หัวข้อ: การเขียนสารคดี เริ่มหัวข้อโดย: apairach ที่ สิงหาคม 17, 2014, 10:46:31 pm สารคดีเป็นงานเขียนที่มีมานานแล้วในประเทศไทย แต่นิยมเขียนไว้ในรูปของ พงศาวดาร ตำนาน ตำรา หนังสือสอนศาสนา จดหมายเหตุ ประกาศของทางราชการ ฯลฯ การเขียนสารคดีของไทยเริ่มมีรูปแบบที่ชัดเจนในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพราะได้มีการติดต่อกับประเทศทางตะวันตก
๑. ความหมายของสารคดี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ อธิบายความหมายของสารคดีว่า หมายถึง ? เรื่องที่เขียนขึ้นจากเค้าความจริง มิใช่เรื่องที่เกิดจากจินตนาการ? งานเขียนสารคดีจึงเป็นข้อเขียนที่ผู้เขียนต้องการจะให้สาระ ความรู้ ความคิด โดยไม่ใช้จินตนาการและอารมณ์ผสมผสานลงไป แต่จะต้องใช้ภาษาสำนวนที่มีศิลปะ คมคาย เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ด้วยเหตุที่ สารคดีเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นจากความเป็นจริง ทำให้เนื้อหาของสารคดีเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้แก่ บุคคล ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การเดินทางท่องเที่ยว การอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แนะนำกิจกรรมต่าง ๆ สถานสำคัญ ในแต่ละท้องถิ่น ๒. ประเภทของสารคดี สารคดีแบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้ ๒.๑ สารคดีบุคคล เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตที่น่าสนใจของบุคคลทั่วไปในแง่มุมต่าง ๆ ๒.๒ สารคดีโอกาสพิเศษ เป็นเรื่องที่เขียนตามเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ของแต่ละชาติ เช่น วันสุนทรภู่ วันวิสาขบูชา ๒.๓ สารคดีประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่นำมาเขียนขึ้นเพื่อย้ำเตือนจิตสำนึกของอนุชนรุ่นหลัง หรือให้เห็นความสำคัญ เช่น สงครามยุทธหัตถี การสร้างกรุงเทพมหานคร ๒.๔ สารคดีท่องเที่ยว เป็นการนำเรื่องราวที่พบเห็นจากการท่องเที่ยวมาเขียนถึงในแง่มุมต่าง ๆ ตามทัศนะของตน ๒.๕ สารคดีแนะนำวิธีทำ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสดงขั้นตอนการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นการทำอาหาร การผลิตธนบัตร ๒.๖ สารคดีเด็ก เขียนถึงเรื่องราวของเด็กในแง่มุมต่างๆ เช่น การเลี้ยงดู การใช้แรงงานเด็ก ๒.๗ สารคดีสตรี เขียนถึงสตรีในแง่มุมต่าง ๆ ๒.๘ สารคดีเกี่ยวกับสัตว์ เขียนถึงสัตว์ในแง่ของการให้ความรู้ที่เป็นสาระ ๒.๙ สารคดีความทรงจำ เป็นเรื่องราวของความทรงจำในอดีตที่เล่าให้ผู้อื่นเขียน หรือเขียนเอง เช่น การละเล่นสมัยก่อน การอพยพหนีสงคราม ๒.๑๐ สารคดีจดหมายเหตุ เป็นการบันทึกเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ๓. หลักการเขียนสารคดี การเขียนสารคดีมีหลักในการเขียน ดังนี้ ๓.๑ การเลือกเรื่อง เรื่องที่นำมาเขียนเป็นสารคดี จะต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจ หรือทันสมัย หากเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป หรือเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ก็ควรนำเสนอให้น่าสนใจด้วยมุมมองที่แปลกใหม่ มีประโยชน์แก่ผู้อ่าน และมุ่งนำเสนอข้อเขียนที่เป็นความรู้ ความคิดจากเรื่องจริง เหตุการณ์จริง และจะต้องเขียนให้อ่านเพลิดเพลิน มีอรรถรส ๓.๒ การตั้งชื่อเรื่อง ควรตั้งชื่อเรื่องให้ผู้อ่านเกิดความสนใจ สะดุดหู สะดุดตา ควรเป็นชื่อที่เข้ายุคเข้าสมัยในปัจจุบัน ควรหาคำที่มีความหมายกว้าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหา แต่ชื่อเรื่องต้องตรงกับเนื้อหาด้วย แนวทางการตั้งชื่อเรื่อง - แบบชี้นำเนื้อหา โดยการนำความสำคัญของเนื้อหามาสรุปเป็นความคิดรวบยอดเช่น ครูไทย...ภารกิจที่ไม่มีวันเสร็จสิ้น, ยาบ้ามหาภัย - แบบสำบัดสำนวน นำสำนวนแปลก ๆมาใช้ เช่น แสนแสบแสบสยิว สยึ๋มกึ๋ย - แบบคนคุ้นเคย เหมือนผู้เขียนคุ้นเคยกับผู้อ่าน เช่น มาช่วยกันป้องกันเหตุร้ายกันเถอะ การอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านจัดสรร - แบบคำถาม เช่น จริงหรือที่เขาว่าหัวหินสิ้นมนต์ขลัง - แบบชวนฉงน เช่น ตายแล้วฟื้น, ตายแล้วไป.... ๓.๓ กำหนดจุดมุ่งหมายและแนวคิดสำคัญ การกำหนดจุดมุ่งหมายอาจตั้งคำถามว่าต้องการเขียนให้ใครอ่าน ต้องการให้ผู้อ่านคิด/ ทำอย่างไร ผู้เขียนต้องกำหนดแนวคิดให้ชัดเจนว่า สารคดีเรื่องนี้ต้องการจะเสนอแนวคิดสำคัญอะไร มีแก่นเรื่องอะไรนำเสนอแก่ผู้อ่าน เพื่อจะได้นำเสนอเนื้อหาถ่ายทอดถ้อยคำหรือประโยคต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่แก่นเรื่องนั้น ๓.๔ การหาข้อมูล แหล่งความรู้ที่ใช้ประกอบการเขียนสารคดี ได้แก่ หนังสือ สารานุกรม นิตยสาร วารสาร วิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต การสัมภาษณ์ การสนทนา และการเก็บข้อมูลภาคสนาม เป็นต้น ๓.๕ การวางโครงเรื่อง ผู้เขียนต้องวางโครงเรื่องก่อนเขียน เพื่อเป็นแนวทางในการเขียน ว่าจะนำเสนอสาระสำคัญ แยกเป็นกี่ประเด็น ประเด็นใหญ่ ๆ มีอะไรบ้าง ในประเด็นหลักมีประเด็นย่อย ๆ มีตัวอย่าง มีเหตุผล เพื่อสนับสนุนประเด็นหลักอย่างไรบ้าง การวางโครงเรื่องจะช่วยให้เขียนเรื่องได้โดยง่าย ไม่สับสน วกวน นอกเรื่อง ทำให้เรื่องมีเอกภาพ มีลำดับต่อเนื่องกัน และได้เนื้อความครบถ้วน ๓.๖ การลงมือเขียน สารคดีมีองค์ประกอบเช่นเดียวกับความเรียงทั่วไป คือ - ความนำ / การเปิดเรื่อง - เนื้อเรื่อง / การดำเนินเรื่อง - ความลงท้าย / การปิดเรื่อง ๓.๖.๑ ความนำ / การเปิดเรื่อง เป็นการเปิดเรื่องบอกกล่าวให้ผู้อ่านรู้ก่อนว่าจะเขียนอะไร เพื่อชักจูงให้ผู้อ่านสนใจ การขึ้นความนำอาจทำได้หลายประการ เช่น - แบบสรุปเนื้อหาให้ผู้อ่านรู้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำไม - ขึ้นต้นจากชื่อเรื่องซึ่งเป็นเนื้อหาหลัก - เรื่องในสังคมที่คนกำลังสนใจ - คำพูดของบุคคลสำคัญ - เล่าเรื่องลักษณะคล้ายนิทานแล้วโยงเข้าหาเนื้อเรื่อง - เหตูการณ์สำคัญในเรื่อง - ยกสุภาษิต คำพังเพย กวี นิพนธ์ คำคม - ใช้ประโยคสำคัญ ที่ปรากฏในเนื้อเรื่องมากล่าว - ใช้คำถาม - ยกเหตุการณ์เปรียบเทียบ - พรรณนา - ย้อนอดีต โยงเข้าสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน ๓.๖.๒ เนื้อเรื่อง / การดำเนินเรื่อง กลวิธีการดำเนินเรื่องของสารคดีอาจเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของผู้เขียน หรือมีการแทรกบทสนทนา หรือบทสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง ผู้เขียนต้องสอดแทรกความคิดเห็นของตนในเนื้อเรื่องด้วย เนื้อเรื่องต้องมีส่วนที่เป็นใจความหลัก และส่วนขยายความให้เนื้อหาชัดเจนขึ้น เช่น การเสนอข้อมูลแสดงสถิติ แสดงการเปรียบเทียบ ตัวอย่างประกอบ แต่อย่าให้มากเกินไป ๓.๖.๓ ความลงท้าย / การปิดเรื่อง เป็นส่วนทำให้ผู้อ่านประทับใจ ควรเขียนให้กะทัดรัดจับใจผู้อ่าน โดยการสรุปข้อมูล ข้อคิด แสดงข้อคิดเห็น คำแนะนำ วิธีแก้ปัญหาของผู้เขียน อย่างสร้างสรรค์ โน้มน้าวให้เกิดความร่วมมือ สรุปให้เกิดความตระหนัก ๓.๗ การใช้ภาษา ควรใช้ภาษาที่ชัดเจน ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เพราะจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย หากเป็นการใช้ศัพท์เฉพาะหรือภาถิ่นควรอธิบายความหมายไว้ด้วย นอกจากนี้ควรใช้โวหาร สำนวน ภาพพจน์ ตลอดจนระดับภาษาให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง จะเขียนแบบพรรณนา บรรยาย อธิบาย หรือ โน้มน้าว ก็ได้ ๓.๘ ความยาวของสารคดี ไม่ควรมีความยาวมากเกินไป เพราะสารคดีมีลักษณะเป็นบทเป็นตอน ไม่ใช่ตำราหรือหนังสืออ้างอิง จึงควรมีความยาวในการอ่านประมาณ ๑๕ นาที ๓.๙ การสร้างลีลาการเขียนเฉพาะตัว แต่ละคนมีลักษณะและลีลาการเขียนที่แตกต่างกัน จะเลือกแบบใดก็ได้ แต่อย่าลืมว่าผู้เขียนได้ดีต้องเป็นนักอ่านที่ดีมาก่อน แล้วจึงเลือกหาแนวถนัดของตนเองโดยไม่เลียนแบบผู้อื่น ๓.๑๐ ทบทวนและปรับปรุง เมื่อจบเรื่องควรทบทวนดูสาระของเรื่องว่าตรงกับชื่อเรื่องที่ตั้งไว้หรือไม่ จากนั้นอ่านตรวจทานอีกครั้ง หรือถ้าได้เก็บเรื่องที่เขียนไว้สัก ๒ ? ๓ วัน แล้วนำกลับมาอ่านตรวจอีกครั้งหนึ่ง ก็จะยิ่งดี ๔. ภาพประกอบสารคดี มีคำเปรียบเปรยไว้ว่า ภาพดี ๆ เพียง ๑ ภาพ แทนคำบรรยายได้นับ ๑,๐๐๐ คำ สารคดีจึงต้องมีภาพประกอบ เพื่อให้งานเขียนสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ เรียกร้องความสนใจจากผู้อ่าน ภาพประกอบสารคดีควรมีลักษณะ ดังนี้ มีความคมชัด เสริมให้เนื้อหาเด่น ภาพกับเนื้อหาเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นภาพถ่ายจากแหล่งข้อมูลโดยตรง มีมุมถ่ายหลายมุม ถ้าใช้ภาพเขียนต้องให้ถูกต้องตามความเป็นจริง มีคำบรรยายภาพที่ถูกต้อง ชัดเจน ภาพถ่ายมีทั้งแนวตั้ง และแนวนอน ตัวอย่างสารคดี ปลาตะเพียนใบลาน คุณค่าของความงามในวิถีชีวิตไทย โดย มานพ ถนอมศรี ร่ำลือกันว่า แม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำป่าสักในอดีตนั้นชุกชุมไปด้วยปลาชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลำตัวแบนหนา ครีบสีสันงดงาม เกล็ดที่เรียงซ้อนกันอย่างประณีตและมีสีขาว จะกลายเป็นสีเงิน สีทอง ยามสะท้อนกับแสง ไม่เพียงแต่มีรูปร่างอันวิจิตรเท่านั้น เนื้อยังหวานอร่อยติดปาก ติดใจจนใคร ๆ ก็ยกย่องว่าเป็นอาหารยอดนิยมอย่างหนึ่งของคนไทย มาเป็นเวลาช้านาน แม้ว่าทุกวันนี้ ปลาชนิดดังกล่าวจะลดจำนวนลงจนเกือบจะเรียกได้ว่า สูญพันธ์ไปจากแม่น้ำทั้งสองสายไปแล้ว แต่รูปร่างและความงามของปลาเหล่านั้นก็ยังได้รับการถ่ายทอดออกมาเป็นงาน ศิลปหัตถกรรมที่แสดงถึงชีวิต ความเป็นอยู่และความเชื่อถือของคนไทย มาเป็นเวลามากกว่า 100 ปี คนทั่วไปเรียกสิ่งที่กล่าวถึงนี้ว่า ปลาตะเพียนใบลาน ปลาตะเพียนใบลาน ทำขึ้นครั้งแรกเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นที่ของชนิดนี้แขวนอยู่กับอู่กับเปล คนสมัยก่อนเขาเรียกว่าปลาโบราณ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นปลาใบลาน แล้วก็กลายเป็นปลาตะเพียนใบลานอย่างที่ได้ยินกันในทุกวันนี้ ด้วยเหตุที่คนไทยสมัยก่อนอยู่ในเรือและแพเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ชีวิตผูกพันกับสายน้ำและชีวิตที่อาศัยร่วมกันอยู่ในสายน้ำ ปลาตะเพียนเกล็ดสีเงิน สีทอง ที่ชุกชมอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักก็คงเป็นเพื่อนสนิทของผู้คนในสมัยนั้นด้วยเช่นกัน ถึงขนาดเมื่อคิดจะสานเครื่องเล่นของเด็กขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง จึงนึกถึงปลาตะเพียน บางกระแสบอกว่า แขกเทศที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยาเมื่อ 100 กว่าปีก่อนเป็นผู้ริเริ่มการสานปลาตะเพียนขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงสอนให้ลูกหลานที่ปักหลักปักฐานอยู่ในเมืองไทย กระทั่งสามารถทำมาค้าขายเป็นที่นิยมไปทั่วอาณาจักร นอกจากคนไทยสมัยก่อน จะรู้จักปลาตะเพียนใบลานในรูปของเครื่องเล่นเด็กที่จะนำไปผูกแขวนไว้เหนือเปลแล้ว ยังมีคนจำนวนไม่น้อยใช้ของสิ่งนี้ไปในเรื่องของความเชื่อถือ โดยจะบอกต่อ ๆ กันว่า ปลาตะเพียนใบลานเป็นสิริมงคล หากนำไปแขวนไว้ตามประตูทางเข้าบ้าน จะทำให้เงินทองไหลมาเทมา ส่วนเด็กที่เลี้ยงดูโดยการแขวนปลาตะเพียนไว้เหนือเปล ก็จะเติบโตขึ้นเป็นคนขยันหมั่นเพียร ดั่งคำทำนายของชื่อปลาที่นำมาให้ดู ผู้ใหญ่ที่เคยใช้ปลาตะเพียนใบลานเป็นเพื่อน ลูกหลานบอกว่า แต่เดิมนั้นปลาตะเพียนใบลานที่มีคนนำมาขายจะมีเพียงตัวเดียว ผูกด้ายแขวน ห้อยอยู่กับก้านที่ทำจากไม้สานเล็ก ๆ สีสันก็ไม่ได้ทาหรือเขียนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน หากไม่ปล่อยเป็นสีเนื้อ ลานก็อาจจะทาด้วยขมิ้นและลายน้ำ จนดูเป็นสีเหลือง ๆ เท่านั้น ต่อมาจึงเริ่มมีคนคิดทำลูกปลาตัวเล็ก ๆ ห้อยอยู่ใต้ทอง 1 ตัวบ้าง 2 ตัวบ้าง ก่อนพัฒนาขึ้นมาเป็นพวงระย้าใหญ่อย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ปลาตะเพียนที่เห็นกันในปัจจุบัน เป็นปลาตะเพียนสมัยใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมสีสัน จนแทบไม่เหลือเค้ารอยเดิมอยู่ โดยเฉพาะความสวยงามของเนื้อลานที่เนียนนุ่มและเย็นตา แต่ในส่วนของที่เพิ่มเติมไปใหม่ก็หาใช่จะไร้เหตุผล หรือมุ่งแต่จะตกแต่งจนฟุ่มเฟือยเพียงอย่างเดียว ในส่วนของสีสันนอกจากจะช่วยถนอมรักษาเนื้อลานให้คงทนมากขึ้น ยังเพิ่มความสดใสน่ามองและความรู้สึกแบบไทยยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นลวดลายเครือเถาที่มีแม่แบบมาจากลายไทยแล้ว สิ่งที่เขียนลงไปบนปลาตะเพียนใบลานเหล่านี้ยังมีเค้าเดิมของเกล็ดเงินเกล็ดทองของปลาตะเพียนที่ลอยคออยู่ในแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยามาช้านานด้วย พวงปลาตะเพียนใบลานในวันนี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ หลายอย่าง ได้แก่ กระโจมปลา แม่ปลา กระทงเกลือ ปักเป้า ลูกปลา และใบโพธิ์ กระโจมปลาเป็นส่วนบนสุดของพวงปลาตะเพียนใบลาน มีลักษณะคล้ายดาว มี 8 แฉก ใช้เป็นที่ห้อยแม่ปลาและแขวนพวงปลาไว้กับเพดาน กระโจมปลาจะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับแม่ปลา ถ้าแม่ปลาตัวใหญ่ ก็ต้องทำกระโจมปลาตัวใหญ่ ตามไปด้วย สำหรับแม่ปลานั้นโดยทั่วไปแล้วมักจะทำที่มีขนาดใหญ่เท่าของจริง คือประมาณ 30 เซนติเมตร โดยเอาส่วนตัวที่สานขึ้นกับส่วนหางที่พับไว้มาติดกันแล้วเย็บด้วยด้าย ความจริงการทำแม่ปลากับลูกปลา ก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกัน เพียงแต่เปลี่ยนไปใช้ใบลานที่มีขนาดเล็กลง กับไม่ต้องทำครีบเล็กตรงโคนหางเท่านั้น กระทงเกลือซึ่งมีรูปร่างคล้ายดาว 5 แฉก มีไว้สำหรับตกแต่งให้พวงปลาสวยงามมากขึ้น และไม่ทำให้แม่ปลาและลูกประหลาดูโล้นเกินไป โดยใช้คู่กับปักเป้าซึ่งเป็นเม็ดรูปร่างคล้าย 4 เหลี่ยม ซึ่งมีหน้าที่ปิดบังเส้นด้ายที่ร้อยอยู่ไม่ให้ดูขัดตา ใบโพธิ์นั้นถึงจะทำหน้าที่ปิดเส้นด้ายเช่นเดียวกัน แต่ก็อยู่ในตำแหน่งสุดท้ายของเส้นด้าย ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้มองไม่เห็นด้ายที่ไม่ต้องการแล้ว ยังทำให้เกิดการปะทะลมพาลูกปลาไหวโยนไปมาเหมือนกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ โดยทั่วไปพวงปลาตะเพียนใบลานมีอยู่ 3 แบบ ขนาดเล็กสุดมีแม่ปลา 1 ตัว ลูกปลา 6 ตัว ขนาดกลาง มีแม่ปลา 1 ตัว ลูกปลา 9 ตัว ส่วนขนาดใหญ่สุดมีแม่ปลา 1 ตัว ลูกปลา 12 ตัว ก่อนที่จะนำแม่ปลาและลูกปลาพร้อมทั้งเครื่องตกแต่งนั้นมาประกอบเข้าด้วยกัน จะต้อง ทาสี เขียนลวดลาย เสียก่อน สีที่นิยมกันมากที่สุดคือ สีแดง เพราะให้ความรู้สึกเก่าแก่และเป็นคนไทย ส่วนสีม่วง สีน้ำเงิน สีขาว สีเหลือง ก็ทำกันด้วย เพราะคนสมัยใหม่ไม่ชอบสีแดงเพียงอย่างเดียว ลวดลายที่นำมาเขียนหากเป็นเกล็ดปลาก็มักจะใช้ลายต้นสน ส่วนหางก็มีทั้งลายดอกไม้ ลายผักชี และลายอื่นสุดแต่จะนึกขึ้นได้ แต่ที่สำคัญและจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นอันขาด ก็คือสีที่นำมาเขียนลายและตัดเส้นส่วนใหญ่จะต้องเป็นสีเงินหรือสีทองเท่านั้น สีอื่น ๆ จะไม่นำมาใช้เลย เพราะทำให้ขาดความงดงามของปลาตะเพียนไป วัสดุที่นำมาสานปลาตะเพียน ที่จริงแล้วมีอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใบตองสดหรือแห้ง ใบมะพร้าว ใบจาก และใบตาล แต่ก็ไม่นิยมทำกันเท่ากับใบลานด้วยลานเป็นใบไม้ที่มีความเหนียวและทนทานมากกว่าใบไม้ชนิดอื่น นอกจากนั้นใบอ่อนเมื่อแห้งสนิทจะมีสีนวลนุ่มตา มองดูสะอาดสะอ้าน น่าจับต้องและงดงามมาก ก่อนที่จะมีการทาสีและเขียนลวดลายลงบนปลาตะเพียนที่สานขึ้น ก็ใช้สีของใบลานอ่อนที่แห้งสนิทแล้ว ต่อมาแม้ว่าจะทาสีทับใบลานที่สานแล้ว ก็ยังคงใช้ใบลานอ่อนอยู่นั่นเอง ด้วยมีความนิ่มอ่อน สะดวกในการสาน ใบลานเหล่านี้แต่เดิมมีอยู่ทั่วไป แต่ต่อมาถูกตัดทำลายและนำไปใช้งานมากขึ้นจนลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยที่บ้านทับลานและหมู่บ้านใกล้เคียง ในอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ใบลานก่อนที่จะนำมาใช้ในการสานปลาตะเพียนหลังจากตัดยอดอ่อนมาจากต้นลานแล้ว จะทอนออกเป็นท่อนๆละประมาณ 70 เซนติเมตร จากนั้นจึงฉีกออกเป็นคู่ ๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิทเป็นเวลา 3 หรือ 4 แดด ก่อนลงมือสานจะต้องนำมาเลียดให้ได้ขนาดเล็กใหญ่ตามต้องการเสียก่อน ลานที่มีขนาดเท่ากันและเป็นเส้นตรงจะทำให้การสานปลาตะเพียนสะดวกง่ายขึ้น นอกจากทาสีเขียนลวดลายแล้ว อาจจะย้อมสีใบลานเสียใหม่ก็ได้ ซึ่งก็สุดแต่ว่าจะนำไปใช้งานอะไรและมีความจำเป็นแค่ไหน แต่โดยปกติมีน้อยนัก ที่คนทั่วไปจะชอบปลาตะเพียนที่มีสีเป็นเนื้อลานด้วยรู้สึกว่ายังไม่เสร็จ แม้ว่าปลาตะเพียนใบลานจะเป็นของเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติอย่างมากมายมหาศาลเพียงใด แต่ปัจจุบันจำนวนผู้ประกอบอาชีพสานปลาตะเพียนจำหน่ายก็ลดน้อยลง จากทุกครอบครัวในจำนวนกว่า 30 หลังคาเรือนของชาวบ้านตำบลท่าวาสุกรี อันเป็นตำบลเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ถือว่าเป็นชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่งเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เหลือเพียงบางครอบครัวเท่านั้นที่ยังคงทำงานนี้ต่อไปด้วยความอดทน เพราะรายได้ไม่คุ้มกับการทำงาน 100 กว่าปีที่ปลาตะเพียนใบลานยืนหยัดมาคงไม่ใช่เพราะความงดงามของ การสอดสานใบลานให้เกิดเป็นรูปทรงปลาที่คนไทยรักเพียงอย่างเดียว ความสอดคล้องกับวิถีชีวิตที่แทรกอยู่กับพวงปลาตะเพียน น่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้สิ่งดีสิ่งนี้เป็นที่นิยมต่อไป โดยเฉพาะในเรื่องของความรักระหว่างแม่และลูกที่ปรากฏอยู่ในเครื่องเล่นของเด็กไทยชิ้นนี้อย่างล้นเปี่ยม แม่ที่เฝ้าระวังลูกอยู่ทุกลมหายใจไม่ว่าจะเป็นแม่ปลาตะเพียนหรือมนุษย์ ... |