำนวน ๑๕๐ กระถาง โดยใช้กระถางเคลือบอย่างดีจากจังหวัดราชบุรี และปลูกต้น ตะโกดัด ๔ ทิศ เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมชาติรอบองค์พระบรมธาตุ เมื่อถึงรอบปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ทางหน่วยงานราชการที่ รับผิดชอบโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดพระบรมธาตุก็เข้ามาดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ถือเป็น การปรับภูมิทัศน์ครั้งใหญ่ของวัดพระบรมธาตุ นำไปสู่การเปลี่ยนพื้นที่ทางทิศใต้ซึ่งเดิมเป็นด้านหลังวัดให้เป็นด้านหน้าวัดเพื่อให้สอดคล้องกับการคมนาคมในปัจจุบัน การปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งนี้ ประกอบด้วย
 ๑. รื้อถอนระเบียงรอบองค์พระบรมธาตุทางทิศใต้ออก รวมทั้งกองอำนวยการเดิมของวัด แล้วย้ายพระพุทธรูปปูนปั้นจำนวนมากที่ประดิษฐานอยู่ที่ระเบียงไปประดิษฐานที่เนินเขาที่ที่พัก สงฆ์หินชะโงก บ้านคุยป่ารัง ซึ่งเป็นที่พักสงฆ์ที่หลวงพ่อได้นำพาชาวบ้านคุยป่ารังพัฒนา เพื่อให้ เป็นที่จำพรรษาของพระภิกษุสามเณรที่สนใจในการปฏิบัติกรรมฐานเป็นการเฉพาะ
๒. รื้อถอนหอระฆังเดิมที่ตั้งข้างลานพระบรมธาตุออก
๓. รื้อถอนหมู่กุฏิสงฆ์ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ขององค์พระบรมธาตุออกทั้งหมด รวม ๒๘ หลัง กุฏิสงฆ์ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นอาคารคอนกรีตยกพื้น ๑ ชั้น สร้างมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่ง ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ในช่วงหน้าฝนเกิดน้ำท่วมขัง ไม่สะดวกต่อการ พักของพระภิกษุสามเณร แล้วให้พระภิกษุสามเณรย้ายไปพักที่อาคารเรียนเดิมของโรงเรียนวัด พระบรมธาตุซึ่งปรับปรุงให้เป็นห้องพัก บางส่วนพักที่กุฏิไม้สักน๊อคดาวน์ ซึ่งจัดโซนไว้เป็นเขต สังฆาวาสโดยเฉพาะทางบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของวัด ซึ่งเป็นบริเวณต่อกับกุฏิเฉาก๊วยชากังราว ประชาสรรค์ที่สร้างไว้ก่อนหน้า
๔. เคลื่อนย้ายกุฏิหลวงปู่วิเชียรโมลี (ปลั่ง) อดีตเจ้าอาวาสที่มีการสร้างมาตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๗๐ จากเดิมที่หันหน้าเข้าหาองค์พระบรมธาตุ ให้เข้าแนวภูมิทัศน์ใหม่ โดยหันหน้ามาทางทิศ ตะวันออก ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์หลวงปู่วิเชียรโมลี
๕. เคลื่อนย้ายอาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรมหลังเก่าซึ่งเป็นอาคารไม้ ๒ ชั้น จากเดิมที่อยู่ ติดกับกุฏิหลวงปู่วิเชียรโมลีและหันหน้าเข้าหาองค์พระบรมธาตุ ให้เข้าแนวภูมิทัศน์ใหม่ โดยหัน หน้ามาทางทิศตะวันออก ถัดจากจากกุฏิหลวงปู่วิเชียรโมลี ปัจจุบันบูรณปฏิสังขรณ์และใช้เป็นหอ คัมภีร์โบราณ
๖. ตัดถนนจากถนนหลักสายนครชุมไปยังลานพระบรมธาตุ ทำฟุตบาท ทำวงเวียน ตรงหน้าองค์พระบรมธาตุ
๗. สร้างลานจอดรถ เทพื้นคอนกรีต ฝั่งตรงขามกับเขตสังฆาวาสใหม่ ซึ่งสามารถจอด รถยนต์ได้ประมาณ ๑๐๐ คัน
๘. สร้างรั้วด้านหน้าวัด และรั้วกั้นเขตสังฆาวาสกับเขตพุทธาวาส
๙. สร้างปุญญาคาร เป็นอาคารอำนวยการทำบุญและประชาสัมพันธ์ของวัด
๑๐. ตัดตั้งเสาไฟฟ้า ออกแบบเป็นเสาหงส์ส่องสว่างรอบลานพระบรมธาตุและถนน
๑๑. ปรับปรุงอาคารเรียน ป.๑ ข. ซึ่งเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนวัดพระบรมธาตุเดิม ใช้ ประโยชน์เป็นกุฏิสามเณร สามารถพักได้ประมาณ ๑๐๐ รูป

ในปีงบประมาณเดียวกันนี้ ทางจังหวัดกำแพงเพชรโดยนายสุรพล วาณิชเสนี ผู้ว่าราชการ จังหวัด ยังได้อนุมัติงบประมาณเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณคลองสวนหมากทางทิศเหนือของวัด พระบรมธาตุ จากที่ตื้นเขินให้มีน้ำไหลเข้าเหมือนในอดีต มีการถมดินบริเวณร่องแนวคลองสวน หมากเดิมกับคลองสวนหมากปัจจุบันให้มีพื้นราบเสมอกับลานพระบรมธาตุ เพื่อที่จะสร้างอาคาร เพื่อส่งเสริมทางการท่องเที่ยวและเป็นอาคารทำกิจกรรมของชุมชน เบื้องต้นนั้นตามแผนคือว่าจะ สร้างให้เป็น “ตลาดน้ำนครชุม” ซึ่งท่านผู้ว่า ฯ สุรพลเคยมีประสบการณ์การทำตลาดน้ำที่ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ประสบความสำเร็จมาแล้ว

ในระหว่างการถมดินได้มีการค้นพบก้อนศิลาแลงขนาดใหญ่จำนวนมากที่บริเวณใกล้กับ ลานพระบรมธาตุ ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นศิลาแลงส่วนประกอบของเสาและฐานวิหารหลวงของ วัดพระบรมธาตุในสมัยสุโขทัย ซึ่งครั้งสร้างพระบรมธาตุองค์ใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการนำ ก้อนศิลาแลงเหล่านี้ลงมาเป็นแนวกั้นกระแสน้ำเซาะตลิ่ง ทำให้ชาวนครชุมเรียกบริเวณนี้ว่า “หัว รอ” ผู้เขียนเสนอหลวงพ่อให้ทางผู้รับเหมาขุดศิลาแลงทั้งหมดขึ้นมาไว้แล้วค่อยถมดิน เพื่อเป็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลวงพ่อเห็นด้วยและขอร้องผู้รับเหมาตามนั้น ภายหลังหลวงพ่อได้นำ ก้อนศิลาแลงบางส่วนมาจัดแสดงไว้ตามมุมขององค์พระบรมธาตุ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา ความเป็นมาในอดีตของวัดพระบรมธาตุ

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๓
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม
14  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ตอนที่ ๑๑ เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” ก่อนถึงวันพ เมื่อ: มีนาคม 12, 2025, 03:23:24 am
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๑: (ต่อ) แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

๕ ปีสร้าง(๒)
๔. สร้างคนผ่านการอบรมยุวมัคคเทศก์ หลังจากที่หลวงพ่อบูรณปฏิสังขรณ์ศาลาการ เปรียญหลังเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านของศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม ผู้เขียนได้มีโอกาสมารู้จักกับหลวงพ่อครั้งแรกผ่านการอบรมยุวมัคคเทศก์เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๕๒ จำ ได้ว่าปีนั้นทางกระทรวงวัฒนธรรมได้มีการประกวดศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนทั่วประเทศ หลวงพ่อได้ติดต่อกับผู้เขียนผ่านทางคุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ และคุณครูอัญชรี กัลปพฤกษ์ โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม ซึ่งรู้จักกับผู้เขียนโดยบังเอิญในคราวคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จัดโครงการอบรมครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษาในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดย ผู้เขียนแนะนำผ่านคุณครูทั้งสองคนว่าวัดพระบรมธาตุมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่น่าสนใจ หากมีการนำ เยาวชนมาอบรมเป็นยุวมัคคุเทศก์ก็จะทำให้น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนขณะนั้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม ประวัติศาสตร์สองข้างทาง สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ยินดี ที่จะมาช่วยอบรม คุณครูทั้งสองคนได้มาเล่าให้หลวงพ่อฟัง และคิดว่าควรมีการอบรมยุวมัคคเทศก์ ลองดู เผื่อจะถูกใจคณะกรรมการที่มาประเมินให้คะแนน

ผู้เขียนกับคณะเดินทางจากมหาวิทยาลัยนเรศวรโดยรถโดยสารมาถึงวัดพระบรมธาตุก็ราว เพลพอดี กินข้าวเที่ยงทำความคุ้นเคยกับนักเรียนที่จะมาอบรมราว ๒๐ คน จากนั้นก็อบรมความรู้ ภาคทฤษฎีเล็กน้อย ก่อนนำไปสู่การฝึกบรรยายนำชมจริง โดยหลวงพ่อให้โจทย์ว่า “ทำยังไงก็ได้ ขอให้เด็กพวกนี้พูดได้ บรรยายได้ และเข้าใจในสิ่งที่กำลังพูด” ปรากฏว่าเมื่อถึงบ่าย ๓ โมงกว่า ๆ นักเรียนที่เข้าอบรมก็สามารถบรรยายนำชมได้แล้ว วันนั้นหลวงพ่อได้ทำหน้าที่เป็นนักท่องเที่ยว เพื่อทดสอบการนำชมของยุวมัคคุเทศก์ด้วย ซึ่งหลวงพ่อประทับใจมาก ไม่คิดว่าทั้งคนฝึกและ นักเรียนจะสามารถทำได้ขนาดนี้ ก่อนที่จะกำชับว่าให้นักเรียนหมั่นเข้ามาฝึกฝน และนำชมจริง ๆ ได้เลยในช่วงวันหยุด ทางวัดจะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารเอง จากนั้นผู้เขียนและคณะก็เดินทางกลับ โดยหลวงพ่อจัดรถยนต์ของวัดมาส่งที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมทั้งเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อค่ำ เป็นการขอบคุณด้วย

ต่อมาเมื่อทางคณะกรรมการจากกระทรวงวัฒนธรรมมาประเมินตรวจเยี่ยมศูนย์ส่งเสริม วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมที่วัดพระบรมธาตุ ทางยุวมัคคุเทศก์ที่ผ่านการอบรมก็ได้ แสดงฝีมือให้คณะกรรมการชม ปรากฏว่าผลการประกวดศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมได้รับรางวัลดีเด่นระดับ ภาคเหนือ ผู้เขียนจำคร่าว ๆ ได้ว่าได้รับเงินรางวัล ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมโล่เกียรติยศ เมื่อรับ รางวัลมาแล้วหลวงพ่อได้ประสานกับผู้เขียนอีกครั้ง บอกว่าครั้งนี้จะจัดอบรมยุวมัคคุเทศก์อย่าง เป็นทางการ มีนักเรียนจากโรงเรียนในชุมชนเข้าร่วม ๔๐ คน ใช้เวลาอบรม ๒ วัน ๑ คืน เรียกการ อบรมครั้งนั้นว่า “การอบรมยุวชนน้อยทูตวัฒนธรรม” การอบรมลุล่วงไปด้วยดีด้วยความช่วยเหลือ ของคุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ คุณครูอัญชรี กัลปพฤกษ์ คุณครูธิดามาตย์ สถิตย์อยู่ และคุณครูอีกหลายคนจากโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมและโรงเรียนอนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) หลังจากนั้นในช่วงวันหยุดก็จะมีนักเรียนหมุนเวียนกันตามเวรมาประจำที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านศูนย์ ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุมที่วัดพระบรมธาตุ เพื่อต้อนรับและบรรยายข้อมูล ให้กับนักท่องเที่ยวเรื่อยมา

จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม ก็ได้รับ รางวัลโล่เกียรติยศดีเด่นระดับประเทศ ซึ่งคณะกรรมการผู้ประเมินให้ความเห็นว่า ที่ได้รับรางวัลก็ เพราะที่วัดพระบรมธาตุมียุวมัคคุเทศก์ ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนได้เรียนรู้และอนุรักษ์ วัฒนธรรมท้องถิ่น มีคนหลายวัยมาร่วมทำกิจกรรม เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ของโครงการศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนของกระทรวงวัฒนธรรม

แม้ว่าในช่วงหลังจากการอบรมราว ๒ ปี ยุวมัคคุเทศก์ที่มาคอยนำชมจะลดลง เนื่องจาก สำเร็จการศึกษา แต่หลวงพ่อก็พยายามที่จะ “สร้างคน” ให้เป็นคนที่มีจิตอาสาและรักบ้านเกิดผ่าน กิจกรรมอบรมยุวมัคคุเทศก์ ดังพบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลวงพ่อได้จัดอบรมยุวมัคคุเทศก์อีกครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการวิจัยเรื่อง “การอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งโบราณคดีตำบลนครชุม อำเภอ เมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร” ซึ่งหลวงพ่อเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย และได้รับการยกย่อง ให้เป็นงานวิจัยดีเด่นของสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในปี นั้นด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก็ได้มีการพัฒนาจากการอบรมยุวมัคคุเทศก์เป็น “ยุววิจัย” ผ่าน โครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาองค์ความรู้เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้การอนุรักษ์และพัฒนา แหล่งโบราณคดีจังหวัดกำแพงเพชร” ซึ่งได้รับการเงินสนับสนุนการวิจัยจากกองทุนสนับสนุนการ วิจัย (สกว.) จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อพยายามที่จะ “สร้างคน” ในท้องถิ่นตั้งแต่ระดับนักเรียนและ เยาวชนให้เป็นผู้มีความรู้และมีจิตสำนึกรักบ้านเกิดมาโดยตลอด

ผลในความทุ่มเทในการ “สร้างคน” ไม่เพียงแต่หลวงพ่อจะเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วน ในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรมให้กับสังคมประเทศชาติเท่านั้น แต่ผลงาน อันเป็นรูปธรรมเชิงประจักษ์ของหลวงพ่อยังทำให้หลวงพ่อได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องมากมาย เช่น ได้รับรางวัล “วัฒนคุณาธร” ซึ่งเป็นรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์แก่กระทรวงวัฒนธรรม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และรางวัล “พุทธคุณูปการ” ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ในงาน ครบรอบ ๖๕ ปี คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้น

ในช่วง “๕ ปีสร้าง” หลวงพ่อไม่ได้แค่เพียงสร้างถาวรวัตถุและสร้างคนเท่านั้น ที่สำคัญคือ หลวงพ่อยัง “สร้างตน” อีกด้วย สร้างตนในที่นี้หมายถึงหลวงพ่อได้พยายามที่จะศึกษาหาความรู้ เพื่อพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง โดยสมัครเข้าศึกษาต่อระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหาร การศึกษา ที่บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ หลวงพ่อ ทุ่มเทกับการเรียนอย่างเต็มที่ควบคู่กับการพัฒนาวัด โดยเดินทางมาเรียนในทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ จนในที่สุดก็สำเร็จการศึกษาหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา จาก มหาวิทยาลัยนเรศวร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิตเรื่อง “อนาคต ศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย” ซึ่งเป็นความพยายามของหลวงพ่อที่จะใช้ข้อมูลจากการทำ วิทยานิพนธ์นี้ไปพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์

และในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ยังได้เข้าศึกษาต่อหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (รุ่นที่ ๑) ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ซึ่งหลวงพ่อต้องเดินทางลงมาเรียนทุกวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ในทุกสัปดาห์ โดยช่วงนี้หลวงพ่อมีรถตู้ส่วนตัวเป็นรถยี่ห้อฮุนไดเป็นพาหนะในการเดินทาง มีโยมพระนมหรือ คุณทณภพ ศิรินาค ชาวบ้านคุยป่ารังทำหน้าที่คนขับและอุปัฏฐากในระหว่างการเดินทาง นอกจาก จะเดินทางมาเรียนแล้ว หลวงพ่อยังต้องมาเป็นอาจารย์ผู้สอนในหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยด้วย เพราะหลวงพ่อ ได้รับแต่งตั้งเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรชุดแรกของหลักสูตรนี้ เนื่องจากมีคุณวุฒิระดับปริญญา เอกที่ตรงกับหลักสูตรที่ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทำการเปิดการเรียนการสอน

โชคดีว่าในการมาเรียนและมาสอนนั้นหลวงพ่อได้ชวนพระสังฆาธิการหลายรูปในจังหวัด กำแพงเพชรให้มาเรียนต่อระดับปริญญาเอกด้วยกัน นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าน้ำมันรถแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อจะได้เปิดสอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสน ศาสตร์ ที่หน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร ต่อไปในอนาคต ซึ่งประกอบด้วย พระครู วชิรคุณพิพัฒน์ (เอนก คุณวุฑฺโฒ ป.ธ. ๓) วัดถาวรวัฒนาใต้ เจ้าคณะอำเภอทรายทองวัฒนา และ รองผู้อำนวยการหน่วยวิทยบริการ ฯ ฝ่ายบริหาร (ปัจจุบันเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร

ผลงานที่หลวงพ่อทุ่มเทในการสร้างคนและสร้างวัดในช่วงเวลานี้ ทำให้เป็นที่ประจักษ์ต่อ สายตาบุคคลทั่วไปที่เข้ามายังวัดพระบรมธาตุ ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้หลวงพ่อได้รับ ยกย่องและได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจากหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้รับโล่ “คุรุสดุดี” จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต ๑ และในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อยังได้รับรางวัลผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาระดับ “กาญจนเกียรติคุณ” โดย คณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น

ด้วยอานิสงส์ผลบุญที่หลวงพ่อได้กระทำในการพัฒนาวัดพระบรมธาตุ พัฒนาคนและ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ขึ้นมารับภารธุระเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ยังทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ให้หลวงพ่อเป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ “พระราชวชิรเมธี” ดังปรากฏในสัญญาบัตรว่า “ให้พระศรีวชิราภรณ์ เป็นพระราชวชิรเมธี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดพระบรม ธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดกำแพงเพชร” ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งราชทินนามที่ “พระราชวชิรเมธี” นั้นยังไม่เคยปรากฏว่าเป็นราชทินนามที่เคยมีการพระราชทานให้แก่พระภิกษุ รูปใดมาก่อน หลวงพ่อจึงเป็นพระภิกษุหรือพระราชาคณะรูปแรกของประเทศไทยที่ได้รับ พระราชทานราชทินนามว่า “วชิรเมธี” นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ในการจัดงานต้อนรับสัญญาบัตร พัดยศและสมโภชสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นราชของ หลวงพ่อ จัดขึ้น ณ ศาลาเปรียญวัดพระบรมธาตุ ในงานได้มีพระเถรานุเถระและพุทธศาสนิกชน จำนวนมากมาร่วมแสดงมุทิตายินดีกับหลวงพ่อ หลวงพ่อเมตตาให้จัดสร้างวัตถุมงคลที่เป็นภาพ หลวงพ่อขึ้นเป็นรุ่นแรกในการนี้ เป็นเหรียญรูปพัดยศ แหนบรูปพัดยศ และเหรียญทรงกลม ซึ่งเป็น ที่กล่าวกันในภายหลังว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อรุ่นนี้เน้นเนื่องเมตตามหานิยมเป็นหลัก

ตอนนั้นผู้เขียนขึ้นไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ เมื่อได้ทราบข่าวอันเป็นมงคลก่อนที่หลวงพ่อจะเข้ารับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ จึงได้ ประสานกับคุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ เพื่อแจ้งความประสงค์ว่าจะขอเขียนหนังสือ “เมืองโบราณ นครชุมและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน วัดพระบรมธาตุ” ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทความเรื่องเมืองโบราณนครชุมและศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลนครชุม วัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง เพื่อจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาสดังกล่าว คุณครูสุภิตราจึงได้เรียนให้หลวงพ่อทราบ และหลวงพ่อ มีความยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้มีหนังสือที่มี องค์ความรู้ทางประวัติท้องถิ่นมอบให้ผู้มาร่วมงาน โดยทางคณะสงฆ์ กรรมการทายก ทายิกา วัดพระบรมธาตุ ได้จัดพิมพ์ถวายจำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๒
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม
15  หมวดหมู่ทั่วไป / จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร / ตอนที่ ๑๐เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก” ก่อนถึงวันพร เมื่อ: มีนาคม 11, 2025, 05:06:04 am
เล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของ “พระเทพวชิรเมธี หรือ หลวงตาเอก”
ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระเทพวชิรเมธี,ผศ.ดร. (วีระ วรปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร และเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง

ตอนที่ ๑๐ : (ต่อ) แนวทางพัฒนาวัดพระบรมธาตุ : “๕ ปีซ่อม ๕ ปีสร้าง ๕ ปีสวย”

๕ ปีสร้าง (๑)
แม้หลวงพ่อจะกำหนดไว้ว่าช่วง พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๕ แต่ในความเป็นจริงการ ซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในวัดพระบรมธาตุนั้นดูเหมือนจะลงตัวเข้าที่เข้าทางตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๙ จึงทำให้หลวงพ่อเริ่มที่จะสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในวัดเพิ่มเติมขึ้นใหม่เพื่อใช้งานในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เริ่มต้นจากการก่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ซึ่งเป็นอาคารชั้น เดียว กว้าง ๘ เมตร ยาว ๕๐ เมตร แบ่งเป็นห้องต่าง ๆ ทั้งห้องเรียนและห้องทำกิจกรรมของ นักเรียน (ปัจจุบันเป็นห้องเรียนของวิทยาลัยสงฆ์กำแพงเพชร) การตั้งชื่อโรงเรียนพระปริยัติธรรม ของวัดพระบรมธาตุว่า โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” นั้น สืบเนื่องมาจากตั้งเป็น เกียรติแด่พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) เป็นผู้อุปถัมภ์การ ก่อสร้าง ทั้งเป็นต้นแบบของพระภิกษุผู้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉาน ได้รับพระกรุณาโปรด เกล้า ฯ เป็นราชบัณฑิต ทั้งยังเป็นพระภิกษุชาวกำแพงเพชรที่เคยอาศัยอยู่ที่วัดพระบรมธาตุมา ก่อน ซึ่งในขณะนั้นท่านมีสมณศักดิ์และราชทินนามที่ “พระธรรมกิตติวงศ์”

จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อและพระเถระภายในวัดให้ข้อมูลตรงกันว่า ก่อนหน้าที่จะมี การสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” นั้น บริเวณทางทิศตะวันออก ของพระอุโบสถนั้นถูกปล่อยให้เป็นป่ารกร้าง มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่หลายต้น ด้านล่างเป็นป่าหญ้าคา แทบไม่มีใครอยากจะเดินไปทางนั้น บางครั้งเมื่อจะมีงานบวชทางเจ้าภาพก็ต้องไปถางป่าให้เตียน ให้เวียนรอบพระอุโบสถได้ เพราะเป็นพื้นที่ว่างไม่ได้ใช้ประโยชน์ หลวงพ่อจึงดำริให้มีการสร้าง อาคารเรียนขึ้นที่บริเวณดังกล่าว เพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ของวัดให้คุ้มค่ามากที่สุด

จากนั้นหลวงพ่อยังได้ดำเนินการปรับถมที่ดินภายในบริเวณวัดทางทิศใต้ (บริเวณลานจอด รถปัจจุบัน) ที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่น โดยการนำดินมาถมแล้วเกรดปรับระดับให้เท่ากับพื้นปกติ ขณะเดียวกันก็ดำเนินการปรับถมที่บริเวณสนามฟุตบอลของโรงเรียนวัดพระบรมธาตุและปลูก สนามหญ้า ทั้งนี้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น มหาเถรสมาคมมีมติจัดพิธีทรงตั้งเปรียญธรรม ๓ ประโยค และมอบวุฒิบัตรประโยค ๑ - ๒ ของคณะสงฆ์หนเหนือ ณ วัดพระบรมธาตุ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑ จึงจำเป็นต้องปรับสถานที่เพื่อรองรับพระเถรานุเถระ สามเณรและญาติโยมจาก ทุกจังหวัดในภาคเหนือที่เดินทางมาร่วมงาน ถือว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของวัดพระบรมธาตุ ในสมัยนั้น

พ.ศ. ๒๕๕๒ หลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีก ๑ หลัง เป็นอาคาร ทรงไทยพื้นถิ่น แบบนครชุม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียวจำนวน ๕ ห้อง หลังคามุงด้วย กระเบื้องโบราณ พื้นปูด้วยหินแกรนิตอย่างดี มีพื้นที่ใช้สอย ๑๔๒ ตารางเมตร และมีเรือนมุขหน้า สำหรับเป็นห้องพักครูสอนด้วย ตลอดจนดำเนินการสร้างอาคารควบคุม - จ่ายน้ำประปาใช้ภายในวัดพระบรมธาตุ ตัวอาคารเป็นโครงเหล็กมุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิค ถังน้ำ สแตนเลส

พ.ศ. ๒๕๕๓ หลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติมอีกเพื่อรองรับ จำนวนพระภิกษุสามเณรที่มาเรียนพระปริยัติธรรมจำนวนมากขึ้นเป็นอาคารทรงไทยพื้นถิ่น แบบ นครชุม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว จำนวน ๑ ห้องเรียน ๑ ห้องบริหาร และ ๑ ห้อง ประชุม หลังคามุงด้วยกระเบื้องโบราณ พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิคอย่างดี มีพื้นที่ใช้สอย ๑๗๐ ตารางเมตร และเริ่มดำเนินการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีก ๑ หลัง เป็นอาคารทรงไทย ประยุกต์ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว จำนวน ๑ ห้องเรียนรวม หลังคามุงด้วยกระเบื้อง ลอนคู่ พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิคอย่างดี

พ.ศ. ๒๕๕๔ หลวงพ่อได้เริ่มปรับภูมิทัศน์ทางฝั่งคลองสวนหมากโดยปลูกสร้างสวนหย่อม บริเวณริมคลองสวนหมากทางทิศเหนือของวัด เพื่อเป็นการปรับภูมิทัศน์และใช้เป็นที่พักผ่อน หย่อนใจของพระภิกษุสามเณร และประชาชนโดยทั่วไป ทั้งยังสร้างลานปฏิบัติธรรมรอบต้นพระศรี มหาโพธิ์ภายในบริเวณวัด โดยการเทพื้นด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ปูด้วยกระเบื้องเซรามิคอย่างดี ขณะเดียวกันก็ได้เทพื้นคอนกรีตลานด้านหน้าพระบรมธาตุ เพื่อใช้เป็นที่จอดรถ โดยการปรับ พื้นดินเดิมให้เสมออัดเกลี่ยทราย วางโครงเหล็กเทคอนกรีตผสมเสร็จ ในปีเดียวกันนี้หลวงพ่อยังได้ ดำริให้มีการสร้างกุฏิสงฆ์น๊อคดาวน์จำนวน ๒๐ หลัง เป็นอาคารไม้สักทรงไทยแบบนครชุม เพื่อใช้ เป็นที่พักของผู้ปฏิบัติธรรมและพระนวกะในช่วงเข้าพรรษา โดยเปิดรับบริจาคเจ้าภาพร่วมสร้าง และหลวงพ่อยังได้ดำเนินการบูรณะเตาเผาศพของวัด โดยเปลี่ยนจากเตาเผาถ่านเป็นเตาเผาระบบ ไร้ควันพิษตามแบบของกระทรวงสาธารณสุข

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ยังเป็นปีที่หลวงพ่อต้องตัดสินใจในการที่จะหาวิธีการรักษาโรงเรียนวัด พระบรมธาตุเอาไว้ด้วย โรงเรียนวัดพระบรมธาตุเดิมตั้งอยู่ภายในวัดพระบรมธาตุทางทิศใต้ ซึ่งเป็น ส่วนกุฏิสงฆ์และลานจอดรถในปัจจุบัน หลวงพ่อเป็นประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขึ้นพื้นฐาน โรงเรียนวัดพระบรมธาตุมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้เห็นว่าจำนวนนักเรียนลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ส่งบุตรหลานไปเรียนโรงเรียนอื่น เพราะเห็นว่ามีคุณภาพมากกว่า โรงเรียนวัด จนทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โรงเรียนวัดพระบรมธาตุมีนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มีจำนวนนักเรียนเพียง ๓๙ คน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากำแพงเพชร เขต ๑ จึงมีแนวคิดที่จะยุบโรงเรียนวัดพระบรมธาตุ

คุณครูเพ็ญรำเพย ขวัญวงศ์ ซึ่งเคยเป็นครูที่โรงเรียนวัดพระบรมธาตุได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
“เมื่อหลวงพ่อทราบว่าเขาคิดจะยุบโรงเรียน หลวงพ่อไม่ยอมเด็ดขาด วัดกับโรงเรียนวัด เป็นของคู่กัน หลวงพ่อจึงได้วางแผนพัฒนาโรงเรียนใหม่ทั้งหมด เริ่มต้นใหม่ เริ่มจากย้ายโรงเรียนไปอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ฟากถนน ซึ่งหลวงพ่อจัดซื้อที่ดินจากชาวบ้านได้ ๒ ไร่ เงินที่ซื้อ ที่ดินนั้นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ เป็นผู้อุปถัมภ์ จากนั้นให้เรียกชื่อโรงเรียนใหม่ ว่า โรงเรียนสาธิตวัดพระบรมธาตุ ไม่ยอมเอาชื่อวัดออกจากชื่อโรงเรียนเด็ดขาด แล้วให้ทาง โรงเรียนยื่นของบประมาณจัดสร้างอาคารเรียนหลัก ๆ จากทางกระทรวง ส่วนอาคารใช้สอยอื่น ๆ รวมทั้งรั้วโรงเรียน หลวงพ่อได้ใช้งบประมาณของทางวัดและใช้คนงานของวัดเป็นผู้ดำเนินการ

จากนั้นหลวงพ่อก็ให้เงินสนับสนุนให้จ้างครูที่จบใหม่เฉพาะด้าน ยังสอบบรรจุไม่ได้มาสอน เป็นครูอัตราจ้าง เช่นครูภาษาอังกฤษ ครูภาษาจีน ส่งพระเข้าไปเป็นพระวิทยากรอบรมธรรมศึกษา ทุกสัปดาห์ และทุกเช้าต้องมีพระหรือเณรไปบรรยายธรรมะสั้น ๆ ที่หน้าเสาธงให้นักเรียนฟังทุกวัน ทำกิจกรรมมัคนายกน้อย โดยให้นักเรียนมาร่วมทำบุญตักบาตรที่วัดในทุกวันพระ แล้วให้นักเรียน เป็นผู้นำในการไหว้พระ อาราธนาศีล ถ้ามีงานเผาศพในวัด แต่เดิมนักเรียนก็จะโดดเรียนมาแย่ง เหรียญโปรยทาน หลวงพ่อก็ให้นำนักเรียนมาเป็นจิตอาสา เสิร์ฟน้ำ แล้วให้เจ้าภาพมอบเป็น ทุนการศึกษาให้นักเรียนแทน ทางโรงเรียนก็หมุนเวียนจัดนักเรียนมาให้ทั่วถึง จากนั้นก็เริ่มมี ชาวบ้านนำลูกหลานมาเข้าเรียนเพิ่มมากขึ้น จากนักเรียน ๓๙ คนในปี ๕๔ ตอนนี้โรงเรียนสาธิตวัด พระบรมธาตุมีนักเรียนราว ๒๔๐ คน มันจะมีใครสักกี่คนที่จะกล้ามาลงทุนสร้างอะไรขนาดนี้ หลวงพ่อพูดตลอดเลยว่า ถ้าทางโรงเรียนขาดเหลืออะไรก็ขอให้บอก ไม่รู้จะมีปัญญาหาให้ได้ไหม แต่ก็จะพยายามสุดความสามารถที่มี”

ปีสุดท้ายตามแผน “๕ ปีสร้าง” ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างกุฏิสงฆ์ซึ่ง หลวงพ่อตั้งชื่อว่า “กุฏิเฉาก๊วยชากังราวประชาสรรค์” เนื่องด้วยมีบริษัทเฉาก๊วยชากังราว นำโดย ดร. เสริมวุฒิ สุวรรณโรจน์ เป็นเจ้าภาพหลัก กุฏิหลังนี้เป็นอาคารทรงไทยแบบนครชุม สร้างด้วย คอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้น จำนวน ๒๘ ห้อง หลังคามุงด้วยกระเบื้องโบราณ พื้นปูด้วยหินแกรนิต อย่างดี และดำเนินการบูรณะพระวิหารของวัดทางทิศใต้ขององค์พระบรมธาตุนครชุม โดยต่อเติมจากเดิม ๕ ห้องเป็น ๑๐ ห้อง และต่อมุขออก ๑ มุข โดยแบ่งประโยชน์ใช้สอยเป็น ๓ ส่วน คือ ใช้เป็นห้องสมุดของวัด ๑ ห้องโถงใหญ่ (๕ ห้องเล็กเดิม) เป็นห้องคอมพิวเตอร์ ๑ ห้องโถงใหญ่ และหน้ามุขที่ต่อใหม่เป็นวิหารที่ประดิษฐานรูปหล่ออดีตเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุและเจ้าคณะ จังหวัดกำแพงเพชร ๓ รูป คือ พระครูธรรมาธิมุตมุนี (สี) พระวิเชียรโมลี (ปลั่ง) และพระสิทธิวชิร โสภณ (ช่วง)

ที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นการสร้างถาวรวัตถุภายในวัดพระบรมธาตุเพื่อประโยชน์ใช้สอย แต่นอกจากการสร้างถาวรวัตถุแล้ว ในช่วง “๕ ปีสร้าง” ของหลวงพ่อ ยังได้มีการ “สร้างคน” ซึ่ง หลวงพ่อบอกว่าเป็นการสร้างที่ยากและมีความสำคัญมากกว่าการสร้างสิ่งอื่นใด เพราะการสร้าง คนคือการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรมให้กับสังคมประเทศชาติ การสร้างคนของ หลวงพ่อสามารถแยกได้เป็น ๔ ส่วน

ได้แก่ ๑. สร้างคนผ่านการเรียนการสอนสามเณรในโรงเรียนพระปริยัติธรรม หลังจากหลวงพ่อ ตั้งและสร้างอาคารเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ขึ้น ก็มีการเปิดรับพระภิกษุ สามเณรเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งมีการเรียนการสอนทั้งแผนกธรรม แผนกบาลี และแผนก สามัญในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม. ๓) เป็นการสร้างศาสนทายาทไปพร้อมกัน โดยหลวงพ่อ มีความโชคดีที่มีพระมหาจำเนียร จิรวํโส ป.ธ. ๙ ซึ่งเป็นนาคหลวงจากสำนักเรียนวัดนิมมานรดี กรุงเทพ ฯ ซึ่งเป็นชาวจังหวัดกำแพงเพชรมาเป็นอาจารย์ใหญ่ช่วยหลวงพ่อในการดูแลบริหารการ จัดการเรียนการสอนโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งพระมหาจำเนียรก็ได้ติดตามมาช่วยงานหลวงพ่อ และได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ (ปัจจุบันพระ มหาจำเนียร จิรวํโส ป.ธ. ๙ ได้รับพระราชทานสมศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ เปรียญ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙ ที่พระเมธีวชิรภูษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ และรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระ บรมธาตุ) ปัจจุบันมีพระครูศรีวชิรธำรง (ทรงวุฒิ อายุโท ป.ธ. ๗) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่ต่อจากพระเมธีวชิรภูษิต ซึ่งมีภาระงานทางคณะสงฆ์เพิ่มมากขึ้น

การเรียนการสอนในช่วงแรกหลวงพ่อทุ่มเทกับการสอนมาก ในช่วงเย็นจะให้สามเณรมา สอบท่องบาลีเป็นประจำ หลวงพ่อจะให้กำลังใจนักเรียนเสมอ ขอให้ตั้งใจเรียนเพื่ออาศัยพระบาลี รักษาพระพุทธศาสนาและทำให้มีอนาคตที่เจริญยิ่งขึ้นเหมือนหลวงพ่อ ช่วงเวลาดังกล่าวมี พระภิกษุสามเณรมาบวชเรียนที่วัดพระบรมธาตุจำนวนมาก ปีละไม่น้อยกว่า ๑๐๐ รูป ต่อมา เนื่องจากครูสอนมีไม่มากจึงสามารถเรียนได้ถึงเปรียญธรรม ๖ ประโยคเท่านั้น หากรูปไหนมีความ ประสงค์จะศึกษาต่อหลวงพ่อก็จะฝากฝังให้เข้าเรียนในสำนักเรียนต่าง ๆ ในกรุงเทพ ฯ ทำให้มี พระภิกษุสามเณรที่เคยศึกษาอยู่ที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ผ่านการสอบไล่ตั้งแต่เปรียญธรรม ๗ ประโยคจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยคจำนวนหลายรูป ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้แก่หลวงพ่อเป็นอย่างมาก เวลาเล่าถึงพระมหาที่สอบได้ประโยคสูง ๆ ที่หลวงพ่อเคยสอน ท่าน จะเล่าอย่างมีความสุขและภาคภูมิใจเสมอ เช่น พระมหาสุขุม อุตฺตโม ป.ธ. ๙ เจ้าอาวาสวัดบุญมั่น ศรัทธาราม พระมหานพรัตน์ ภทฺทวิญฺญู ป.ธ. ๙ ครูสอนบาลีวัดสุทัศนเทพวราราม และพระครู ปลัดสุวัฒนสารคุณ (สุชาติ สุชาตเมธี ป.ธ. ๘) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นต้น

พระมหานพรัตน์ ภทฺทวิญฺญู ป.ธ. ๙ วัดสุทัศนเทพวราราม ได้บันทึกคำสอนของหลวงพ่อ ที่มอบให้กับนักเรียนบาลีที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” วัดพระบรมธาตุเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งหลวงพ่อเรียกว่า “คาถาประสบความสำเร็จ” เอาไว้ว่า
“พอจะจำความได้ว่า เมื่อครั้งประชุมประจำเดือนหรือการปฐมนิเทศของวัดพระบรมธาตุ กำแพงเพชรนี่แหละแต่จำได้แม่นคือ เป็นปี ๒๕๕๔ แน่ หลวงพ่อพระราชวชิรเมธี (ปัจจุบัน พระเทพวชิรเมธี) ได้กล่าวให้กำลังใจกับนักเรียนบาลีและได้ให้คาถาประสบความสำเร็จ ท่านบอก ว่า ถ้าใครอยากประสบความสำเร็จในการเรียนบาลีให้ท่องจำคาถานี้ไว้ให้ดี (ไอ้เราก็นึกในใจด้วย ความดีใจว่า คงจะเป็นคาถาเด็ดจากหลวงพ่อเป็นแน่ จึงตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างดี) ท่านว่าคาถานี้มี อยู่แค่ ๓ คำเท่านั้น คือ “ทน ทน ทน” อดทนถึงที่ได้ดีทุกคน ไม่น่าเชื่อด้วยคำเพียงเท่านี้ กระผม จำได้ตั้งแต่วันนั้นไม่ลืมจนถึงวันนี้ เมื่อครั้งเรียนบาลี เรียนทางโลก หรือทำอะไรก็ตาม พอเกิดความ เบื่อ เหนื่อย เมื่อย ล้า หน่าย ก็จะระลึกถึงคาถาของหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา จึงทำให้มีแรงใจสู้ ตลอดเรื่อยมา กระทั่งปัจจุบันเป็นครูสอนบาลีก็จะใช้คาถานี้บอกกับนักเรียนเพื่อเป็นกำลังใจให้เขา อดทนกับการเรียน”

แม้ในช่วงจากนี้ไปหลวงพ่อจะมีภารธุระทั้งงานบริหารวัด บริหารมหาวิทยาลัยสงฆ์ และ กิจนิมนต์ต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยทิ้งการเป็นครูสอนบาลีเลย วันไหนที่ว่าง ๆ อยู่ ภายในวัด หลวงพ่อก็จะให้นักเรียนบาลีชั้นเปรียญธรรม ๕ - ๖ ประโยคเข้ามาเรียนที่กุฏิเสมอ นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้รับแต่งตั้งจากแม่กองบาลีสนามหลวงให้เป็นกรรมการตรวจบาลี สนามหลวง ชั้นประโยค ป.ธ. ๕ ณ วัดสามพระยา กรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๓ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจบาลีสนามหลวง ชั้นประโยค ป.ธ. ๖ ทุกปีหลวงพ่อจะลงไปทำหน้าที่กรรมการตรวจข้อสอบมิเคยขาด จนกระทั่งอาพาธหนักจึง แจ้งให้ทางแม่กองบาลีสนามหลวงทราบว่าไม่สามารถไปตรวจข้อสอบได้

๒. สร้างคนผ่านการสอบธรรมศึกษา หลวงพ่อได้ส่งเสริมให้โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ โรงเรียนอนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) และโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมซึ่งอยู่ในเขต ชุมชนนครชุมและอยู่ใกล้กับวัดพระบรมธาตุเข้าร่วมโครงการสอบธรรมศึกษาของคณะสงฆ์ โดย หลวงพ่อได้สนับสนุนพระภิกษุสามเณรเข้าไปสอนธรรมศึกษาและอบรมธรรมศึกษาในโรงเรียน ดังกล่าวสัปดาห์ละ ๑ วัน ซึ่งทำอย่างนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้ว และมีผู้กล่าวว่านี่ เป็นบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของหลวงพ่อที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

คุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ ข้าราชการบำนาญ อดีตครูโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม ซึ่ง เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้มีการสอบธรรมศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวชิรปราการ วิทยาคมได้กล่าวเน้นย้ำกับผู้เขียนว่า “การเขียนประวัติหลวงพ่อครั้งนี้ อย่าลืมเขียนเรื่องการสอบ ธรรมศึกษาโดยเด็ดขาด เพราะเป็นผลงานที่สุดยอดของหลวงพ่อที่หาใครมาเทียบไม่ได้ การสอบ ธรรมศึกษามันไม่ใช่ได้ผลงานจากจำนวนผู้เข้าสอบหรือตัวเลขผู้สอบผ่านนะ แต่หลวงพ่อให้พระ เณรเข้ามาอบรมนักเรียนช่วงก่อนสอบ และมีพระเณรมาสอนทุกสัปดาห์ หมุนเวียนกันมา การสอน ก็ไม่ได้มีแค่มุ่งให้สอบผ่านอย่างเดียวไง แต่มันเป็นกระบวนการขัดเกลาจิตใจและพฤติกรรมของ นักเรียนร่วมด้วย สมัยนั้นก่อนที่หลวงพ่อยังไม่อาพาธ นักเรียนนี่เชื่อฟังครูนะ ไม่เหมือนทุกวันนี้ที่ พระเณรก็ห่าง ๆ โรงเรียนไปตามบริบทนั่นแหละ”

คำพูดดังกล่าวก็ไม่เกินไปจากความเป็นจริง เพราะเป็นผลงานการสร้างคนที่ทำให้เยาวชน ในเขตตำบลนครชุมและพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดกำแพงเพชรได้เรียนรู้หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นที่ชื่นชมของบุคคลต่าง ๆ ซึ่งทาง โรงเรียนก็ร่วมมือกับหลวงพ่อเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นการจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาแนว ใหม่ ทำให้มีการขยายสถานที่สอบจากวัดไปสู่โรงเรียน เริ่มต้นจากโรงเรียนวชิรปราการวิทยาคมซึ่ง ขณะนั้นมี ดร. สุทธิพงษ์ ธรรมสอน เป็นผู้อำนวยการก็ได้เอาใจใส่กิจกรรมสอบธรรมศึกษาและสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของวัดเป็นอย่างดี ก่อนที่จะขยายไปยังโรงเรียนวัดพระบรมธาตุ โรงเรียน อนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) โรงเรียนเพ็ชระศึกษา และโรงเรียนเจริญสุขอุดมวิทยา

สนามสอบธรรมสนามหลวง โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม ถือเป็นสนามสอบธรรมศึกษาที่ ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกำแพงเพชร หลวงพ่อจะเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทนมาเป็นประธานนพิธี เปิดการสอบเสมอ โดยมีหลวงพ่อเป็นผู้แทนแม่กองธรรมสนามหลวงอ่านคำปรารภแม่กองธรรม สนามหลวง เมื่อผลของการสร้างคนเริ่มผลิบาน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและสนับสนุน การสอบธรรมศึกษาในโรงเรียน หลวงพ่อก็ส่งเสริมให้ได้รับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ผู้ทำ คุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา โดยเข้ารับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักรจากสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งดำรงพระยศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา เช่น โรงเรียนว ชิรปราการวิทยาคม โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ คุณครูสุภิตรา ตัณศลารักษ์ คุณครูเพ็ญรำเพย ขวัญ วงศ์ เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติงานสนองงานคณะสงฆ์ด้านการสอบธรรมศึกษาเกิดขวัญกำลังใจเป็น อย่างมาก

๓. สร้างคนผ่านการเรียนที่หน่วยวิทยบริการ มจร กำแพงเพชร แม้ว่าหลวงพ่อจะย้าย ขึ้นมาอยู่วัดพระบรมธาตุแล้ว แต่หลวงพ่อก็ยังต้องเดินทางลงไปสอนที่วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์เป็น ประจำ และได้ทราบว่ามีพระภิกษุสามเณรในเขตจังหวัดกำแพงเพชรที่สนใจศึกษาต้องเดินทางไกล ลงไปเรียนที่จังหวัดนครสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อจึงดำเนินการขออนุญาตเปิดหน่วยวิทยบริการ วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ ณ วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (หน่วยวิทยบริการ ฯ มจร จังหวัดกำแพงเพชร) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยหลวงพ่อได้รับ แต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการหน่วยวิทยบริการ มจร จังหวัดกำแพงเพชร ทำการเรียนการสอนใน หลักสูตรประกาศนียบัตร การบริหารกิจการคณะสงฆ์ (ป.บส.) สำหรับพระสังฆาธิการ แล้วปีต่อมา ก็เปิดหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ สำหรับพระภิกษุสามเณร และ หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สำหรับบุคคลทั่วไป ตามลำดับ

การตั้งหน่วยวิทยบริการ มจร จังหวัดกำแพงเพชรขึ้นนั้นได้ใช้อาศัยเรียนส่วนหนึ่งของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม “ธรรมกิตติวงศ์” ภายในวัดพระบรมธาตุเป็นสถานที่เล่าเรียนและเป็นที่ ปฏิบัติงานของบุคลากร กล่าวได้ว่าหน่วยวิทยบริการ มจร จังหวัดกำแพงเพชร ถือว่าเป็นแหล่ง สร้างพระสังฆาธิการที่มีความรู้ความสามารถทางวิชาการและการบริหารกิจการคณะสงฆ์ให้กับ คณะสงฆ์จังหวัดกำแพงเพชร เพราะนิสิตที่มาเรียนส่วนใหญ่ที่มาเรียนล้วนแต่เป็นพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะตำบลในเขตจังหวัดกำแพงเพชร ส่วนหลักสูตรรัฐศาสตร์ก็มี บุคคลทั่วไปมาเรียนจำนวนมาก นิสิตกลุ่มนี้ก็เป็นกำลังในการส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีระวัฒน์ แสนคำ
#ติดตามอ่านต่อตอนที่  ๑๑
#หลวงตาเอก #วัดพระบรมธาตุนครชุม
หน้า: [1] 2 3 ... 99
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!