จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
พฤษภาคม 06, 2024, 02:35:59 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จดหมายเหตุวัฒนธรรมกำแพงเพชร โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
ยินดีต้อนรับสมาชิก และผู้เยื่ยมชมทุกๆท่าน
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่อง หยาดน้ำตาแห่งความสำเร็จ โดยนางสาวนิตยา โพธิ์ศิริ ครุศาสตร์ภาษาไทย มรภ.กพ.  (อ่าน 2901 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
apairach
Administrator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1416


ดูรายละเอียด อีเมล์
| |
« เมื่อ: สิงหาคม 26, 2012, 05:23:55 pm »

         ฉันเข้ามาในมหาวิทยาลัยวันแรกเจอเพื่อนมากหน้าหลายตา  มีเพื่อนที่จบมาจากโรงเรียนเดียวกันสองสามคน  ในบริเวณภายในมหาวิทยาลัยดูกว้างใหญ่กว่าโรงเรียนมัธยม  มีสนามหญ้ากว้างๆจรดสวนหย่อมดูสวย  มีสระน้ำกว้างใหญ่มองไปสุดตา    มีตึกสูงต่ำเรียงกันไปมากมาย  มีเส้นทางที่สลับซับซ้อน  มีรถวิ่งผ่านไปมามากมาย   มีหมู่ชายหญิงแต่งตัวเรียบร้อยบ้างก็ผมสั้น  บ้างก็ผมยาว  ก่อนจะเข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแม่และพ่อต่างพร่ำบอกให้ฉันตั้งใจเรียนหนังสือและดูแลตัวเองให้ดีๆ  ฉันอยู่หอพักกับเพื่อนอีก 2 คนโดยมีรถมอเตอร์ไซด์ คันหนึ่งที่ฉันขี่มาเรียนทุกวันเวลาผ่านไปหลายเดือนเงินที่แม่ให้ไว้ก็เริ่มหมดลงอย่างช้าๆฉันกลับไปเอาเงินที่แม่อยู่เรื่อยๆ  แม่บอกว่า ?ใช้เงินประหยัดๆหน่อยนะแม่หาไม่ทันแล้ว? ฉันฟังคำที่แม่พูดแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย   และกลับมาใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยตามเดิม    เมื่อกลางดึกคืนที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554เวลาประมาณ 23.00น  ฉันนั่งทำการบ้านเสร็จกำลังจะเข้านอนสักพักมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นลั่นห้องพอรับสายมีเสียงผู้หญิงวัยกลางคนพูดว่า ?ทำใจดีๆนะป้ามีอะไรจะบอก?นั่นคือเสียงของป้าฉันเองฉันถามกลับไปว่า ?อะไรมีอะไรหรือเปล่า? ผู้หญิงวัยกลางคนพูดว่า ?พ่อหนูถูกรถชน? เมื่อได้ยินดังนั้นฉันตกใจมากและปลุกเรียกเพื่อนให้พาฉันไปที่โรงพยาบาล   นั่งรถมอเตอร์ไซด์ได้สักพักก็ถึงโรงพยาบาล  ฉันเดินตรงไปที่ห้องฉุกเฉินโดยไม่สนใจอะไรเลย  พอถึงหน้าห้องฉุกเฉินเห็นแม่และน้องนั่งรออย่างห่อเหี่ยว   ผู้หญิงวัยกลางคนพาฉันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน   สิ่งที่ฉันพบเจอและน่าตกใจนั่นคือ  เลือดที่เต็มใบหน้าขอพ่อมีผ้าพันรอบศีรษะของพ่อ  ดูอาการของพ่อแล้วฉันคิดว่าจะต้องเสียพ่อไปแน่ๆ  เมื่อเห็นภาพของพ่อเพียงแวบเดียวน้ำตาก็ไหลรินออกมาเป็นสายไม่หยุดยั้ง  ฉันออกมานั่งร้องไห้อยู่ข้างนอก   แม่ปรึกษากับผู้หญิงวัยกลางคนว่าจะส่งตัวพ่อไปโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์จังหวัดนครสวรรค์   ผู้หญิงวัยกลางคนทำเรื่องส่งตัวพ่อไปโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ไม่นานนักมีรถโรงพยาบาลมารับตัวพ่อขึ้นรถฉันและผู้หญิงวัยกลางคนก็นั่งไปด้วย  ฉันนั่งจับตัวพ่อไว้เพราะพ่อดิ้นแรงมากเหมือนคนไร้สติ  ฉันมองที่ศีรษะของพ่อมันบวมโตมากฉันกลัวว่าศีรษะของพ่อจะกระทบกระเทือนนั่งรถไม่นานนักก็ถึงโรงพยาบาล    บุรุษพยาบาลนำตัวพ่อไปในห้องฉุกเฉินมีนางพยาบาล 3-4 คนมารุมเช็ดเลือดทำแผลให้พ่อ นางพยาบาลที่นี่ดูแลดีมากต่างจากโรงพยาบาลที่ย้ายมาซึ่งไม่ได้ช่วยเหลืออะไรพ่อมากนัก   เมื่อทำแผลเสร็จบุรุษพยาบาลพาพ่อไปที่ชั้น  5   เพื่อไปนอนพักตัวแต่อาการดิ้นของพ่อก็ยังไม่หยุด   บุรุษพยาบาลจึงต้องมัดเท้ามัดมือพ่อเอาไว้  ฉันนั่งเฝ้าโดยไม่หลับ  มีหมอมาตรวจดูอาการของพ่อเรื่อยๆ  หมอบอกว่าอาการที่พ่อดิ้นเป็นสื่อว่าพ่อยังมีเปอร์เซ็นต์พ้นขีดอันตรายสูง  ได้ยินดังนั้นก็ดีใจมากแต่อาการของพ่อก็ยังน่าเป็นห่วงเพราะส่วนใหญ่หลังจากประสบอุบัติเหตุอวัยวะที่มีแผลมากที่สุดก็คือศีรษะและเลือดก็ออกมาเยอะมาก
พ่อต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้   ฉันดูแลพ่ออย่างใกล้ชิด     รอวันรุ่งขึ้นแม่ก็มาพร้อมเอกสารที่จำเป็นที่จะใช้ในการรักษาตัวพ่อ   ฉันนอนเฝ้าพ่อเป็นเวลา 2 คืน 3 วันแต่อาการดิ้นของพ่อก็ยังไม่หยุดตลอดระยะเวลา 2 คืน 3 วันฉันได้อาบน้ำให้พ่อดูแลพ่อไม่ห่างทำทุกอย่างเท่าที่ลูกคนหนึ่งจะทำเพื่อพ่อได้   หลังจากนั้นฉันก็ได้เดินทางกลับมาจังหวัดกำแพงเพชรเพื่อที่จะเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบในวันอังคารที่จะถึงนี้    ก่อนจะกลับมาแม่บอกกับฉันว่า ?กลับไปเถอะตั้งใจสอบเถอะไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้เดี๋ยวแม่ดูแลพ่อเอง?   เมื่อกลับมาถึงฉันได้ตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อที่จะเตรียมตัวสอบปิดภาคเรียนที่1 และจะทำให้ดีที่สุดเพื่อพ่อและแม่   พ่อป่วยอยู่ประมาณ 9 วันก็ได้ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน   หน้าของพ่อดูบิดเบือนไปจากเดิมมาก   พ่อยังมีอาการซึมๆยังไม่พูดกับใคร  เมื่อสอบเสร็จฉันได้กลับมาช่วยแม่ดูแลพ่อ   อาบน้ำให้พ่อจัดหาข้าวหายามาให้พ่อกินไม่นานนักอาการของพ่อก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ   เมื่อเปิดเรียนภาคที่ 2 ได้ไม่นานฉันก็บอกกับแม่ว่าฉันจะหางานทำในช่วงหลังเลิกเรียนเพราะจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่เพราะตอนที่รักษาพ่อแม่หมดเงินเป็นจำนวนมากและฉันก็ไม่อยากจะไปเอาเงินแม่มาใช้   เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน   พ.ศ. 2554 ฉันได้สมัครและเข้าทำงานในร้านเดอะพิซซ่าคอมปะนี   ตอนแรกก็คิดว่าเราจะทำได้หรือเปล่าภาษาอังกฤษก็อ่านไม่ออกไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อนด้วย   อย่างว่างานทุกงานที่ทำต้องมีอุปสรรคต่างๆ   และฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ได้เจออุปสรรคเหล่านั้น    ด้วยความที่อ่านภาษาอังกฤษไม่ออกและไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อน    จึงโดนเพื่อนร่วมงานต่อว่ากดขี่ใช้เยืองขี้ข้า    และทำไมฉันจึงต้องอดทน   ทำไมฉันจึงต้องอดทนกับการต่อว่าของเพื่อนร่วมงาน   เพราะพ่อและแม่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันต้องสู้ชีวิตที่แสนจะลำบากเพื่อที่ได้เงินมาใช้ในแต่ละวันเหมือนพ่อแม่ที่อดทนต่อการทำงานต่างๆเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูเรา    เงินที่ได้มาถึงแม้ว่าจะมาเหลือให้แม่ใช้แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไปขอเงินแม่ใช้    เงินที่ได้มาในแต่ละเดือนประมาณ 4,000 กว่าบาทพอใช้จ่ายได้แค่เดือนชนเดือนเท่านั้นถึงเหลือก็เหลือไม่มากนัก   ฉันต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด    ฉันทำงานได้ 2 เดือนฉันก็เริ่มเป็นงานและทำงานดีขึ้นผู้จัดการร้านไว้ใจและวางใจให้ฉันดูแลงานบางส่วน   ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฉันมีความอดทน  พยายามและความมานะทำให้ฉันมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง    ฉันใช้เงินที่ได้จากการทำงานส่งตัวเองเล่าเรียนหนังสือโดยไม่ขอเงินพ่อและแม่เลย
ฉันบอกกับแม่ว่า ?ฉันจะภูมิใจในตัวเองมากที่ส่งตัวเองเรียนหนังสือจนจบระดับมหาวิทยาลัยและมีงานดีๆทำมีเงินส่งให้แม่ใช้อย่างไม่ขัดสน?

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!