หัวข้อ: เรียนรู้ ชาวเขา เมี่ยน (เย้า) กำแพงเพชร เริ่มหัวข้อโดย: apairach ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2012, 05:34:21 pm เมี่ยน (เย้า) ได้รับการจัดให้อยู่ในเชื้อชาติ มองโกลอยด์ คืออยู่ในตระกูล จีน
ธิเบต ได้ปรากฏครั้งแรกในเอกสารบันทึกของจีน สมัยราชวงศ์ถัง โดย ปรากฏในชื่อ ม่อ เย้า มีความหมายว่า ไม่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใด เล่ากันว่า เมื่อ ประมาณ 2,000 กว่าปีมาแล้ว บรรพชนได้ตั้งถิ่นฐานอยู่รอบทะเลสาป ตงถิง แถบแม่น้ำ แยงซี ยอมอ่อนน้อมให้ชนชาติผู้ปกครองรัฐ และไม่ยอม อยู่ภาย ใต้การบังคับกดขี่ของรัฐ จึงได้ทำการอพยพเข้าไปในป่าลึกบน ภูเขาสูง ได้ตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านด้วยมือของเขาเอง เพื่อปกป้องเสรีภาพจึงถูก ขนานนามว่า ม่อ เย้า ซึ่ง เหยาชีเหลียน ได้บันทึกไว้ในเหลียงซู ต่อมาใน ราชวงศ์ซ่ง คำเรียกนี้ถูกยกเลิกไปเหลือแต่คำว่า "เย้า" เท่านั้น ต่อมาคำว่า เย้า เคยปรากฏในเอกสารจีนเมื่อศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตศักราช ซึ่งมีความ หมายว่า ป่าเถื่อน หรือคนป่า กล่าวกันว่า ในประเทศจีนชนชาติเย้ามีคำเรียก ขานชื่อของตนเองแตกต่างกันถึง 28 ชื่อ แต่คนเย้าในประเทศไทยเรียกตัว เองว่า เมี่ยน หรือ อิ้วเมี่ยน ซึ่งหมายความว่า มนุษย์ หรือคน เหยา ซุ่น อัน กล่าวว่า ชาวเย้าในประเทศจีนแยกออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่คือ เผ่าเปี้ยน เผ่าปูนู เผ่าฉาซัน และเผ่าผิงตี้ ชาวเผ่าเย้าเปี้ยนมีประชากรมากที่สุดและเป็นกลุ่มที่ ย้ายถิ่นฐานตลอดเวลาเป็นระยะทางที่ไกลที่สุด และกระจายกันอยู่ใน อาณาบริเวณที่กว้างขวางที่สุดด้วย มีนิทานเล่าขานต่อกันมาของชาวเมี่ยนว่า ในสมัยก่อน ตาอง (โล่งช้วน) ตากู๋ (กู๋ฟาม) เป็นเทพอยู่บนสวรรค์ มีความคิดที่จะสร้างเผ่าเมี่ยนขึ้นมา ดังนั้นตา อง และตากู๋ จึงได้ปรึกษาหารือกันอยู่บนสวรรค์ว่า จะให้ตากู๋ลงมาเกิดใน โลกมนุษย์ โดยให้ลงมาเกิดเป็นลูกสาวคนที่สามของพระราชา ส่วนตาองจะ ลงมาเกิดในร่างของ สุนัขมังกร เพราะมนุษย์ถือว่า สุนัขเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่ต่ำต้อยที่สุด มักมีคนดูถูกตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อถึงเวลาทั้งคู่จึงลงมาเกิด โดยวางแผนกันไว้ว่า อนาคตต้องทำการปกป้องคุ้มครองเผ่าเมี่ยน ตากู๋ลงมา เกิดเป็นลูกสาวพระราชามีชื่อว่า แป้งฮู่ง ซึ่งมีสิริโฉมงดงามและฉลาดกว่าคน อื่น และได้ทำสัญลักษณ์ว่า มีไฝหนึ่งเม็ดที่ขาของตากู๋ ขณะนั้นในโลก มนุษย์มีเมืองอยู่ 2 เมือง เป็นของฝ่าย แป้งฮู่ง และกู๋ฮู่ง ได้ตกลงทำสงคราม มีคืนหนึ่งทั้งแป้งฮู่ง และกู๋ฮู่ง ต่างก็ได้ฝันว่า จะมีคนมาช่วยทำศึกให้นับจาก นี้ 10 วัน ซึ่่งขณะนั้นฝ่ายของแป้งฮู่ง ยังไม่พร้อมที่จะทำการสู้รบ จึงได้เรียก เหล่าขุนนางมาปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี และในที่สุดก็สรุปว่า ถ้าภายใน 1 เดือน ใครที่สามารถตัดหัวของ กู๋ฮู่ง แล้วนำมาให้ตนได้ ตนจะยกลูกสาว คนที่สามให้ผู้นั้นเป็นรางวัล โดยให้เป็นลูกเขย และจะยกแผ่นดิน และข้า ทาสบริวารให้ปกครองครึ่งหนึ่ง เมื่อประกาศออกไปแล้ว ประชาชนในเมือง ของแป้งฮู่ง ไม่มีใครกล้าอาสาออกไปสู้รบกบกู๋ฮู่ง ที่ท้ายเมืองมีครอบครัวหนึ่งตั้งบ้านอยู่ที่ปากทางนอกเมือง วันหนึ่งได้มีสุนัข มังกร 5 สี ตัวหนึ่งชื่อว่า ผันหู เข้ามาหา หญิงม่ายคนหนึ่งเห็นเข้าจึงได้พูดว่า ตั้งแต่เกิดมาในโลกนี้ยังไม่เคยเห็นสุนัขมังกรตัวไหนที่มีลักษณะสง่างาม และฉลาดเช่นนี้มาก่อน เราจะเอาสุนัขมังกรตัวนี้ไปถวายให้กับพระราชา เป็นการสร้างบุญกุศลดีกว่า ดังนั้นจึงไปบอกพระราชา เมื่อพระราชาทราบ จึงส่งคนรับกลับไปเลี้ยงไว้ เมื่อพระราชาได้เห็นก็รู้สึกดีใจ และได้สังเกตเห็น จุดต่าง ๆ บนร่างกายที่มีทั้งหมด 120 จุด และแต่ละจุดก็มีความสวยงามมาก และที่สำคัญคือ รู้ภาษาด้วย วันหนึ่งพระราชาได้เปิดประชุมกับเหล่าขุนนาง และผันหูเข้าไปร่วมด้วย เมื่อฟังแล้วก็ไม่เห็นมีใครขันอาสาจะไปฆ่า กู๋ฮู่ง ได้ ผันหู จึงกล่าวขึ้นว่า ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องสิ้นเปลืองเสบียงอาหาร และใช้ อาหารทั้งกองทัพ ให้ข้าไปจัดการคนเดียว เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่ำต้อย คงไม่มีใครสงสัยและเฉลียวใจ ฝ่ายแป้งฮู่งก็เห็นด้วย เมื่อถึงเวลาออกเดิน ทาง เรื่องเดือดร้อนไปถึงสวรรค์เบื้องบนต้องส่งยาวิเศษมาให้ ผันหู 1 เม็ด เมื่อกินแล้วทนความหิว และอยู่ในทะเลได้ 7 วัน 7 คืน เมื่อว่ายน้ำไปถึงฝั่ง ของกู๋ฮู่ง กู๋ฮู่งเข้ามา ก็นึกดีใจแล้วคิดว่าคงจะเป็นสุนัขมังกรที่จะมาช่วยตน กู๋ฮู่ง เป็นกษัตริย์ที่ชอบฆ่าคน ชอบทำสงคราม ชอบเอารัดเปรียบประชาชน เมื่อเห็นผันหูพลางนึกในใจว่า เมื่อมีสุนัขมังกรมาช่วย จึงไม่ต้องการทหารมา อารักขาอีกแล้ว จึงไม่สนใจในกิจการบ้านเมือง พออยู่กันไปเมื่อ ผันหู ได้โอกาสเหมาะ ก็กระโดดกัดคอ กู๋ฮู่ง ขาดและคาบไว้ข้ามทะเลกลับเมือง แป้งฮู่งได้เห็นก็ดี ใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเองไม่ต้องไปรบแต่กลับได้ชัยชนะ จึงได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โต แป้งฮู่งเคยพูดไว้ว่า หากใครนำ หัวของกู๋ฮู่งมาได้ ก็จะยกลูกสาวคนที่สามให้ และเมืองอีกครึ่งหนึ่ง แต่แป้งฮู่งสงสารลูกสาวที่ต้องแต่งงานกับสุนัข มังกร กลัวโดนนินทา ลูกสาวต้องอาย จึงได้ทำผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไว้ แล้วเกณฑ์สาว ๆ ในเมืองที่มีรูปร่างหน้าตา คล้าย ๆ ลูกสาวของตนจำนวน 10 คนแล้วให้มาแต่งตัวเหมือนกันหมด แล้วให้ข้าทาสบริวารชี้ว่าใครคือลูกสาวของตน ซึ่งก็ไม่มีใครชี้ตัวได้ถูก แล้วจึงเรียก ผันหู สุนัขมังกรมาชี้ตัว ผันหูใช้จมูกดมไปตามเท้าของแต่ละคนเรื่อย ๆ เพื่อจะ หาสัญลักษณ์ที่ได้บอกกับ ตากู๋ ไว้ ดูไปเรื่อย ๆ จนเจอไฝเม้ดหนึ่งที่หน้าแข้ง จึงได้ใช้ปากงับชายเสื้อของลูกสาว แป้งฮู่ง ไว้แล้วดึง 2 - 3 ครั้ง เมื่อแป้งฮ่งได้เห็นเช่นนั้น ก็รู้ว่าไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ จึงจัดงานแต่งงานให้ 3 วัน 3 คืน แป้งฮู่งสงสารลูกสาวตัวเองมาก จึงได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อว่า เกียเซ็นป๋อง (หนังสือเดินทาง) และแบ่ง ข้าทาสบริวารคอยติดตามรับใช้ และสามารถทำมาหากินได้โดยไม่ผิดกฏหมาย และได้แต่งตั้งลูกเขยของตนเป็น พ่านต๋ายโหว ซึ่งเป็นแซ่แรกของเผ่า เมี่ยน คือ แซ่พ่าน และได้บอกว่าถ้าหากมีบุตรต้องนำมาให้แป้งฮู่งตั้งชื่อให้ เมื่อ ผันหู และภรรยาได้ลาแป้งฮู่งแล้วก็นำบริวารทั้งหมดเข้าไปในป่า ซึ่ง ไม่มีบ้านเมือง ต้องทำการโค่น ล้ม แผ่วถางป่า เพื่อสร้างบ้านเมืองขึ้นมาใหม่ จนกระทั้งภรรยาได้คลอดบุตรออกมา เป็นชาย 6 คน หญิง 6 คน ทั้งหมดได้ แต่งงานพาภรรยาและสามีเข้าบ้าน เพื่อช่วยกันสืบเชื้อสาย จึงเป็นที่มาของ 12 แซ่ ของชนเผ่าเมี่ยนที่ปรากฏในหนังสือ เกียเซ็นป๋อง คือ แซ่พ่าน, แซ่เซิ้น, แซ่ตั้ง, แซ่จ๋าว, แซ่เจิ้น, แซ่ว่าง, แซ่ฟุ้ง, แซ่เจียว, แซ่ถาง, แซ่รวย, แซ่จาง และ แซ่ลี สำหรับในประเทศไทยนั้นได้มีการสำรวจพบทั้งหมด 12 แซ่ และบางแซ่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือ เกียเซ็นป๋อง คือ 1. แซ่พ่าน 2. แซ่ลี 3. แซ่แติ้น 4. แซ่จ๋าว 5. แซ่ล่อ 6. แซ่ว่าง 7. แซ่ฟุ้ง 8. แซ่ซิ่น 9. แซ่เลี่ยว 10. แซ่ตั้ว 11. แซ่ท่าว 12. แซ่จาง การเดินทางจากจีนสู่ประเทศไทยนั้น ชาวเมี่ยนเผ่าเดิมมี 12 สกุล เส้นทางการอพยพของสกุลใหญ่ ๆ จะรู้เส้นทางชาว เขาเผ่าเมี่ยนทั้งหมด ในหนังสือทางลงจากภูเขาของบรรพชน 12 สกุล ที่ตำบล เจิงเหอเซียง อำเภอปกครองตนเอง ชนชาติ เย้าเจียงหัว มณฑลฮูหนาน ระบุว่า ถิ่นเดิมของชนชาติเย้าอยู่ที่ นานไห่ผู เฉียวโถว จากตำนานชนชาติเย้า บางเผ่า ที่อาศัยอยู่ตอนใต้ของทะเลสาป ตังถิงหู ก็มีเรื่องเล่าว่า บรรพชนของพวกเขาย้ายมาจาก ผูเฉียวโกว แถวฝั่ง เหนือของทะเลสาปตังถิงหู จึงสันนิษฐานได้ว่า หนานไห่น่า จะหมายถึงทะเลสาปตังถิงหู ถึงชาวเย้า 12 สกุลคงจะข้าม ทะเลสาปอพยพมาสู่ภาคใต้ราวศตวรรษที่ 15 - 16 ชาวเย้าเผ่าเปี้ยน อพยพเข้ามาสู่ภาคเหนือของเวียดนาม ผ่าน ประเทศลาว และอพยพเข้ามาอยู่ประเทศไทยในราว 100 ปีมานี้เอง ประเพณีวันขึ้นปีใหม่เย้า เผ่าเมี่ยน (เย้า) ใช้วิธีการนับ วัน เดือน ปี แบบจีน ดังนั้นวันฉลองปีใหม่จึงเริ่ม พร้อม ๆ กับจีนคือ วันตรุษจีน ภาษาเมี่ยนเรียกว่า เจี๋ยฮยั๋ง ก่อนที่จะถึงพิธีนี้ ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นทั้งของใช้ส่วน ตัวและของใช้ในครัวเรือนให้เรียบร้อยก่อน เพราะเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว จะมีกฏข้อห้ามหลายอย่างที่ยึดถือและปฏิบัติต่อ ๆ กันมา วันขึ้นปีใหม่นี้ญาติ พี่น้องของแต่ละครอบครัวที่แต่งงานแยกครอบครัวออกไปอยู่ที่อื่น ก็จะพา กันกลับมาเยี่ยมพ่อแม่และญาติพี่น้องของตนเอง ซึ่งเป็นการพบปะสังสรรค์ และทำพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษร่วมกัน (เสียงเมี้ยน) พิธีนี้จะเริ่มวันที่ 30 ซึ่งถือ ว่าเป็นวันส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ และเป็นการแสดงความขอบคุณ แก่วิญญาณบรรพบุรุษที่ได้คุ้มครองดูแลเราในรอบปีที่ผ่านมาด้วยดี หรือ บางครอบครัวที่มีการบนบานเอาไว้ก็จะมาทำพิธีแก้บน และเซ่นไหว้กันใน วันนี้ วันที่ 1 เป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่ละครอบครัวจะตื่นแต่เช้ามืดแล้วเดินไปหลังบ้าน ไปเก็บก้อนหินเข้าบ้าน เสมือนเป็นการ เรียกขวัญเงิน ขวัญทองเข้าบ้าน เชื่อว่าเงินจะไหลมาเทมาให้กับครอบครัว ให้ครอบครัวมีความสุข หลังจากนั้นผู้ใหญ่ จะต้มไข่เพื่อย้อมไข่แดง ส่วนเด็ก ๆ ก็จะตื่นขึ้นมาจุดประทัด หรือยิงปืนเพื่อเป็นสิริมงคล และเฉลิมฉลองปีใหม่ และ ทำพิธี ป๋าย ฮหยัง เป็นพิธีไหว้บรรพบุรุษ หรือศาลเจ้า เป็นความหมายว่าปีเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว สิ่งไม่ดีต่าง ๆ ก็ขอ ให้หมดไป เริ่มปีใหม่แล้วขอให้มีแต่สิ่งดี ๆ การดำรงชีวิตสะดวก ราบรื่น ไม่มีปัญหาอุปสรรค และอื่น ๆ พิธีนี้แต่ละ ครอบครัวจะทำหรือไม่ บางทีก็ทำหมดทั้งหมู่บ้าน ซึ่งจะมีการเวียนไหว้ไปกันจนครบทุกบ้าน หรือบางครั้งจะมีการไหว้ เป็นสายตระกูลหรือเครือญาติเท่านั้น โดยจะไปไหว้หรือทำพิธีที่บ้านเดียว ที่บ้านของเครือญาติอาวุโส ที่เป็นเครือ ญาติเดียวกัน และเป็นหลักในด้านพิธีกรรม หรือเป็นผู้นำด้านพิธีกรรมของแต่ละตระกูล ซึ่งจะมีหิ้งผีบูชาบรรพบุรุษ แตกต่างออกไปจากคนอื่น คือหิ้งบูชาจะมีลักษณะเป็นศาลเจ้า เมื่อทำพิธีไหว้บรรพบุรุษเสร็จแล้ว พ่อแม่ก็จะนำไข่ แดงไปแจกให้กับเด็ก ๆ และญาติพี่น้องที่มาร่วมงาน แล้วผูกเชือกให้สวยงาม ต่อจากนั้นก็จะนำมาทำอาหารรับประ ทาน มีการสังสรรค์ตามประสาญาติพี่น้อง และเพื่อนร่วมงาน ผู้ใหญ่มักจะบอกกับเด็ก ๆ ว่า ถ้าเป็นผู้หญิงในวันนี้ตั้งใจ ปักผ้าแล้วจะเก่งในฝีมือ ส่วนผู้ชายจะให้ไปเรียนหนังสือจะได้เก่งและฉลาดในการเรียน วันปีใหม่เมี่ยนจะจัดกัน 3 วัน แต่ัวันที่สำคัญที่สุดคือวันแรก วันไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ ส่วนวันที่ 2 และ 3 จะเป็นวันสังสรรค์กับเหล่ามิตร และ อยู่อย่างสงบตามวิถีของชาวเมี่ยนผู้รักความสงบ ในวันนี้จะมีข้อห้ามหลายอย่างที่ชาวเมี่ยนยึดถือและปฏิบัติกัน คือ 1. ไม่ใช้เงิน เพราะเชื่อว่า ถ้าใช้เงินจะไม่สามารถเก็บเงินอยู่ได้ 2. ไม่ฆ่าสัตว์ เชื่อว่า จะเลี้ยงสัตว์ไม่เจริญ 3. ไม่ทำไร่ เชื่อว่า จะปลูกพืชไม่งอกงาม 4. ไม่เก็บฟืนและหาอาหารสัตว์ มีความเชื่อว่า วันพักผ่อนก็ควรจะพักผ่อน เพราะเมื่อทำอะไรแล้ว จะะทำสิ่งนั้นไม่ เจริญงอกงาม เมื่อเลือกใช้ฟืนจะเลือกที่มีลักษณะสวยงาม เชื่อว่าลูกหลานจะได้สวยงาม 5. ไม่กินอาหารประเภทผัก มีความเชื่อว่า ถ้าทำไร่หญ้าจะขึ้นรก |