หัวข้อ: นางสาวภริตา เกิดมี พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาส ณ เมืองกำแพงเพชร เริ่มหัวข้อโดย: apairach ที่ สิงหาคม 29, 2014, 07:43:11 am บทความ
เรื่อง ครั้งหนึ่งเมื่อ ร.๕ เสด็จประพาสต้น ณ เมือง กำแพงเพชร เหตุใดพระพุทธเจ้าหลวงทรงเลือกที่จะเสด็จมาที่นี่ ที่นี่มีดีอย่างไร สำคัญมากเพียงใด เพราะเหตุใดถึงมิเสด็จไปเมืองอื่นเล่า เหตุผลที่สำคัญมากที่สุดคือ ใครที่มานครชุมคือพวกเดนตาย (เดนตาย แปลว่า ถ้าจะตายให้เอามาไว้ที่นครชุม) เพราะฉะนั้นถ้าพ่ายพลได้อพยพกันหมดเลย แม้แต่วัดพระบรมธาตุก็ยังไม่มีพระอยู่ ถ้าจะมาจากทางเหนือให้หันหน้าไปทางกำแพงเพชร ถ้าหันหน้าไปทางนครชุมจะเป็นไข้ป่าตาย รัชกาลที่ ๕ จะเสด็จมาที่นี่เห็นว่าที่นี่ แม้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่กล้ามาแล้วคนธรรมดาอย่างพวกเราจะไม่อยู่ได้อย่างไร เหตุผลคนอื่นไปอยู่ที่อื่นหมดนี่คือสาเหตุสำคัญไม่มีใครกล้ามานครชุม ถ้าจะมารับราชการที่นี่ต้องเอาหม้อใหม่แขวนคอมาเอามาเตรียมใส่กระดูกกลับบ้าน พระองค์จะลบล้างคำสบประมาทนี้จึงเสด็จมาที่กำแพงเพชรตามรอยพระบาทต้น วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชร ทรงรอนแรมมาทางเรือ โดยผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาถึงบ้านแดนเขตรอยต่อระหว่างกำแพงเพชรกับนครสวรรค์ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จมากับโอรสของพระองค์หรือรัชกาลที่ ๖ นั้นเอง เสด็จประพาสครั้งนี้ก็เพื่อให้รัชกาล6 เขียนพระยานิพนธ์เกี่ยวกับเมืองต่างๆของเมืองกำแพงเพชรถวายพระพุทธเจ้าหลวงแต่ก็ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจเท่าไรจึงเป็นเหตุให้พระองค์และรัชกาลที่ ๖ เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชรถึง ๓ ครั้ง เส้นทางการเสด็จของพระองค์ วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงเสด็จประพาสเขานอ (เขาหน่อ) ทรงแวะบ้านตาแสนปมและประทับแรม ณ หาดแสนตอ เมืองขาณุวรลักษบุรี วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงเสด็จทอดพระเนตรคนผมแดง จากนั้นเสด็จไปประทับแรม ณ ตำบลวังแขม วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคต่อไปยังวังนางร้างและได้พักแรมที่นี่ วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประพาสวัดวังพระธาตุ เมืองไตรตรึงค์ จากนั้นเสด็จไปประทับแรมที่กำแพงเพชร ทรงเข้าสู่ตัวเมืองกำแพงเพชรประทับแรมที่ พลับพลา บริเวณใกล้กับวัดชีนางเกา ปัจจุบันเป็นบ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เช้าวันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์เสด็จผ่านวัดเล็กๆทำด้วยแลง เสด็จเข้าทางประตูน้ำอ้อยในปัจจุบันรื้อไปแล้วได้ทอดพระเนตรสามประตูคือประตูน้ำอ้อย ประตูบ้านโนน ประตูดั้น เสด็จเข้าไปในวัดพระแก้วตอนหน้าเป็นวิหารใหญ่ จนถึงวัดช้างเผือก ไปศาลหลักเมืองแล้วไปที่สระมนพระราชวังโบราณของเมืองกำแพงเพชร หลวงอนุรักรัฐกิจเป็นผู้ออกแบบสร้างถวายพระกระยาหารกลางวันให้พระพุทธเจ้าหลวงที่สระมนหลังเสวยพระกระยาหารแล้วพระองค์ได้ถ่ายรูปคนงามเมืองกำแพงเพชร ซึ่งหลวงอนุรักรัฐกิจเป็นคนจัดหามาให้ ความจริงราษฎรที่มานั่งอยู่ที่หมู่บ้านนี้หน้าตาดีกว่าก็มี ทรงตรัสชมผู้หญิงเมืองนี้นับรูปพรรณสันฐานดีกว่าเมืองอื่นในแดนเหนือ คนงามทั้ง ๔ คนมี หวีด บุตรหลวงพิพิธอภัย อายุ ๑๖ ปี คนนี้รู้จักโพสถ่ายรูปจึงได้ถ่ายรูป วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประพาสป้อมประตูคูเมืองวัดพระแก้วจากนั้นประพาสเทวสถานพระอิศวร วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระพาสแนวกำแพงเมือง ประตูเจ้าอินเจ้าจัน ประตูชัย ป้อมเพชร วัดกำแพงงาม วัดพระนอน วัดพระยืน วันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ทรงลงเรือข้ามฟากไปฝั่งตะวันตกไปคลองสวนหมาก ต้องขึ้นไปไกลหน่อยแต่ต้นทางที่จะเข้าไปเรียกว่า ?แม่พล้อ? พระองค์ทรงขึ้นไปถ่ายรูปบ้านสองหลัง แล้วจึงกลับออกมาจอดเรือเสวยพระกระยาหารบริเวณ หาดกลางน้ำ เสร็จแล้วจึงล่องเรือลงมาขึ้นที่หน้าวัดพระบรมธาตุ ซึ่งแต่เดิมเป็นพระเจดีย์อย่างเดียวกับที่วัดพระธาตุใหญ่องค์หนึ่งโดยพระยาตะก่า แต่ยังไม่เสร็จพระยาตะก่าก็เสียชีวิตลง พระโป้จึงได้มาปฏิสังขรณ์ต่อได้ยกยอดฉัตรซึ่งมาแต่เมืองมะระแหม่ง พระเจดีย์ทาสีเหลือง มีลายปูนขาว แลดูในแม่น้ำงามดี วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จไปทรงถ่ายรูปกับบุคคลในตระกูลกำแพงเก่า จากนั้นเสด็จประพาสวัดเสด็จและวัดคูยางและเสด็จล่องจากกำแพงไปประทับแรมที่วัดนางร้าง วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประทับแรม ณ บ้านแดน ถือว่าสิ้นสุดการประพาสต้น ณ เมืองกำแพงเพชร นับว่าพระพุทธเจ้าหลวงเจ้าประพาสต้นเมืองกำแพงเพชรรวมทั้งสิ้น ๑๐ วัน นอกจากนี้ คนกำแพงเพชรยังได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จกำแพงเพชรถึง 3 ครั้ง ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๐ เสด็จบวงสรวงสังเวยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและยังทรงเสด็จออกมาปลูกต้นสัก ณ บริเวณหน้าศาลากลาง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงปลูกต้นสักด้านขวาและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถทรงปลูกต้นสักด้านซ้ายของศาลากลาง แล้วเสด็จไปเยี่ยมพสกนิกรของพระองค์ ภาพที่ชาวกำแพงเพชรประทับใจคือพระองค์ทั้งสองทรงโบกพระหัตถ์ให้แก่ราษฎรชาวจังหวัดกำแพงเพชรเป็นอย่างยิ่ง ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เสด็จบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ส่วนพระองค์ ณ วัดคูยาง และยังพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์และกรมการศาสนาได้ร่วมถวายโดยเสด็จพระราชกุศลเป็นเงินจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นทุนสร้างวัด นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. มาประดิษฐานหน้าบันพระอุโบสถด้านหน้า และพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. มาประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถด้านหลัง เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ และพระองค์ทรงพระราชทานนาม พระพุทธรูปประธานซึ่งหล่อแบบศิลปะสุโขทัย หมวดกำแพงเพชร ขนาดหน้าตักกว้าง ๖ ศอก ๙ นิ้ว ว่า พระพุทธวชิรปราการ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๗ ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๒๑ เสด็จพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้าน ของอำเภอ ต่างๆ รวม ๑๑๗ รุ่น ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดกำแพงเพชร หลังจากพระราชทานธงประจำรุ่นลูกเสือชาวบ้านแล้ว ยังทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ลูกเสือชาวบ้านและพสกนิกรที่มารับเสด็จ เมื่อเสร็จพิธีทรงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรที่มาเฝ้ารับเสด็จ ขณะนั้นประชาชน บ้านกิโลสอง กิโลสาม กิโลหกและชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงได้กราบทูลขอพระราชทานให้ทรงช่วยเหลือจัดหาน้ำเพื่อใช้ในการเพาะปลูกและการอุปโภคบริโภคได้ตลอดปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้กรมชลประทานพิจารณาวางโครงการชลประทานท่อทอแดง เพื่อจัดหาน้ำให้ราษฎรบริเวณหมู่บ้านดังกล่าว จากการที่ได้ศึกษาและรับรู้ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นมานั้น เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจยิ่งนัก ถ้าพระพุทธเจ้าหลวงไม่เสด็จมาในครานั้น นครชุมก็คงจะเป็นเมืองร้างเพราะไม่มีใครกล้าเข้ามา และถ้าไม่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันนั้นประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวก็คงต้องเดือดร้อนเรื่อง น้ำ ที่จะใช้ในการอุปโภคบริโภค นับว่าทั้งสองพระองค์ทรงมีบุญคุณแก่ประชาชนชาวเมืองกำแพงเพชรเป็นอย่างยิ่ง เกิดเป็นคนไทยโชคดีกว่าคนชาติไหนๆในโลก นางสาวภริตา เกิดมี ๕๕๑๑๒๑๕๑๑ โปรแกรมวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ |